EP.130****ยังดูเจ้าไม่พอเลย
มองส่งเจิ้งอี้ฝานนำกลุ่มทหารค่ายเสินเวยจากไป เฟิงจี้สิงถึงได้โล่งอก หันมากล่าว “ผู้ดูแลอาวุโส ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม”
สีหน้าของเหลยหงย่ำแย่ถึงขีดสุด กระอักเลือดออกมาอย่างรุนแรง ผมสีขาวบนศีรษะคล้ายจะขาวขึ้นไปอีก
“ผู้ดูแลอาวุโส!”
พวกจางเหว่ยรีบพุ่งเข้าไป
หลินมู่อวี่เองก็สลัดหลุดจากโซ่ตรวนสัตว์เข้าไปประคองแขนเหลยหง ก่อนเอ่ยขึ้น “ท่านปู่เหลยหง ท่านไม่เป็นไรนะ”
เหลยหงสีหน้าสิ้นหวัง “แผ่นดินนี้ต่างคิดว่ายอดฝีมือขอบเขตปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองคนคือข้ากับชวีฉู่ เกรงว่า…ยอดฝีมือขอบเขตปราชญ์อันดับหนึ่งจะเป็นเจิ้งอี้ฝานเสียแล้ว…”
เฟิงจี้สิงเอ่ยถาม “เจิ้งอี้ฝานแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
“อืม”
เหลยหงพยักหน้า แต่แล้วก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย มองไปทางหลินมู่อวี่ “อาอวี่ ในเมื่อฝ่าบาทอภัยโทษให้เจ้ากับฉู่เหยาแล้ว เจ้าก็ใช้สถานะที่แท้จริงในวิหารศักดิ์สิทธิ์และในเมืองหลวงได้สักที”
หลินมู่อวี่พยักหน้า “อืม! ขอบคุณท่านปู่เหลยหง และก็ขอบคุณพี่เฟิงด้วย!”
เฟิงจี้สิงพยักหน้า แล้วจึงพึมพำขึ้น “เรื่องนี้เกรงว่าจะไม่ใช่ข่าวดีอะไร…ถ้าไง…ข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท ทูลขอตำแหน่งองครักษ์อวี้หลินให้เจ้า แบบนี้จวนเสินโหวคิดจะทำอะไรคงต้องไตร่ตรองเสียก่อน เป็นอย่างไร”
“ได้หรือ?” หลินมู่อวี่กลับไม่ปฏิเสธ
แต่เหลยหงกลับส่ายหน้าอยู่ด้านข้าง “ไม่ได้ อาอวี่เป็นดาวรุ่งหน้าใหม่ของวิหารศักดิ์สิทธิ์ จะส่งมอบให้แก่องครักษ์อวี้หลินได้อย่างไรกัน ไม่ได้ ไม่ว่ายังไงข้าก็ไม่ยอมหรอก”
เฟิงจี้สิงอดยิ้มไม่ได้ “ผู้ดูแลอาวุโสดื้อรั้นจริงๆ…”
……
หลังจากนั้นไม่นาน สมาพันธ์โอสถก็ส่งแพทย์มารักษาคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่บาดเจ็บ ฉู่เหยาก็มาด้วย เมื่อนางเห็นหลินมู่อวี่ที่บาดเจ็บหนัก ดวงตาก็แดงขึ้นมาทันที
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” นางใส่ยาลงบนบาดแผลของหลินมู่อวี่ พลางเอ่ยถาม
หลินมู่อวี่นั่งอยู่บนก้อนหินในวิหารศักดิ์สิทธิ์ กัดฟันร้องเจ็บ แล้วยิ้มพูด “พี่ฉู่เหยา ต่อไปพวกเราไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แล้วนะ ฝ่าบาททรงอภัยโทษให้พวกเราแล้ว”
“หือ จริงหรือ” ฉู่เหยาเผยรอยยิ้มยินดี แต่กลับเอ่ยขึ้นด้วยความไม่สบายใจอยู่นิดหน่อย “อาอวี่ เจ้าเอาแต่ต่อสู้อยู่ตลอด ดูเจ้าสิ ทั้งตัวมีแผลตั้งเท่าไร รับปากข้า หลังจากนี้ต่อยตีให้น้อยลงได้ไหม”
“อืม ต่อไปหากไม่ทำร้ายข้าก่อน ข้าก็ไม่ทำร้ายใคร”
“ดี!”
