บทที่ 138 เถาจองจำเซียนพิลึกก่อความวุ่นวาย

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 138 เถาจองจำเซียนพิลึกก่อความวุ่นวาย!
เมืองหมอกลับแล หอจันทร์รุ้ง

เสิ่นเทียนนั่งสมาธิบนเตียงด้วยท่าห้าใจชี้ฟ้า[1]

เขาเพิ่งทะลวงระดับสร้างฐาน พลังบำเพ็ญยังไม่ถือว่าลึกล้ำ

ตอนนี้ทุกครั้งที่โคจรเคล็ดห้าอัสนีฟ้าเที่ยงธรรมจะรู้สึกว่าได้อะไรมาเยอะมาก

ในเคล็ดห้าอัสนีฟ้าเที่ยงธรรม ธาตุทอง ไม้ ไฟและดินสี่ธาตุสอดคล้องกับอัสนีเทพ ทำให้พลังการควบคุมกำลังเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอัสนีเทพเต่าดำที่ตรงกับธาตุน้ำ เสิ่นเทียนใช้ได้คล่องกว่าเดิมอีก กระทั่งยังทำได้ถึงระดับทำได้ตามใจนึกแล้ว

ตอนนี้เขายื่นมือขวาออกมาช้าๆ ของเหลวสีดำไหลลงมาจากปลายนิ้วทีละหยด ขยับประกายสายฟ้าแวววาว

นั่นคือผลจากการควบคุมหัตถ์อัสนีเทพธาตุน้ำลำดับเก้าได้ถึงระดับลึกล้ำและหลอมรวมกับน้ำมวลหนักปฐมกาลแล้ว

เสิ่นเทียนหยิบค้อนม่วงทองออกมาก่อนแนบอัสนีเทพธาตุน้ำลำดับเก้าเข้าไป จากค้อนสีม่วงอมทองพลันกลายเป็นสีดำสนิท แผ่กระจายอานุภาพหนาแน่น

เสิ่นเทียนมีความมั่นใจว่าถ้าเขาถือค้อนนี่ จะทุบผู้ฝึกบำเพ็ญระดับสร้างฐานขั้นสูงสุดได้ค้อนละคนเลย

ต่อให้เป็นผู้จริงแท้ระดับแก่นพลังทอง หากเสิ่นเทียนเข้าประชิดตัวก็อาจจะโดนค้อนเทพน้ำมวลหนักฟาดจนทำอะไรไม่ถูกและหนีไปก็ได้

‘ด้วยพลังบำเพ็ญ อำนาจและดวงชะตาของข้าตอนนี้ ถ้าในที่ราบหมอกลับแลมีอันตรายจริงๆ ก็น่าจะเอาอยู่กระมัง! แต่ก็ยังไม่ค่อยปลอดภัย ช่างเถอะ กันไว้ดีกว่าแก้ พัฒนาอาวุธของเราให้ถึงขีดสุดจะดีกว่า’

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นเทียนก็นำยันต์ระเบิดอัสนีปึกใหญ่จากแหวนเวหามากอบไว้ในอ้อมอก จากนั้นผูกปืนปทุมฆาตเทพไว้ข้างหลัง พร้อมกระตุ้นตราเวทยิงตลอดเวลา

นอกจากนี้ เสิ่นเทียนยังเคยคิดว่าจะสวมหมวกเกราะเต่าดำดีหรือไม่ แต่มาคิดๆ ดูแล้วตอนนี้ยังไม่เจออันตราย ไม่มีความจำเป็นต้องเครียดอะไรเช่นนั้น

ถึงอย่างไรเจ้านั่นก็หลอมขึ้นจากกระดองเต่า แม้รูปทรงที่หลอมออกมาจะไม่ถือว่าขี้เหร่ก็ตาม แต่เขาก็ยังคิดว่าถ้าแบกเกราะทรงกระดองเต่าหนักและหนาไว้บนหลัง มันจะดูไม่เข้ากับเอกลักษณ์ของตน

หลังจากโคจรพลังรอบกายหลายรอบใหญ่แล้ว เสิ่นเทียนลุกขึ้น ขณะกำลังคิดว่าจะหาอะไรกินและพักผ่อนสักหน่อยนั้น พลันได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากนอกหน้าต่าง ฟังดูแล้วน่าขนหัวลุก

“อ๊าก อย่า อู้ๆๆ~!”

