บทที่ 161 ก็เพราะรัก

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 161

ก็เพราะรัก

เมื่อหลินซีเหยียนกลับมายังจวนมหาเสนาบดี ก็พบว่า จงซู่เฟิงนั้นยังไม่ได้กลับมา ซึ่งก็ใกล้ได้เวลาให้ยาแล้ว นางจึงได้ส่งคนออกไปตาม

ยาทุกมื้อของจงซู่เฟิงนั้นจะมีผลแค่ในระยะเวลาหนึ่งๆเท่านั้น จึงไม่ควรที่จะล่าช้าออกไป

นางรอนั่งอยู่ที่ม้าหินในสวนนั้น หลินซีเหยียนก็กำลังแกะเมล็ดแตงโมนั่งจิบชา ไม่ไกลจากนางจะมีหม้อต้มยาตั้งอยู่ ในเวลานี้หม้อต้มยานั้นกำลังส่งควันสีขาวออกมา ดูเหมือนว่ายาน่าจะได้ที่แล้ว ใกล้เวลาที่จะพร้อมทานได้แล้ว

เพราะช่างช่านกับเหลยถิงนั้นออกไปพร้อมกับจงซู่เฟิง และก็ไม่ใช่การดีที่จะให้คนอื่นต้มยาให้ หลินซีเหยียนจึงได้ลงมือทำเอง

“พระชายาขอรับ คุณหนูห้าบอกว่าทานยาช้าหน่อยก็ไม่เห็นเป็นอะไร แล้วนางก็ได้รั้งให้ท่านชายจงชื่นชมดอกไม้กับนางต่อขอรับ”

หลังจากที่ผ่านไปพักใหญ่ๆ นางที่ยังไม่เห็นคุณชายจงมา แต่กลับเป็นจี๋เฟิงที่นางส่งให้ไปตามกลับมาแทน จี๋เฟิงนั้นกลับมาอย่างว่องไว สีหน้าของเขานั้นดูไม่ดีมากๆ ดูเหมือนเขากำลังโกรธหลินรั่วจิ่งอยู่แน่ๆ

หลินซีเหยียนก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่หม้อต้มยา แล้วเทยาต้มลงในชามหยก แล้วจากนั้นก็ใส่ลงไปในกล่องปิ่นโตที่เตรียมเอาไว้

แล้วเงยหน้ามองไปที่จี๋เฟิง แล้วหลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นึกสนุก “นำไปซิ ข้าอยากที่จะพบ“น้องสาวตัวดี”ของข้าเสียหน่อยว่ากำลังทำอะไรอยู่?”

ฤดูกาลนี้ช่างเป็นฤดูกาลที่เหมาะสมแก่การชมดอกไม้เสียจริงๆ ก่อนที่หลินซีเหยียนกับจี๋เฟิงจะเข้าไปในสวน พวกเขาก็ได้กลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ลอยออกมา ซึ่งพอทั้งคู่เข้าไปด้านในกลิ่นหอมของดอกไม้ก็ได้แผ่ออกมาอย่างท่วมท้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกไม่ดีแต่อย่างใด

แล้วสีสันของดอกไม้ที่บานประชันกันอยู่นั้นราวกับกำลังโอ้อวดให้เชยชมอยู่

เดินไปตามเส้นทางในสวนดอกไม้ หลินซีเหยียนก็พบทั้งสองคนที่กำลังพูดคุยและหยอกล้อกันอยู่ แต่ก่อนที่หลินซีเหยียนจะได้พูดอะไร จงซู่เฟิงพบนางเข้าเสียก่อน

จงซู่เฟิงจึงได้รีบลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าที่โล่งอกบนใบหน้าของเขา “แม่นางหลินกำลังตามหาเราอยู่เหรอ?”

“ท่านชายจงไม่ควรที่จะลืมว่าถึงเวลาทานยาของท่านแล้วนะ” หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มขณะที่กำลังถือปิ่นโตในมือของนาง

“เราต้องขอโทษด้วยที่ทำให้แม่นางหลินลำบาก” จงซู่เฟิงก็ได้ก้มหน้าลงราวกับไม่กล้าที่จะมองหน้าของหลินซีเหยียน

เมื่อเห็นสีหน้ารู้สึกผิดของจงซู่เฟิง หลินรั่วจิ่งก็ได้ขมวดคิ้วแล้วลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวกับหลินซีเหยียนด้วยสีหน้าที่เห็นอกเห็นใจ “ท่านพี่ ท่านอย่าเข้มงวดกับองค์ชายจงนักเลยเจ้าค่ะ เห็นไหมว่าองค์ชายกลัวหมดแล้ว”

ไม่ว่าจะฟังอย่างไร ก็เห็นได้ชัดว่านางนั้นกำลังโทษ หลินซีเหยียนที่กล่าวออกมาเช่นนั้นอยู่

