หญิงสาวยืนอยู่ข้างเสาระเบียงต้นหนึ่ง ดวงตาสวยใสทอประกายเย็นชา พุ่งมองมาที่มู่หรงไท่โดยไม่หลบเลี่ยงแต่อย่างใด
มู่หรงไท่ยิ้ม เมื่อเห็นว่ารอบบริเวณไร้ผู้คน ก็หรี่ตา เดินมือไพล่หลังเข้าหา แล้วจงใจพูด
“ชิ่นเอ๋อร์ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคนมาหาข้าเอง…ตอนนี้เรายังไม่ได้แต่งงานกัน มาพบกันเป็นการส่วนตัวในบ้านเจ้าดูจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ แต่เจ้าวางใจ อีกไม่กี่วัน เราสองคนก็จะเป็นสามีภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว คราวนี้จะได้เห็นหน้ากันทุกวันเลย” พูดถึงตรงนี้ ก็ทำเสียงต่ำ แล้วหยิกแกมหยอก “เห็นหน้ากันทุกคืนด้วย”
มุ่งมั่นมากจริงๆ เอาความมั่นใจมาจากไหนกัน อวิ๋นหว่านชิ่นได้แต่จ้องมองเขา พลางพูดอย่างตรงไปตรงมา ช้าๆ และชัดๆ
“มู่หรงไท่ ข้าไม่สนหรอกว่า เหตุใดเจ้าถึงต้องแต่งกับข้าให้ได้ แต่ชาตินี้ ชาติหน้า และชาติต่อๆ ไป ข้าไม่มีวันแต่งกับเจ้าแน่ ส่วนชาตินี้ที่เจ้ามุ่งมั่นขนาดนี้ มิใช่เป็นเพราะต้องการเป็นซื่อจื่อ เป็นท่านโหว เอาชนะพี่ชายเจ้าหรอกหรือ ซึ่งถ้าเจ้ายังยืนกรานที่จะทำให้ข้าเดือดร้อน ข้าก็สามารถทำให้เจ้าอยู่อย่างไม่เป็นสุขได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นเราสองคนควรรักษาระยะห่างไว้ เป็นดีที่สุด”
มู่หรงไท่รู้ว่านางมาครั้งนี้ เพียงต้องการหยั่งเชิงความคิด และทำลายความเชื่อมั่นของตน จึงย่นจมูกโดยไม่รู้ตัว ตนแค้นท่าทางเย็นชาที่ไม่มีหัวจิตหัวใจของนาง ชาติก่อนหลังจากที่ตนนอกใจนาง นางก็เป็นเช่นนี้ ต่อหน้าไม่เอะอะโวยวาย แต่ลับหลังกลับใช้มีดแทงตน ชาตินี้พอรู้ว่าตนกับอวิ๋นหว่านเฟยแอบมีอะไรกัน ก็ยิ่งเย็นชากับตนดุจน้ำแข็ง แล้วยังเหยียบซ้ำอีก!
ทำไม ทำไมหญิงสาวนางนี้ถึงไม่ทำตัวเหมือนหญิงสาวทั่วไป ร้องไห้ร้องห่ม แล้วกอดตนไว้ ขอร้องให้ตนอย่าจากไป? ท่าทางที่นิ่งเฉยของนาง ทำให้ตนรู้สึกถึงความพ่ายแพ้!
เกิดแสงวาบขึ้นในหัวมู่หรงไท่ เขาไม่สนใจใดๆ อีก ก้าวเข้าหาแล้วยื่นหน้าเข้าใกล้สาวน้อยหน้าหยก
“เจ้านึกว่า เป็นเพราะตอนนี้เจ้ามีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมา ข้าจึงมาขอเจ้า? หรือเป็นเพราะพ่อเจ้ากำลังจะได้เลื่อนขั้นเป็นเจ้ากรมกลาโหม ข้าจึงนั่งไม่ติด? เจ้านึกว่าข้าไม่เคยเห็นโลกงั้นสิ? เจ้านึกว่าจวนกุยเต๋อโหวตกต่ำจนต้องเกาะบ้านสกุลอวิ๋นกินหรือไง ข้าบอกเจ้า อวิ๋นหว่านชิ่น ถ้าก่อนหน้านี้ เจ้านึกว่าข้ามาตีสนิทกับเจ้าเพราะต้องการแก้แค้นล่ะก็ เลิกคิดได้เลย ตอนนี้ที่ข้ามาขอเจ้า ก็เพราะเจ้าเป็นเจ้า จำไว้นะว่า ข้ากับเจ้าต้องคู่กัน! เมื่อก่อนเจ้าแต่งกับข้า ตอนนี้ก็ถูกกำหนดให้แต่งกับข้า ถ้ามีชาติหน้า และชาติต่อๆ ไป เจ้าก็ยังคงแต่งกับข้าเหมือนเดิม! ได้ยินหรือยัง! ไม่ว่าชาติไหนเจ้าก็เป็นคนของข้า! เว้นเสียแต่ว่าเจ้าสามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน! แก้ไขประวัติศาสตร์ ขัดมติสวรรค์!”