เสิ่นเทียนหัวใจบีบรัดตัว เขารีบเปิดหน้าต่างมองไปตามเสียง พบว่าตอนนี้ทางประตูเมืองตะวันออกของเมืองหมอกลับแลถูกหมอกวิญญาณปกคลุมอยู่

หินใหญ่สีดำยิงออกมาจากกลางหมอกวิญญาณ กระแทกใส่พื้นดินอย่างแรง

หินใหญ่พวกนั้นมาพร้อมกับแรงมหาศาล พังถล่มบ้านเรือน พังแผ่นดินแตกร้าว ทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

หลังจากหินใหญ่พวกนั้นกระแทกลงพื้นแล้ว ไม่นานก็เกิดรอยร้าวขึ้น ก่อนจะมีหวายยักษ์โผล่ออกมาจากในนั้นอย่างรวดเร็ว

หวายยักษ์พวกนี้สั้นสุดก็สิบกว่าจั้ง ในนั้นมีขนาดค่อนข้างยาวก็ร้อยจั้ง เหมือนกับงูเหลือมยักษ์ ใช่ ดูจากรูปร่างของหวายยักษ์พวกนี้แล้ว นั่นคือพืชประจำถิ่นที่ล้ำค่าที่สุดของที่ราบหมอกลับแล ‘เถาจองจำเซียน’

และที่มหัศจรรย์กว่านั้นคือหวายยักษ์พวกนี้ไม่เหมือนเถาจองจำเซียนบนที่ราบหมอกลับแลที่จะฝังรากอยู่ในดิน ส่วนรากของพวกมันกลับเหมือนงวงนับไม่ถ้วนที่ค้ำยันร่างของมันให้ขยับได้อย่างคล่องแคล่ว

มันขยับรวดเร็วยิ่ง ไม่ด้อยไปกว่าเหล่าผู้ฝึกบำเพ็ญเซียนที่กำลังต่อสู้อยู่เลยแม้แต่น้อย!

เสียงร้องที่เสิ่นเทียนได้ยินเมื่อครู่ก็คือผู้ฝึกบำเพ็ญระดับแก่นพลังทองคนหนึ่งสู้กับเถาจองจำเซียน เดิมทีเขาคิดว่าตนโชคดี ได้ล่าเถาจองจำเซียนระดับสูงสุดในเมืองหมอกลับแล

ปรากฏว่าเอาชนะหวายยักษ์ประหลาดชนิดนี้ไม่ได้เลย ก่อนจะถูกแส้หวายยักษ์ทะลวงเข้าไปในกาย

เสิ่นเทียนเห็นชัดเจนว่าหลังผู้จริงแท้แก่นพลังทองคนนั้นถูกหวายทะลวงเข้าไปในกายแล้ว ทั่วร่างก็แห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว

ร่างที่เดิมทีมีแก่นพลังสำคัญเปี่ยมล้น แต่ในไม่กี่ลมหายใจสั้นๆ กลับแห้งเหี่ยวและแตกสลายไปอย่างกับไม้ผุ

เถาจองจำเซียนพิเศษชนิดนี้น่ากลัวว่าที่เหล่าผู้ฝึกบำเพ็ญเจอในที่ราบหมอกลับแลหลายเท่า กำลังรบของมันไม่ได้มากกว่าแค่เท่าเดียวเท่านั้น

หรือก็คือกำลังรบเช่นนี้ต่างหาก…คือพลังที่แท้จริงของเถาจองจำเซียน เถาจองจำเซียนก่อนหน้านี้เป็นเพียงระดับเศษกากเท่านั้น!

‘มีอันตรายจริงๆ ด้วย เหตุใดแม้แต่เมืองหมอกลับแลยังถูกทำลายด้วยล่ะ!’

เสิ่นเทียนหัวใจบีบแน่น เขารีบควบคุมปืนปทุมฆาตเทพให้ลอยมาที่มือขวา มือซ้ายกำยันต์ระเบิดอัสนีปึกหนึ่งแน่น ขณะเดียวกันเขายังเดินไปทางห้องของพวกกุ้ยกงกง “มีอันตราย ถอย!”

ความจริงแล้วพวกกุ้ยกงกงก็พบอันตรายเช่นกัน และกำลังรีบมาหาเสิ่นเทียน

จางอวิ๋นซีมีสีหน้าจริงจังอย่างที่พบเห็นได้ยาก “หมอกวิญญาณพวกนี้มันแปลกๆ! เมื่อครู่ข้าตรวจสอบแล้ว นอกจากประตูเมืองตะวันตก ประตูเมืองอื่นๆ โดนหมอกวิญญาณผนึกไว้หมด ตอนนี้การตรวจสอบด้วยจิตสัมผัสทั้งหมดในเมืองหมอกลับแลโดนผลกระทบด้วย การขี่กระบี่เหาะเหินก็ไม่มั่นคงเช่นกัน”

การขี่กระบี่คือการเน้นไปที่การใช้จิตสัมผัสกับพลังฤทธิ์ขับเคลื่อนสมบัติวิเศษ ถึงจะควบคุมกระบี่บินได้อย่างมั่นคง

ถ้ามีเพียงพลังฤทธิ์แต่ไม่มีพลังจิตสัมผัสควบคุม สมบัติวิเศษจะเหมือนกับรถที่ไม่มีพวงมาลัยและจะเกิดอุบัติเหตุทันที

เสิ่นเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมอกวิญญาณนี่รู้ว่าต้องล้อมเมืองหลักก่อน จากนั้นค่อยบุกเข้ามา จะต้องมีผู้แข็งแกร่งบงการอยู่แน่นอน ศิษย์พี่หญิง เราเลี่ยงเถาจองจำเซียนพวกนี้ไปก่อน คิดหาทางไปประตูตะวันตกให้เร็วที่สุดแล้วฝ่าวงล้อมออกไป!”