เมื่อได้ยินเช่นนี้ จงซู่เฟิงก็ได้เงยหน้าขึ้นมาแล้วโบกมือปัด “เราไม่ได้ไม่พอใจอะไร เราแค่กำลังรู้สึกผิดต่อแม่นางหลินเท่านั้น”

หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มและไม่ได้แสดงอารมณ์โกรธอะไรแล้วกล่าว “ไม่ต้องกังวลไปองค์ชายจง ข้าไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น แต่ยาตัวนี้จำต้องทานให้ตรงเวลา ไม่เช่นนั้นผลของยาจะไม่ต่อเนื่อง แล้วสิ่งที่พวกเราทำไปทั้งหมดก่อนหน้านี้ก็จะสูญเปล่า”

“ท่านพี่กล่าวเกินจริงไปแล้ว!” หลินรั่วจิ่งก็ได้ยืนอยู่ข้างๆจงซู่เฟิงด้วยสีหน้าที่ช่วยไม่ได้ ราวกับว่าหลินซีเหยียนนั้นกำลังพูดจาไร้สาระ ที่นางพูดมานั้นไม่จริง

หลินซีเหยียนจึงไม่อาจปล่อยให้นางโผล่มาตรงหน้าได้อีก แล้วอาศัยโอกาสนี้ในการเขี่ยหลินรั่วจิ่งออกไป นางจึงได้กล่าวอย่างหมดความอดทน “คุณหนูห้าอาจจะไม่เข้าใจเรื่องของยาและวิธีการ ซึ่งข้าก็ไม่โทษเจ้าหรอกที่จะเข้าใจข้าผิดไปน่ะ”

ท่ามกลางข้ารับใช้ที่อยู่มากมายในสวนหลวงแห่งนี้ หลินซีเหยียนก็ได้พูดออกไปตรงๆว่าหลินรั่วจิ่งนั้นไม่เข้าใจวิชาการแพทย์แล้วอย่ามายุ่มย่ามเรื่องของนาง ทำให้หลินรั่วจิ่งนั้นเสียหน้าอย่างมากและดวงตาสวยๆของนางก็แดงขึ้นมา

“ท่านพี่ ในสายตาของท่านน้องสาวคนนี้คงไร้เหตุผลมากเลยสินะเจ้าคะ ข้าก็แค่อยากให้องค์ชายจงมีความสุขเพื่อที่เขาจะได้หายไวยิ่งขึ้น แล้วท่านพี่จะได้ไม่ต้องทำงานอย่างหนักทุกวัน ในเมื่อท่านพี่ไม่เห็นคุณค่าของมันแล้วข้ายังจะพูดอะไรต่อได้อีก?”

การร้องไห้ที่เต็มไปด้วยความเจ็บใจและเสียใจนี้ ทำให้สายตาของผู้คนรอบๆจับจ้องไปที่หลินซีเหยียนด้วยความรังเกียจ

จี๋เฟิงก็ได้บิดริมฝีปากของเขา ซึ่งเขาเห็นได้ชัดว่าคุณหนูห้านั้นอยากที่อยู่ใกล้ๆองค์ชายจง แต่ในเวลานี้นางได้พูดเช่นนี้เพื่อที่จะกันพระชายาออกไป ช่างไร้ยางอายจริงๆ

และเพราะเขารู้ว่าพระชายานั้นไม่ใช่คนที่มาเจ็บปวดกับอะไรเช่นนี้ และจะต้องมีแผนอะไรอยู่ในใจเป็นแน่ เพื่อที่จะไม่เป็นการรบกวนพระชายา จี๋เฟิงจึงคิดว่าจะเป็นการฉลาดกว่าที่จะไม่พูดมากออกไป

หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่ผู้หญิงที่น่าสงสารที่อยู่ตรงหน้านาง แล้วก็ได้เผยรอยยิ้มออกมาอย่างช้าๆที่มุมปากของนาง “แสดงว่าคุณหนูห้านั้นจะมาช่วยรับผิดชอบร่วมกันกับข้าสินะ?”