พูดไปๆ อารมณ์ของมู่หรงไท่ก็พลุ่งพล่านขึ้นมา พอเห็นนางเบือนหน้าหนีด้วยความรังเกียจ ก็ใช้มือบีบ
คางนาง คิดกระชากเข้ามา
พอได้ยินคำพูดท่อนหลังๆ ของเขา อวิ๋นหว่านชิ่นก็รู้สึกงุนงงอยู่บ้าง อะไรคือแก้แค้นตน…แก้แค้นอะไรตน? ยังมี เมื่อก่อนแต่งกับเขา ตอนนี้ก็ถูกกำหนดให้แต่งกับเขา…บ้าบออะไรอีก!
ยังไม่ทันขบคิด ก็เห็นเขาลงไม้ลงมือ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงอ้าปากตามสัญชาติญาณ แล้วงับลงไปโดยไม่แม้กระทั่งคิด
พอมู่หรงไท่โดนกัด ก็ได้สติ สะบัดมือแรงๆ แล้วก้าวอาดๆ จากไป
และในตอนนี้เอง เมี่ยวเอ๋อร์ก็วิ่งตึงตังเข้ามา ด้วยไม่ไว้ใจที่คุณหนูใหญ่มาคนเดียว เมื่อเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นมีสีหน้างุนงงอยู่ครึ่งค่อนวัน ก่อนคืนสู่ปกติ ก็คิดถาม แต่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับเอ่ยขึ้นก่อน
“เมี่ยวเอ๋อร์ สองวันนี้เจ้าคอยตามดูมู่หรงไท่ให้หน่อย”
ด้านอวิ๋นเสวียนฉั่ง ตกเย็น พอทำงานเสร็จ ก็ตรงไปยังรังรักปัจจุบันเหมือนทุกๆ วัน
ในเรือนเจี่ยวเย่ว์ เหลียนเหนียงถอดเสื้อคลุมและปัดฝุ่นตามตัวให้เจ้าบ้าน ยื่นชาร้อนให้จิบ จากนั้นก็พาไปนั่งบนตั่งนุ่มนิ่ม แล้วลงมือทุบหลัง บีบนวดคลายกล้ามเนื้อให้ สุดท้ายก็เช่นเคย เดินไปนั่งข้างกู่เจิง เล่นเพลงช้าๆ ฟังสบายๆ ให้ท่านพี่ฟังคลายเครียด
วิธีปรนนิบัติสามีที่สมาคมม้าผอมสอนให้กับคนอยากเป็นอนุนั้น ทั้งยอดเยี่ยมและมืออาชีพ มีขั้นมีตอน ค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ผู้ชายตกอยู่ในภวังค์ความอ่อนโยนละมุนละไม จนไม่อยากตื่น
รอจนอวิ๋นเสวียนฉั่งรู้สึกผ่อนคลายและอารมณ์ดีแล้ว เหลียนเหนียงค่อยหาจังหวะ เอ่ยปากถึงเรื่องในห้องรับแขก
อวิ๋นเสวียนฉั่งในตอนนี้เห็นนางเป็นดอกไม้พูดได้ กับสมบัติในดวงใจไปแล้ว จึงมองว่านางบังเอิญได้ยินตอนไปรินน้ำชา ถึงได้ถามขึ้น จึงดึงมือนางมา ยิ้มพลางว่า
“ทำไมล่ะ เจ้ารู้สึกว่าคุณชายรองมู่หรงนั่นไม่เลวหรือ”
เหลียนเหนียงเพียงซบลงกับอ้อมอกผู้ชาย ลูบไล้เนื้อผ้าตรงหน้าอกเขาไปมา พลางพูดเสียงหวาน
