ตอนที่ 229 พันธุกรรม
“นั่นแสดงให้เห็นได้ชัดว่าอารมณ์และความรู้สึกของพี่เฉินมีปัญหา” ความรู้สึกของเขาต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะเป็นโรคที่รักษาไม่หายอย่างโรคสภาวะจดจำใบหน้าไม่ได้ได้ยังไงกัน
ไม่ได้นะ เธอต้องกลับไปถามหยางหยาง โรคนี้คงจะไม่ใช่โรคทางพันธุกรรมหรอกใช่ไหม?
“……” เธอจับแก้วไวน์ในมือแน่น แม้จะเคยเห็นความคิดเห็นในอินเทอร์เน็ตมาบ้าง แต่พอได้ยินคนพูดออกมาแบบนี้กลับอดที่จะรู้สึกแย่ไม่ได้
ปัญหาทางอารมณ์อะไรกัน ชอบที่เธอเป็นแบบนี้เลยถูกคนอื่นพูดไปต่าง ๆ นานาก็เท่านั้น ถ้าหากชอบเธอได้ อารมณ์พวกนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
อันโหรวไม่ได้พูดอะไรกับเธอต่อ สายตามองไปที่งานเลี้ยง และก็บังเอิญสบตากับจิ่งเป่ยเฉินที่กำลังมองเธออยู่พอดี เธอยกแก้วขึ้นเพื่อแสดงถึงการชนแก้วกับเขา เมื่อเขาเห็นแก้วในมือเธอเป็นแก้วไวน์ก็รีบเดินเข้ามาหาทันที
ระหว่างที่เขาเดินเข้ามาหา เธอก็รีบดื่มไวน์ในมือจนหมดแแก้ว และให้เหตุผลว่า “ฉันเพิ่งชนแก้วคุณไปนะ ไม่ดื่มไม่ได้”
จิ่งเป่ยเฉินนั่งลงข้าง ๆ เธอ ถังซือเถียนก็นั่งลงฝั่งตรงข้าม หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาดื่มและมองพวกเขา ภายในใจอัดอั้นจนแทบทนไม่ไหว
เธอที่กำลังดูรูปภาพก็ไม่ได้มีปฏิกริยาอะไรกลับมา เธอใช่อันโหรวหรือเปล่านะ ดูท่าทางของเธอไม่ออกเลยจริง ๆ
จิ่งเป่ยเฉินมองหน้าเธออย่างจริงจัง ดีที่ใบหน้าไม่ได้แต่งอะไรมากมาย
“ไม่ได้บอกให้นายเบี่ยงเบนความสนใจหรอกเหรอ นายจะเดินมาทำไม?” เธอกดเสียงต่ำ “ฉันแค่ดื่มไปนิดเดียวเอง”
“ดื่มให้มันน้อย ๆ หน่อย ฉันจะไปคุยเรื่องธุรกิจ” เขายื่นน้ำผลไม้มาตรงหน้าเธอด้วยความเป็นห่วงและกำชับเธอว่า “ห้ามหายไปจากสายตาของฉันเด็ดขาด”
“ก็เห็น ๆ อยู่ว่าฉันนั่งอยู่ตรงนี้ตลอด นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” เธอดื่มน้ำผลไม้ตรงหน้า “รสชาติไม่เลวเลย”
“ไปหาอะไรกินด้วย อย่ากินแต่น้ำ ไม่อย่างนั้นก็ไปกับฉัน เธอเลือกเอา” ที่นี่มีคนเยอะแยะมากมาย อาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ ทางที่ดีต้องคอยดูเธอไม่ให้ห่าง
“ฉันรู้แล้วค่ะคุณพ่อ” เธอผลักแขนเขาออกและกะพริบตามองเขา “ไปได้แล้ว!”
