บทที่ 162 หมอผีปรากฏตัว

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 162

หมอผีปรากฏตัว

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในช่วงนี้หลินซีเหยียนก็เริ่มรู้สึกได้รางๆถึงการเปลี่ยนไปในจวนมหาเสนาบดี แต่รายละเอียดนั้นนางยังไม่ได้ไปสืบดูให้ชัดเจน นางรู้เพียงแค่ว่ามหาเสนาบดีหลินนั้นดูเหมือนจะร่ำรวยและทรงอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆในช่วงนี้

หลินซีเหยียนจึงรู้สึกได้ถึงสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล แต่นางก็ไม่อยากที่จะเข้าไปถลำลึกด้วย อย่างไรเสียเรื่องโง่ๆที่มหาเสนาบดีหลินทำนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องแย่อะไรเท่าไร

ทีละเล็กทีละน้อย เดี๋ยวเรื่องนี้ก็จะค่อยๆกระจ่างออกมาเองในไม่ช้าหรือเร็ว

เรือนเชียนเหยียนที่ครั้งหนึ่งเป็นที่ที่ไม่มีใครอยากเข้ามา แต่ในเวลานี้มหาเสนาบดีหลินกลับเข้ามาเยี่ยมเยือนอยู่บ่อยมากขึ้นเรื่อยๆเพราะการกลับมาของหลินซีเหยียนและการเข้ามาอยู่ขององค์ชายจง

หลินซีเหยียนที่กำลังตากสมุนไพรอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงพูดคุยดังขึ้นอย่างไม่ชัดเจน

“ช่วงนี้อาการขององค์ชายจงดีขึ้นบ้างหรือไม่?”

มหาเสนาบดีหลินกับจงซู่เฟิงกำลังนั่งพูดคุยด้วยกันอยู่ที่ม้านั่งหินอ่อน และนึกถึงสิ่งที่ฮ่องเต้ได้ฝากฝังเขามา ซึ่งมีใบหน้าที่ไม่เป็นธรรมชาติปรากฏขึ้นบนสีหน้าของมหาเสนาบดีหลิน

จงซู่เฟิงก็ได้ผงกหัว แล้วกล่าวด้วยใบหน้าที่อ่อนโยน “ขอบคุณที่เป็นห่วงท่านมหาเสนาบดี การรักษาของแม่นางหลินนั้นยอดเยี่ยมมาก ถ้าข้าไม่โชคดีพบนาง ก็เกรงว่าข้าคงอยู่ในสภาพใกล้ตายแล้ว

คำเชยชมนี้ทำให้มหาเสนาบดีหลินนั้นรู้สึกภูมิใจ แม้ว่าหลินซีเหยียนนั้นจะเป็นลูกอกตัญญู แต่นางก็ยังเป็นลูกสาวของเขา

เมื่อเห็นสีหน้าของมหาเสนาบดีหลิน ที่มีสีหน้าภูมิใจในลูกสาวในตระกูลของตัวเองแล้ว นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกคลื่นไส้ในใจของนาง นางจึงได้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินหนีไป เมื่อไม่เห็นหน้าก็จะได้ไม่นึกถึง

มหาเสนาบดีหลินก็ได้หยิบชาขึ้นมาดื่มแล้วมองไปที่ จงซู่เฟิงอย่างเงียบๆ แล้วจากนั้นก็ถามแบบเปรยๆ “ท่านพอจะทราบข่าวเรื่องพ่อของท่านกับฮ่องเต้บ้างหรือไม่?”

จงซู่เฟิงที่ได้ยินคำถามนี้ก็ได้มองมาอย่างประหลาดใจ “ท่านมหาเสนาบดีไม่รู้เหรอว่าตัวประกันจากประเทศอื่นจะไม่สามารถรับรู้ข่าวสารได้น่ะ? เพราะมันจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองรัฐได้หากว่ารู้เข้าน่ะ”

“ชายชราผู้นี้ก็พอจะเคยได้ยินอยู่บ้าง” มหาเสนาบดีหลินก็ได้หรี่สายตาลงแล้วลูบหนวดของเขา “ก็หมายความว่า องค์ชายคงจะไม่ทราบข่าวอะไรจากรัฐจงสินะ”

จงซู่เฟิงก็ได้ผงกหัวแล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังมาก “ท่านมหาเสนาบดีหลิน ได้โปรดบอกกับฮ่องเต้ด้วยว่าในฐานะที่ข้าเป็นตัวประกันของรัฐจงแล้ว ข้าจะทำหน้าของข้าอย่างดีที่สุด”

ในขณะที่มหาเสนาบดีหลินคิดที่จะพูดอะไรบางอย่างอยู่นั้นเอง หลินซีเหยียนก็ได้เดินมาหาแล้วพูดอย่างเย็นชา “ท่านมหาเสนาบดีหลิน ท่านไม่มีงานต้องไปทำรึยังไง? รีบๆไปได้แล้ว ได้เวลาขององค์ชายจงทานยาและฝังเข็มแล้ว”

ต่อหน้าแขกแท้ๆ แต่เขากำลังถูกไล่โดยลูกสาวของเขาเอง ทำให้มหาเสนาบดีหลินไม่สามารถรักษาหน้าของตัวเองไว้ได้อยู่พักหนึ่ง เขาไม่สามารถสู้กับนางได้อีกจะโต้เถียงกลับยิ่งไม่ต้องพูดถึง

จากนั้นหลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาลงแล้วยักคิ้วให้กับ จงซู่เฟิง “องค์ชายจงคงไม่ทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐจงจริงๆสินะ?”