ที่ด้านข้าง จางเหว่ยที่ถูกแพทย์จากสมาพันธ์โอสถอีกคนรักษาอยู่นั้นใช้สีหน้ากรุ้มกริ่มมองทั้งสองคน ก่อนยิ้มพูดขึ้นมา “ท่านหลินมู่อวี่ช่างโชคดีนัก ไม่น่าเชื่อว่าบาดเจ็บแล้วยังมีหมอหญิงที่งดงามมารักษาให้อีก แถมยังดูเหมาะสมกันขนาดนี้อีกด้วย”
ใบหน้างามของฉู่เหยาแดงก่ำขึ้นมาโดยพลัน นางถลึงตาใส่จางเหว่ยแล้วกล่าว “ท่านเองก็ได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่น่าเชื่อว่ายังสดใสอยู่ได้ ข้าว่าไม่ต้องทายาก็ได้กระมัง”
จางเหว่ยร้องขอความเมตตา “ได้โปรดอย่านะท่าน หากบาดแผลของข้าไม่ได้ทายาต้องอักเสบและเน่าอย่างแน่นอน”
“ฮึ เช่นนั้นก็อย่าได้พูดมากอีก!” ฉู่เหยาหัวเราะคิกคัก
ทันใดนั้นจางเหว่ยก็เหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เอ่ยขึ้น “ท่านหลินมู่อวี่ หากข้ามีพี่สาวที่แสนดีแบบนี้ ต้องสู่ขอนางมาเป็นภรรยาอย่างแน่นอน พี่สาวที่งามล่มเมืองเช่นนี้จะปล่อยให้ตกเป็นของคนอื่นได้อย่างไร!”
ใบหน้าของฉู่เหยายิ่งแดงก่ำขึ้นไปอีก “เจ้ายังจะพูดมากอีก!”
หลินมู่อวี่นั่งอยู่ด้านข้าง มองร่างงามที่เขินอายของฉู่เหยา ก็รู้สึกใจเต้นเล็กน้อย เพียงแต่เขารู้ดีว่าตนเองไม่ใช่คนบนโลกใบนี้ บางทีอาจจะต้องจากกันสักวัน หากไม่สามารถพาฉู่เหยาไปด้วยกันได้ เช่นนั้นจะทำให้ใจนางหวั่นไหวไปทำไม
เพียงแต่เจ้าเด็กโง่นี่คงจะไม่รู้ว่า หญิงงามผู้นี้หวั่นไหวมานานแล้ว
คืนนี้ได้แต่พักผ่อน อาการบาดเจ็บสาหัสเกินไป ทำได้เพียงนอนฝึกคัมภีร์หลอมกระดูกมังกรและทักษะชีพจรวิญญาณ
หลินมู่อวี่นอนอยู่บนเตียง มองดาวบนท้องฟ้าผ่านเพดานของห้องลับ เบิกตากว้าง พลังวิญญาณของทักษะชีพจรวิญญาณเหมือนกับคลื่นที่สาดเข้ามาเป็นระลอก ทักษะชีพจรวิญญาณประหลาดยิ่งนัก รวบรวมพลังจิตแล้วโจมตีสามารถโจมตีวิญญาณของศัตรูได้ แต่ตัวเองต้องรวบรวมสมาธิ ดังนั้นตอนที่เจิ้งอี้ฝานก้าวเข้ามาในวิหารศักดิ์สิทธิ์ หลินมู่อวี่จึงลองใช้ทักษะชีพจรวิญญาณโจมตีเขา แต่น่าเสียดายที่มันล้มเหลว พลังวิญญาณของเจิ้งอี้ฝานแข็งแกร่งกว่าเขา ขอบเขตก็สูงกว่าเขาเช่นกัน คิดจะใช้ทักษะชีพจรวิญญาณต่อสู้กับยอดฝีมือเช่นนี้ยังต้องฝึกให้เข้มแข็งขึ้นยิ่งขึ้นถึงจะทำได้
และการต่อสู้ในวันนี้ก็ทำให้หลินมู่อวี่ได้เปิดหูเปิดตาถึงความแข็งแกร่งของขอบเขตปราชญ์ที่แท้จริง ยอดฝีมือขอบเขตนภาต่อสู้กับขอบเขตปราชญ์นั้นคือรนหาที่ตาย เพราะทันทีที่อีกฝ่ายใช้ขอบเขต ยอดฝีมือขอบเขตนภาก็ไม่อาจจะขยับเคลื่อนไหวได้เลย ไม่มีทางที่จะชนะได้แม้แต่นิดเดียว
เพียงแต่ขอบเขตปราชญ์นั้นอยู่ไกลแค่ไหน ไม่มีใครทราบ