เสิ่นเทียนไม่ได้คิดจะกระโดดออกไป ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็เพิ่งอยู่ระดับสร้างฐานตอนต้น แม้พรสวรรค์จะแข็งแกร่งอยู่บ้าง อย่างมากสุดก็สู้กับผู้จริงแท้ระดับแก่นพลังทองได้เท่านั้น

แต่ตอนนี้เสิ่นเทียนเงยหน้ามอง บนฟ้าพระราชวังยังมีแม้กระทั่งผู้สูงศักดิ์ดวงจิตดรุณ

ตอนนี้ผู้สูงศักดิ์ดวงจิตดรุณออกมาทีเดียวเจ็ดคน ทุกคนแข็งแกร่งถึงขีดสุด ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ยังโดนหวายยักษ์ยาวร้อยจั้งหลายต้นพัวพันจนดิ้นไม่หลุด

ถ้าเสิ่นเทียนบุ่มบ่ามร่วมสงครามด้วย เกิดเจอหวายยักษ์ระดับดวงจิตดรุณเข้าล่ะ จะไม่โดนสูบจนแห้งไปเลยหรือ

ตอนนี้ต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน!

จางอวิ๋นซีพยักหน้าเล็กน้อย แม้นางจะโอหัง แต่ไม่ใช่คนโง่ที่ไม่รู้จักบุกหรือถอยแบบนั้น

อาณาจักรหมอกลับแลสถาปนาขึ้นมาหลายปี ย่อมมีไพ่ตายทรงพลังปกป้องเมืองหลักอยู่แล้ว ตอนนี้ต้องปกป้องชีวิตตนเองกับสหายก่อน

นางชักกระบี่พยัคฆ์ขาวข้างหลังออกมาปกป้องทุกคนพลางรีบไปที่ประตูเมืองตะวันตก

ต้องบอกว่าจางอวิ๋นซีทะลวงแก่นพลังทองแปดรอบแล้ว ถือว่ามีกำลังรบไร้พ่ายเลย นางผ่านถนนไป ถ้ามีเถาจองจำเซียนมาขวาง ปกติจะโดนนางฟันขาดในกระบี่เดียว

คมกระบี่พยัคฆ์ขาวผ่านไปที่ใด ของเหลวสีเขียวอมดำจะสาดกระเซ็นที่นั่น เปื้อนถนนเละเทะไปหมด ทางด้านเสิ่นเทียนทำหน้าที่ ‘เก็บศพ’ ที่คิดว่าตนควรทำมากที่สุด เก็บหวายขาดพวกนั้นอย่างฉับไวเช่นกัน

ถึงอย่างไรก็เป็นเถาจองจำเซียน ทั้งยังเป็นระดับสูงสุดของสายพันธุ์พิลึกที่หายากและขยับเองได้อีก!

เก็บเถาจองจำเซียนพวกนี้มาแล้ว จากนี้ก็เอามาหลอมโซ่จองจำเซียน มันจะไม่คุ้มค่าหรือ

เขามองจางอวิ๋นซีที่มีท่าทีองอาจห้าวหาญและแข็งแกร่งอย่างยิ่งพลางถอนหายใจโล่งอก

การที่พาศิษย์พี่หญิงอวิ๋นซีมาฝึกฝนด้วยเป็นทางเลือกที่ถูกต้องจริงๆ

…..

แต่ไม่นานนักความแกร่งของจางอวิ๋นซีก็เป็นที่สังเกตของหวายยักษ์พวกนั้น

ไม่ทันไรก็มีเถาจองจำเซียนขนาดยาวเกินร้อยจั้งสามต้นพุ่งมาหาจางอวิ๋นซี

กำลังรบของเถาจองจำเซียนสามต้นนี้เหนือกว่าต้นนั้นที่จางอวิ๋นซีเคยฟันขาดไปมาก

ไม่ว่าจะเป็นระดับความแข็งและทนทานหรือความคล่องแคล่ว ไปจนถึงไหวพริบและการร่วมมือกันตอนโจมตีล้วนมีประสิทธิภาพแบบก้าวกระโดด

เถาจองจำเซียนสามต้นร่วมมือกัน ทำให้จางอวิ๋นซีสลัดหลุดออกมาไม่ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ

ขณะเดียวกันยังมีเถาจองจำเซียนระดับแก่นพลังทองยาวสิบกว่าจั้งหลายต้นโจมตีมาที่พวกเสิ่นเทียน

สถานการณ์เริ่มเลวร้ายลงในพริบตา

…………………….

[1] นั่งสมาธิแบบหัวใจทั้งห้าชี้ฟ้า เป็นการนั่งสมาธิระดับสูง โดยหัวใจทั้งห้าหมายถึงกลางฝ่าเท้าทั้งสอง กลางฝ่ามือทั้งสองตั้งขึ้นฟ้า และศีรษะเงยหน้าขึ้นฟ้า