ความขัดแย้งภายในที่รุนแรงของรัฐจงนั้นไม่ใช่ความลับอะไรสำหรับราชวงศ์ในรัฐเจียง ส่วนหลินซีเหยียนนั้นก็ได้รู้มาจากเจียงหวายเย่ แต่ใบหน้าที่ใจเย็นของจงซู่เฟิงนั้นทำให้นางรู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

การต่อสู้ระหว่างองค์ชายของเชื้อพระวงศ์นั้นมักเกิดขึ้นอยู่เสมอ แต่เนื่องจากตัวตนของฮ่องเต้แล้วพวกเขาจึงได้แต่ต้องอดกลั้นมาโดยตลอด แต่ในเวลานี้คนที่จะคอยยับยั้งไม่อยู่แล้วพวกเขาจึงได้เริ่มปลดปล่อยออกมา

เมื่อใดที่มีองค์ชายในรัฐจงคนใดสืบทอดตำแหน่ง ตัวตนของจงซู่เฟิงนั้นก็จะไร้ความหมายทันที เพราะในฐานะตัวประกันแล้วองค์ชายคนอื่นๆคงจะไม่สนใจความเป็นความตายของ จงซู่เฟิงแน่นอน

จงซู่เฟิงก็ได้บิดริมฝีปากแดงๆของเขา แววตาของเขาไม่ได้สว่างไสวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว “ในเวลานี้ข้าอยู่ในรัฐเจียง การที่ข้ารู้หรือไม่รู้อะไร ก็ไม่สำคัญไม่ใช่เหรอ?”

อยู่ด้วยกันมาพักใหญ่ๆ แต่หลินซีเหยียนก็ไม่เคยเห็นท่าทีที่โดดเดี่ยวเช่นนี้ของเขามาก่อนเลย นางจึงได้รีบเปลี่ยนเรื่องคุย “อาการของท่านน่าจะหายดีภายใน 10 กว่าวันนี้แหละ”

“ขอบคุณแม่นางหลินมาก” เสียงที่อ่อนโยนราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลินี้ทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา

“พระชายาแย่แล้วขอรับ มีเรื่องเกิดขึ้นขอรับ”

เสียงที่กระวนกระวายดังขึ้นมาทำลายความเงียบในขณะนั้นทันที แล้วจี๋เฟิงก็ได้พรวดพราดเข้ามาพร้อมกับถือจดหมายฉบับหนึ่งไว้ในมือของเขา

หลินซีเหยียนก็ได้อ่านเนื้อหาด้านใน แล้วแววตาของนางก็ได้ส่องแสงขึ้นมาทันทีแล้วจากนั้นก็ได้บอกลาจงซู่เฟิงไปด้วยเสียงอ่อยๆ แล้วจากนั้นก็ได้จากไปพร้อมกับจี๋เฟิง

จงซู่เฟิงก็ได้มองไปยังทิศทางที่นางจากไป ด้วยสีหน้าที่ครุ่นคิดบนใบหน้าของเขา แล้วสุดท้ายเขาก็ได้ยิ้มอย่างชั่วร้ายช้าๆที่มุมปากของเขา

ณ พระราชวังรัตติกาล หลินซีเหยียนก็ได้ไปที่ตำหนักของเจียงหวายเย่ แล้วดวงตาของนางก็ได้เบิกกว้างขึ้นมา เมื่อนางเห็นชายชราอายุเกินครึ่งร้อย 2 คนกำลังนัวเนียกันเองอยู่ ในขณะที่เจียงหวายเย่นั้นลงไปนอนปางตายอยู่ที่พื้นด้วยสีหน้าซีดๆ ที่หน้าอกของเขานั้นเต็มไปด้วยเลือดสีแดงเข้ม

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” หลินซีเหยียนก็ได้รีบไปอยู่ข้างๆเจียงหวายเย่ แล้วจับข้อมือของเขาเพื่อตรวจชีพจร

ชีพจรของเขาสงบนิ่งเป็นปกติ และไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆเลย

เจียงหวายเย่ก็ได้ลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วจากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่แหบและอ่อนแรง “ทันทีที่ท่านอาจารย์อามาถึง เขาก็ได้เอายาเม็ดหนึ่งยัดใส่ปากขององค์ชาย แล้วจากนั้นองค์ชายก็ได้กระอักเลือดออกมา แล้วท่านอาจารย์กับท่านอาจารย์อาก็ได้เริ่มต่อสู้กัน”

“ท่านอาจารย์อา?”

หลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาลงแล้วมองดูอย่างตกใจ อาจารย์ของนางกับอาจารย์ของเจียงหวายเย่นั้นเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน เมื่อเห็นชายชราทั้งสองคนกำลังทะเลาะกันอยู่เช่นนี้ หลินซีเหยียนก็ได้ตะโกนออกไป “ท่านอาจารย์ หยุดเดี๋ยวนี้!”

ผู้เฒ่าเทียนหยาเมื่อได้ยินเสียงของศิษย์รักของเขาแล้ว การเคลื่อนไหวของเขาก็ได้ช้าลงไป แล้วจากนั้นเขาก็ถูกต่อยอีกฝ่ายต่อยเข้าที่หน้า

“แกไอ้แก่ตายยาก แกกล้าแอบต่อยข้าทีเผลอเรอะ แล้วยังทำต่อหน้าศิษย์รักของข้าอีก” ด้วยความโกรธของเขา ผู้เฒ่าเทียนหยาก็ได้ออกแรงที่แขนและขาของเขามากขึ้นไปอีก

หลังจากที่ถูกอาจารย์ของเจียงหวายเย่ลอบชกเข้าไปที คิ้วของเขาก็ได้ขมวดขึ้นมาหน่อยๆ แต่ดูผู้เฒ่าเทียนหยามีท่าทียินดีกับมันมาก

ผู้เฒ่าเทียนหยานั้นเชี่ยวชาญด้านการแพทย์มาก แต่หลินซีเหยียนก็ไม่นึกว่าท่านอาจารย์ของนางนั้นจะมีวรยุทธ์ที่เก่งกาจถึงเพียงนี้ ถ้ารู้แบบนี้นางน่าจะถามท่านอาจารย์ของนางว่ามีวิชาตัวเบาสอนให้นางบ้างหรือไม่

ในขณะที่ผู้เฒ่าเทียนหยาเริ่มที่จะต้านแรงกายของอีกฝ่ายไม่ไหวและเริ่มจะโดนอัดบ้างแล้ว เขาก็ได้ถอยหนีไปหลบอยู่ข้างหลังหลินซีเหยียนแล้วตะโกน “เจ้าช่วยจัดการเขาแทนอาจารย์ที”

มองไปด้านหน้า ก็พบท่านอาจารย์อาที่ทั้งสูงและน่าเกรงขามที่กำลังเดินมาหานางแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มอย่างงดงามแล้วกล่าว “ท่านอาจารย์ของข้าได้ให้ยาชั้นเลิศแก่เจียงหวายเย่ เพื่อช่วยขับพิษให้เขาจริงๆเจ้าค่ะ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ อีกฝ่ายก็ได้ทำเสียงขึ้นจมูกแล้วจากนั้นก็ได้กล่าวด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ “เห็นแก่เจ้าที่เป็นศิษย์หลาน ข้าจะไม่ทำอะไรเจ้า”

แล้วจากนั้นเขาก็ได้เดินไปหาเจียงหวายเย่แล้วก็ประคองเจียงหวายเย่ขึ้นมา แล้วตรวจสอบด้วยกำลังภายในของเขาแล้วจากนั้นก็ผงกหัว “เหมือนจะไม่เป็นอะไรจริงๆ”

“เจ้าแก่ตายยากเอ๊ย อย่างข้าจะไปทำร้ายศิษย์หลานของข้าได้ยังไง?”

ผู้เฒ่าเทียนหยาก็ได้กล่าวด้วยสีหน้าที่ไม่ดีแล้วอยากที่จะทะเลาะต่อ แต่เขาก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนเป็นเชิงบอกให้นางรั้งเขาเอาไว้

หลินซีเหยียนก็ได้บิดปากอย่างช่วยไม่ได้ แต่นางก็ยังต้องช่วยอาจารย์ของนางในการเล่นละครอยู่ดี

“ท่านอาจารย์อาได้โปรดอย่าโมโหเลย องค์ชายจะขอโทษท่านแทนท่านอาจารย์เอง” เจียงหวายเย่ก็ได้ยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากของเขา ด้วยใบหน้าหล่อๆของเขาทำให้ผู้เฒ่าเทียนหยาหุบปากของเขา

“เห็นแก่ศิษย์หลานที่หล่อเหลาของข้าแล้ว ข้าจะไม่สนการกระทำของอาจารย์เจ้าก็ได้”

แล้วผู้เฒ่าเทียนหยาก็ได้งอนแก้มป่อง แล้วจมูกของเขาก็ได้เชิดสูงอย่างดูภาคภูมิใจ

ด้วยเหตุนี้อาจารย์ของเจียงหวายเย่ที่ยังคงนิ่งเงียบอยู่นั้น แต่ในขณะที่เจียงหวายเย่กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง อาจารย์ของเจียงหวายเย่จู่ๆก็กระอักเลือดสีดำออกมา แม้แต่ขาของเขาก็เหมือนยืนไม่อยู่แล้วล้มลงไป