หลังจากหลินมู่อวี่เข้าสู่ขอบเขตนภาชั้นที่หนึ่ง ก็หยุดที่ระดับหกสิบมาตลอด การฝึกฝนไม่ได้ง่ายขนาดนั้น มีแต่คอขวด ขนาดเฟิงจี้สิง ฉินเหลยและคนอื่นล้วนติดอยู่ที่ขอบเขตนภาชั้นที่หนึ่งไม่อาจทะลวงขึ้นไปได้ ยอดฝีมือแบบนี้มีให้เห็นทั่วไป อย่างเหลยหงและชวีฉู่ก็หยุดอยู่ที่ขอบเขตปราชญ์ชั้นที่หนึ่งมาสิบกว่าปีแล้ว
……
กลางดึก ณ ตำหนักเจ๋อเทียน
นางกำนัลใบหน้างดงามนั่งอยู่บนเตียงหยกขาวอย่างชดช้อย ด้านข้างมีกระดานวาดรูปที่ประณีตงดงามตั้งอยู่ จักรพรรดิฉินจิ้นทรงกำลังสะบัดพู่กันวาดโครงลักษณะท่าทางและหน้าตาของหญิงงามลงบนกระดาษขาว
ถึงแม้ว่าฉินจิ้นจะทรงมีฐานะเป็นจักรพรรดิ แต่กลับถูกใต้หล้าขนานนามว่า “หัตถ์เทวะ” ทรงมีลายพระหัตถ์และฝีพระหัตถ์ที่งดงาม ว่ากันว่าจักรพรรดิทรงเคยรับสั่งให้ขุนนางคนสนิทนำภาพวาดฝีพระหัตถ์ออกไปขาย แต่ละภาพนั้นล้วนแต่ได้ราคาสูงมาก
เพียงแต่ภาพวาดหญิงงามนั้นมองแล้วไม่เหมือนนางกำนัลตรงหน้าเลยสักนิดเดียว ความสวยสดงดงามไฉนเลยที่นางกำนัลผู้นี้จะเทียบได้ ภาพวาดนี้ไม่เหมือนนางแม้แต่น้อย แต่กลับงดงามเหมือนฉินอินอยู่หลายส่วน
“แอ๊ด…”
ประตูถูกเปิดออกเบาๆ ฉินอินผู้งดงามทรงเดินเข้ามา นางเสด็จมายืนอยู่ด้านหลังของฉินจิ้น ทอดพระเนตรมองภาพวาด พลันแย้มพระสรวลขึ้นมา “เสด็จพ่อวาดรูปเสด็จแม่อีกแล้วหรือเพคะ…”
ฉินจิ้นตกพระทัยแล้วอดแย้มพระโอษฐ์ไม่ได้ “เสี่ยวอิน ทำไมยังไม่นอนอีก”
“ลูกนอนไม่หลับเพคะ ก็เลยมาหาเสด็จพ่อ”
“รีบไปนอนเสีย บุตรสาวบ้านไหนนอนดึกเช่นนี้” ฉินจิ้นโบกพระหัตถ์เป็นสัญญาณให้นางกำนัลออกไป
ฉินอินแย้มพระโอษฐ์น้อยๆ “เสด็จพ่อ หม่อมฉันหน้าตาเหมือนเสด็จแม่จริงๆ หรือเพคะ”
“อืม เหมือนกันแทบจะทุกอย่าง”
ฉินจิ้นทอดพระเนตรเหม่อไปนอกหน้าต่าง “หลังจากเสด็จแม่ของเจ้าจากไป ทุกอย่างของพ่อก็แทบจะมอบให้เจ้าทั้งหมด มานี่สิ พ่อหวีผมให้เจ้า หวีผมเสร็จแล้วก็ไปนอนได้แล้ว”
“เพคะ”
ฉินอินประทับลงหน้ากระจกทองเหลืองอย่างว่าง่าย ถอดมงกุฏองค์หญิงออก ทำให้พระเกศาที่ยาวดำสนิทดั่งน้ำหมึกทิ้งตัวลงมา ฉินจิ้นทรงหยิบหวีเงิน ทอดพระเนตรท่าทางของบุตรสาวในกระจกก็อดที่จะพระวรกายสั่นเทาไม่ได้ ก่อนตรัสอย่างพระทัยลอย “หลายปีมานี้ หากได้เห็นหน้านางอีกครั้ง คงจะดีไม่น้อย ข้ายินดีแลกทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะได้เห็นหน้านางอีกสักครั้ง…”
ฉินอินพระเนตรแดงระเรื่อ “เสด็จพ่อ…”
ฉินจิ้นทรงหวีพระเกศายาวของบุตรสาวอย่างช้าๆ พระพักตร์เต็มไปด้วยความรักใคร่ “ฉินอินน้อยของพ่อโตแล้ว… เมื่อตอนเจ้ายังเล็ก ข้าก็คิดว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าได้นานเท่าไรกันนะ แต่เสี่ยวอินก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ใกล้จะต้องอภิเษกแล้ว…ข้างกายเสี่ยวอินจะมีใครอีกคนคอยทะนุถนอมเจ้า รักเจ้าแทนพ่อ”