แม้ว่าเขาจะไม่สบายใจ แต่เมื่อคิดดูแล้ว เธอเองก็คงไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบได้ เว้นแต่เรื่องโอวหยางลี่ที่โดนเอาเปรียบเพราะก่อนหน้านั้นรู้จักกันไม่ดีพอ
โดนหลอกไปหนึ่งครั้ง เธอคงไม่โดนหลอกเป็นครั้งที่สอง
หลังจากที่จิ่งเป่ยเฉินเดินออกไป เธอก็ดื่มน้ำผลไม้อีกครั้ง ก่อนจะไปหาอะไรกิน เดินไปเดินมาแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
ถังซือเถียนก็ยังคงเดินตามมาอยู่ด้านข้างเธอ เธอเลือกเค้กเพียงไม่กี่ชิ้น ก่อนจะมานั่งลงที่เดิม ส่วนถังซือเถียนนั้นหยิบมามากกว่าเธอ แต่เธอเข้าใจความหมายดี เพียงแค่ต้องการหยั่งเชิงเธอเท่านั้น
เธอไม่ได้กังวลต่อการหยั่งเชิงแบบนั้น ของที่เธอชอบกิน ไม่กินในคืนนี้ก็ย่อมได้ ดังนั้นเธอจึงเลือกเค้กที่ดูไม่น่าเกลียดจนเกินไป
ขณะที่เธอกำลังกินอยู่นั้น จิ่งเป่ยเฉินกำลังคุยกับผู้ชายคนหนึ่งที่ใส่สูทลายดอกไม้และมีผมหงอกไปเกือบทั่วหัว และด้านหน้าของเฉาลี่เฟยก็มีผู้ชายใส่เสื้อสูทและรองเท้าหนัง เธอจึงให้ความสนใจมากขึ้น
จู่ ๆ ถังซั่วก็เดินเข้ามานั่งลงข้างถังซือเถียน แต่สายตากลับมองมาที่เธอ “เลขาอัน คืนนี้คุณดูสวยนะ”
“ขอบคุณค่ะ” เธอตอบรับคำชมของเขา
ถึงแม้เขาจะเคยเห็นเธอแบบยังไม่ได้แต่งหน้า หากยังหลอกลวงต่อไปก็คงดูไม่เห็นใจคนอื่นเลยจริง ๆ
“พี่คะ นี่สายตาพี่เป็นแบบพี่เฉินไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” ถังซือเถียนพูดอย่างไม่อ้อมค้อม ก่อนจะวางเค้กที่กำลังกินอย่างมีความสุขลงบนจาน และเงยหน้ามองเธอ “พี่ว่าเธอหรือฉันที่สวย?”
“แน่นอนว่าต้องเป็นคุณถังซือเถียนอยู่แล้ว เห็นได้ชัดขนาดนี้ยังจะถามอีกเหรอคะ? คุณถังเพิ่งพูดไปไม่กี่ประโยค” จู่ ๆ เธอก็แย่งตอบกลับก่อน คำถามนี้เป็นคำถามที่น่าเบื่อมาก ความจริงแล้วเธอไม่อยากให้ถังซั่วตอบด้วยซ้ำ
ถ้าหากเขาเกิดพูดว่าเธอสวยขึ้นมาละก็ เขาได้มีปัญหาทางด้านความรู้สึกเหมือนจิ่งเป่ยเฉินแน่ ๆ นี่มันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยด้วยซ้ำ
“เธอพูดก็มีเหตุผลดี!” เธอก้มหน้าลงกินขนมเค้กต่ออย่างเอร็ดอร่อย “ที่จริงแล้วคำพูดของเธอก็ดูไม่เลวเหมือนกันนะ”
ดีกว่าเธอหลายเท่า เธอถูกเลี้ยงแบบเอาใจมาตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เคยขาดตกบกพร่อง เรื่องความสวยความงามยิ่งขาดไม่ได้ อยากได้อะไรก็ต้องหามาให้ได้ อีกทั้งเธอจบมาสองปีแล้วแต่ยังไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง แม้ว่าจะทำงานกับตระกูลถัง แต่ก็แค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
เธอยิ้มโดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป สายตาของเธอมองไปรอบ ๆ ก่อนจะสะดุดเข้ากับเฉาลี่เฟย เหมือนว่าเธอไม่รู้จักชายคนนั้นที่เธอเห็นแค่ครึ่งหน้า
“คุณถังคะ คุณรู้จักผู้ชายคนนั้นหรือเปล่าคะ?” สายตาเธอมองไปที่พวกเขา
เฉาลี่เฟยเงยหน้าขึ้นดื่มไวน์ ใบหน้าและท่าทางของเธอดูมีความสุขกับการสนทนากับผู้ชายคนนั้นเป็นอย่างมาก