หลินรั่วจิ่งก็เข้าใจความหมายขึ้นมาได้ทันทีทำให้นางรู้สึกผงะขึ้นมาเล็กน้อย มันจะเป็นการยากที่จะขี่หลังเสือในเวลานี้ ถ้าหลินซีเหยียนอยากจะให้นางต้องกลายเป็นปีศาจขึ้นมา นางก็จะไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้เลย

แล้วนางก็ได้ผงกหัวอย่างมีไหวพริบ “นั่นคือสิ่งที่ท่านพี่คิดสินะเจ้าคะ เพราะความใจดีของข้าทำให้ข้าเกือบจะทำสิ่งที่ไม่ดีลงไป ดังนั้นข้าจะไม่ขอรบกวนองค์ชายจงอีก”

พูดได้เลยว่าหลินรั่วจิ่งนั้นเป็นคนที่ฉลาดไม่เลวเลยจริงๆ คำพูดเหล่านี้แม้จะฟังดูดี ซึ่งถ้านางเป็นคนธรรมดาๆ นางคงจะยกโทษให้หลินรั่วจิ่งไปแล้ว แต่ทว่าเสียใจด้วยที่นางเจอกับ หลินซีเหยียน

หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัวด้วยความยินดี “ก็ดีแล้วที่เจ้าคิดได้ ดังนั้นก็อย่ามายุ่มย่ามให้มากนัก”

หลังจากที่พูดจบหลินซีเหยียนก็ได้จากไปพร้อมกับ จงซู่เฟิง โดยที่จงซู่เฟิงไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยระหว่างทาง

หลังจากที่พูดคุยกันไปสักพัก ยาที่ร้อนก็ได้อุ่นลงมาแล้ว จึงเป็นเวลาเหมาะที่จะได้ทานยา หลินซีเหยียนจึงได้หยุดมองหาที่พัก

เพราะสวนหลวงแห่งนี้เป็นที่ที่เหล่าคุณหนูและหญิงสาวจะมาชื่นชมดอกไม้ จึงได้มีม้านั่งหินอ่อนตั้งอยู่ไม่ไกลออกไป หลินซีเหยียนก็ได้วางปิ่นโตที่ม้านั่งหินอ่อนแล้วส่งยาต้มให้กับ จงซู่เฟิง

“เราทำให้แม่นางต้องลำบากจริงๆ”

จงซู่เฟิงได้พร่ำขอโทษ เขานั้นเกิดในตระกูลราชวงศ์ ปัญหาภายในครอบครัวย่อมมากว่าของตระกูลมหาเสนาบดีเล็กๆอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีความสามารถอะไร แต่เขาก็พอจะมองปัญหานี้ออกจากบทสนทนาของหลินรั่วจิ่งกับ หลินซีเหยียน

หลินซีเหยียนจึงได้โบกมือไม่เป็นไร ดูเหมือน หลินซีเหยียนนั้นจะไม่สนใจเท่าไร “มันไม่ใช่ความผิดของท่านหรอก”

ในขณะที่ทั้งสองคนได้เดินทางกลับมาถึงเรือน เชียนเหยียน พวกเขาก็พบประมุขหอพันกลในชุดสีดำพร้อมด้วยหน้ากากหยกสีดำบนใบหน้าของเขา

“เรียบร้อยแล้วเหรอ?”

จงซู่เฟิงนั้นไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่หลินซีเหยียนนั้นรู้ว่าฮ่องเต้เจียงกับเจียงหวายเย่นั้นผิดใจกันอย่างมาก จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เจียงหวายเย่จะเข้าไปที่พระราชวังโดยไม่มีปัญหาอะไร

เจียงหวายเย่ก็ได้ตอบด้วยน้ำเสียงที่แหบต่ำ ที่แสดงถึงความยินดีและผงกหัว “ก็แค่เรื่องเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องที่แม่นางหลินต้องมาเป็นกังวลหรอก”

โดยไร้ซึ่งการพูดคุยใดๆ หลินซีเหยียนก็ได้มุ่งตรงกลับไปที่ห้องของนาง เหลือไว้เพียงเจียงหวายเย่ที่เผชิญหน้ากับจงซู่เฟิงโดยไร้ซึ่งการพูดคุยใดๆชวนให้อึดอัดนัก

เพื่อที่เป็นการไม่ให้บรรยากาศแย่มากไปกว่านี้ จงซู่เฟิงจึงได้เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน “บรรยากาศของท่านราวกับเป็นขุนนาง ท่านดูไม่เหมือนคนธรรมดาเลย แต่เราไม่ทราบว่าทำไมท่านถึงได้ปรารถนาที่จะอยู่เงียบๆไร้ชื่อเสียงเช่นนี้”

แล้วก็มีแววตาแปลกๆปรากฏในดวงตาของเจียงหวายเย่ แล้วเขาก็ได้เผยรอยยิ้มขึ้นมาที่มุมปากของเขา “เพราะข้ามีเป้าหมายอยู่ที่แม่นางหลิน”

คำพูดโดยไม่ปิดบังนี้ช่างน่าชื่นชมนัก แต่สีหน้าของ จงซู่เฟิงกลับเปลี่ยนไป ตอนแรกเขาคิดว่าจะมีความสัมพันธ์กันในด้านผลประโยชน์ แต่ไม่ได้คิดเลยว่าจะเป็นเพราะเขาชอบแม่นางหลิน

“แม่นางหลินนี่ช่างสุดยอดจริงๆ”