น้ำพระเนตรเอ่อคลอ ฉินอินทรงหลับพระเนตร และปล่อยให้น้ำพระเนตรไหลลงมา
ฉินจิ้นพระหัตถ์สั่นเล็กน้อย พึมพำเหมือนตรัสกับตนเอง “เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน พริบตาเดียวเจ้าก็เติบใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว ไม่รู้ว่าทำไม พ่อ…พ่อถึงเอาแต่รู้สึกว่ายังดูเจ้าไม่พอเลย เจ้าก็เติบใหญ่ต้องอภิเษกแล้ว…”
ไหล่หอมของฉินอินสั่นเล็กๆ “เสด็จพ่อ เสด็จพ่อ…ไม่ต้องตรัสแล้วเพคะ ข้าจะไม่อภิเษก”
ฉินจิ้นทรงพระสรวล “อย่าพูดอะไรโง่ๆ ถึงเจ้าจะเป็นองค์หญิงก็ต้องอภิเษก มิเช่นนั้นจะสืบทอดสายเลือดของตระกูลฉินต่อไปอย่างไร พ่อเพียงแค่หดหู่ใจเล็กน้อย…เสี่ยวอิน ในราชวงค์รุ่นเยาว์ เจ้าถูกใจคนไหนที่สุดหรือ”
ฉินอินอึ้ง เช็ดน้ำพระเนตรแล้วตรัสขึ้น “หม่อมฉันยังเด็ก ไม่คิดจะอภิเษกเพคะ เสด็จพ่อไม่ต้องถามหม่อมฉันแล้ว เสี่ยวอินจะไม่อภิเษกกับใครทั้งนั้น”
“พูดอะไรโง่ๆ อีกแล้ว ฉินเหลย ฉินเหยียน และเหล่าบุตรชายของเจิ้นหนานอ๋อง หากเจ้าต้องตาใคร พ่อก็จะประทานพิธีอภิเษกสมรสให้ เจ้าอายุยี่สิบชันษาแล้ว ตอนเสด็จแม่ของเจ้าอายุยี่สิบก็อภิเษกมาเป็นฮองเฮาของข้าแล้ว…”
“ข้าไม่อภิเษก รออีกสักปีสองปีก่อนเถอะเพคะ” ฉินอินพระเนตรแดงก่ำตรัสขึ้น “ที่เสด็จพ่อตรัสมานั้นข้าล้วนแต่ไม่ชอบ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเสด็จพ่อไปก่อน ดีหรือไม่เพคะ”
“เสี่ยวอินเด็กโง่…” ฉินจิ้นทรงถอนพระทัย
และในตอนนี้ เสียงขันทีด้านนอกดังเข้ามา “ฝ่าบาท ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์เฟิงจี้สิงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้เขาเข้ามา!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ประตูเปิดออกอย่างรวดเร็ว เฟิงจี้สิงที่ดูเหน็ดเหนื่อย คุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วถวายความเคารพ “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินจิ้นแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย “ผู้บัญชาการเฟิงมาเข้าเฝ้าข้าดึกดื่นเช่นนี้ ต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม”
เฟิงจี้สิงพยักหน้า และกราบทูล “ฝ่าบาท เมื่อครึ่งชั่วยามก่อน เสินโหวนำทหารม้าจากค่ายเสินเวยจำนวนสามพันนายไปโจมตีวิหารศักดิ์สิทธิ์พ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ?!”