ถังซั่วหันหน้าไปมอง ช่างน่าเสียดายที่เขาเองก็ไม่รู้จัก
“สามารถเช็กได้”
“งั้นไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ” เธอยิ้มเล็กน้อย แม้อยากจะรู้แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาเป็นคนเช็ก ถึงคนตรงหน้าอยากจะช่วยเธอก็ตาม
ชายคนนั้นเพิ่งอยู่กับเฉาลี่เฟย พวกเขามาเจอกันที่นี่ ความจริงแล้วน่าจะมีจุดประสงค์อยู่
ในขณะที่เขาคิดอยู่นั้น ทันใดนั้นเธอก็ลุกขึ้นมองเขา “ฉันขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะคะ”
เธอมาบ้านพักของโอวหยางลี่อยู่หลายครั้ง ล้วนคุ้นเคยกับห้องน้ำเป็นอย่างดี
หลังจากที่ออกมาจากห้องน้ำก็บังเอิญเจอเหลียวเว่ยที่ใบหน้าแดงก่ำ ทันทีที่เธอเดินเข้ามา สายตาของเธอก็มองมาเป็นระยะ ๆ คิดว่าเธอเป็นโอวหยางลี่เสียอีก
เธอเดินผ่านเหลียวเว่ยออกไปโดยไม่สนใจ เหลียวเว่ยหันกลับมาและเดินตามหลังเธอออกไป ก่อนจะพูดขึ้นว่า “พวกเราไปเดินเล่นด้านนอกกันหน่อยไหม”
“ระหว่างเราสองคนถือว่าไม่ได้มีเรื่องให้คุยกันเท่าไร” เธอเพิ่งรับปากกับจิ่งเป่ยเฉินไปว่าจะไม่อยู่ห่างสายตาของเขา แต่สำหรับห้องน้ำถือว่าไม่นับ
“เธอเพิ่งถามถังซั่วไปไม่ใช่เหรอว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร? ฉันจะบอกเธอเอง” เหลียวเว่ยยิ้มอย่างลำบากใจ เธอมองเห็นอันโหรวเดินเข้ามาจึงรีบเดินตามเข้ามาทันที
“ฉันอยากรู้ก็สามารถเช็กดูเองได้ คุณนายโอวหยางไม่ต้องมาเสียเวลากับคนอย่างฉันหรอกค่ะ ฉันไม่ได้สนใจอะไรในตัวประธานโอวหยางเลย แม้เขาจะดีกับฉัน แสดงความเป็นธรรมกับฉัน ฉันก็ไม่ยอมลดตัวไปอยู่ชายกระโปรงของคุณหรอก” เธอเงยหน้าขึ้นมองแว่นตาอันใหญ่ของเธอ “แม้ฉันจะสวมแว่นตาแต่ก็ไม่ได้ตาบอด ระหว่างจิ่งเป่ยเฉินกับโอวหยางลี่ ฉันต้องเลือกคนของฉันแน่นอนอยู่แล้ว ฉันพูดแบบนี้คุณนายโอวหยางเข้าใจหรือเปล่าคะ?”
“ฉันไม่สนใจกับตำแหน่งของเธอหรอกนะ ฉันช่วยก็เพราะอยากช่วยเธอเท่านั้น” เธอเองก็ไม่อาจทนดูเฉาลี่เฟยได้ หากมีคนต้องการจัดการเฉาลี่เฟย เธอก็ยินดีช่วยอยู่แล้ว!
แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เธอมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ หรืออาจจะไม่จำเป็นต้องสู้กับเฉาลี่เฟยก็ยังได้ เธอยังหวังให้ความสัมพันธ์ระหว่างลูกสะใภ้กับแม่สามีเป็นไปได้ด้วยดี
อันโหรวกระตุกยิ้มมุมปาก “คุณนายโอวหยาง คุณทำแบบนี้ท่านประธานโอวหยางรู้เรื่องไหมคะ?”
“เรื่องของเหอเหมียวเธอเองก็รู้ เขาออกไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นมาสองวันแล้ว ฉันอยากสั่งสอนเขาก็ถือเป็นเรื่องปกติ!” เธอมองคนที่เดินเข้าออกไปมาจากด้านนอก “คนเยอะแยะแบบนี้ หรือเธอกลัวว่าฉันจะทำอะไรเธอ?”
อันโหรวกลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ เกิดหัวร้อนในที่มืดแบบนี้จะทำยังไง?
เธอเดินกลับไปที่ห้องโถง จิ่งเป่ยเฉินกำลังถูกล้อมรอบไปด้วยคนอื่น ๆ ขอให้เขาดึงดูดความสนใจก็ดูน่าสนใจมากเลยทีเดียว