พระวรกายฉินจิ้นพลันสั่นเทาก่อนตรัสขึ้น “จะเป็นไปได้อย่างไร จวนเสินโหวและวิหารศักดิ์สิทธิ์ล้วนเป็นเสาหลักของจักรวรรดิ ทำไมถึงต่อสู้กันขึ้นมา แล้วผลเป็นอย่างไร ผู้บัญชาการเฟิง?”
เฟิงจี้สิงกราบทูล “กระหม่อมไปถึง การต่อสู้ก็หยุดลงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บล้มตายหลายสิบคน และสาเหตุการต่อสู้เป็นเพราะเสินโหวคิดจะสังหารหลินมู่อวี่ ดังนั้นกระหม่อมจึงจะมาทูลขออนุญาตฝ่าบาทให้หลินมู่อวี่เข้าหน่วยองครักษ์อวี้หลินพ่ะย่ะค่ะ”
“หืม?” ฉินจิ้นขมวดพระขนง “หลินมู่อวี่นี้เป็นผู้ใดกันแน่ ถึงสามารถทำให้ผู้บัญชาการเฟิงแนะนำได้ขนาดนี้”
เฟิงจี้สิงเงยหน้าขึ้น ก่อนกราบทูล “ตามที่กระหม่อมทราบมา หลินมู่อวี่จัดว่าเป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้ในรอบพันปี บุคคลเช่นนี้ควรจะได้รับใช้จักรวรรดิ จะถูกเสินโหวสังหารไม่ได้ ดังนั้นกระหม่อมจึงหวังว่าฝ่าบาทจะพระราชทานอนุญาตให้หลินมู่อวี่เข้าหน่วยองครักษ์อวี้หลินพ่ะย่ะค่ะ!”
ด้านข้าง ฉินอินยกมุมพระโอษฐ์ขึ้นเบาๆ แล้วตรัสขึ้น “เสด็จพ่อ ทรงอนุญาตเถอะเพคะ”
บุตรสาวตรัสเช่นนี้แล้ว ฉินจิ้นเองก็ไม่ได้มีโทสะอันใด “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะเขียนราชโองการแต่งตั้งให้หลินมู่อวี่เป็นสมาชิกขององครักษ์อวี้หลินเป็นกรณีพิเศษ ผู้บัญชาการเฟิง ลำบากท่านแล้ว”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงพระกรุณาพ่ะย่ะค่ะ!”
พูดจบ เฟิงจี้สิงก็เงยหน้ามองฉินจิ้น กราบทูลเสียงต่ำ “ฝ่าบาท จวนเสินโหวนับวันยิ่งกำเริบเสิบสาน ถึงขนาดกล้าบุกโจมตีวิหารศักดิ์สิทธิ์ จะปล่อยไปเช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าหากจำเป็น ทรงนำกองทัพหนึ่งแสนนายที่มณฑลชางหนานกลับมาเมืองหลวง…กระหม่อมยินดีที่จะจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินจิ้นสูดหายใจเข้าลึกๆ “เจิ้งอี้ฝานเป็นเสาหลักของจักรวรรดิ ตอนนี้แม่ทัพที่รับตำแหน่งสำคัญของแต่ละกองทัพในจักรวรรดิ เกินครึ่งล้วนเป็นคนของเจิ้งอี้ฝาน หากเขาไม่ได้ทำอะไรเกินเลยก็ปล่อยเขาไปเถอะ อย่างไรเสียหากทางเป่ยม่อและหนานหมานเกิดสงครามขึ้นมา พวกเรายังต้องการให้เจิ้งอี้ฝานนำทัพออกรบ ไม่ใช่หรือ ผู้บัญชาการเฟิง”
“แต่ว่า…”
คิ้วคมสองข้างของเฟิงจี้สิงขมวดแน่น
“ไม่มีแต่ ผู้บัญชาการเฟิงรีบพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้เช้าท่านค่อยมารับราชโองการ”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
……
เฟิงจี้สิงเดินออกจากตำหนักเจ๋อเทียน แสงดาวตกกระทบลงบนชุดคลุมสีขาวบริสุทธิ์ของเขา
มือเขาจับด้ามดาบไว้ เงยหน้ามองท้องฟ้าเงียบๆ จากนั้นก็เดินไปตามทางเดินหินของตำหนักเพียงลำพัง ใต้แสงดาว เงานั้นเผยความโดดเดี่ยวอ้างว้างออกมา