“เรื่องการแต่งงานของคุณหนูใหญ่ ข้าไหนเลยจะกล้าพูดพร่ำเพรื่อ เพียงพูดจากสายตาของคนที่มองจากด้านข้าง คุณหนูใหญ่กับคุณชายรองผู้นั้นดูเหมาะสมกันดี คิดไปคิดมา ข้าก็คิดไม่ออกแล้วว่า จะมีลูกเขยที่เหมาะสมเป็นคนที่สองให้เลือกอีก”
อวิ๋นเสวียนฉั่งลูบคลำมือของอนุคนโปรดพลางสั่นศีรษะ
“เดิมทีข้าก็ไม่รู้หรอกว่าชิ่นเอ๋อร์มีความสามารถเช่นนี้ เจ้าน่ะยังไม่รู้ว่าตอนนี้นางโด่งดังมากในหมู่ลูกชายเจ้าใหญ่นายโต พวกเขาล้วนพูดกันว่านางเป็นที่โปรดปรานของไทเฮา อีกทั้งได้ทำการช่วยเหลือลูกสาวนายทหารผู้ล่วงลับเอาไว้ ค่อนข้างมีความห้าวหาญและจิตใจแบบสตรียุคบุกเบิกบ้านเมืองเลยทีเดียว ผู้ร่วมงานไม่น้อยทั้งผลักทั้งดันลูกชายหลานชายของพวกเขากับข้า ในจำนวนนี้ สถานะก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคุณชายจากจวนกุยเต๋อโหวเลย แล้วจำเป็นด้วยหรือที่ข้าต้องถอยหลังกลับไปฝืนใจปรองดองด้วย ตอนแรกตาเฒ่าของจวนโหวนั่นมิได้โกรธข้าหรอกหรือ ครั้งนี้ข้าจึงต้องเลือกให้ดีๆ สักหน่อย!”
เหลียนเหนียงคลึงหน้าอกเขาเบาๆ คล้ายช่วยให้เลือดลมไหลเวียนสะดวก พลางพูดด้วยโทนเสียงที่ราบเรียบ “ข้าขอพูดในสิ่งที่ไม่ควรจะพูดเล็กน้อย ท่านพี่ฟังแล้วอย่าเพิ่งโกรธข้าล่ะ”
อวิ๋นเสวียนฉั่งอยากกลืนกินนางลงไปทั้งตัวแทบไม่ทัน ไหนเลยจะโกรธนางลง “ว่ามาสิ”
เหลียนเหนียงจึงค่อยๆ พูดด้วยน้ำเสียงสูงต่ำอย่างมีจังหวะจะโคน
“ชื่อเสียงนี้หนอ มีทั้งของจริงและของปลอม คุณหนูใหญ่โดดเด่นในชั่วพริบตา จึงถูกกล่าวขวัญขึ้นมา ความโด่งดังเช่นนี้ อาจเป็นเพียงภาพลวงตา คุณชายของบ้านเจ้าใหญ่นายโตเหล่านั้นแค่เห่อกันไปชั่วขณะ เหมือนร้านข้างถนน ที่พอคนเห็นว่าคึกคักก็กรูกันเข้าไปดู ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเขาขายอะไรกัน จะมีสักกี่คนเชียวที่คิดจะซื้อของอย่างจริงจัง ท่านพี่ลองคิดดู คุณชายเหล่านั้นก็แค่มาแอบสืบข่าวคุณหนูใหญ่ ไม่ได้ทำอะไรจริงจัง แต่คุณชายรองมู่หรงนี่สิ มีความจริงใจ เข้ามาขอลูกสาวเขาถึงบ้าน แสดงว่าจวนโหวมีใจจริง อีกอย่าง บ้านสกุลอวิ๋นกับจวนโหวก็มีสัมพันธ์อันดีต่อกันมาตลอด พูดแบบบ้านๆ ก็คือ กินของสด มิสู้กินของสุก! หลังจากผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านเรื่องถอนหมั้นกันมา ความสัมพันธ์ของจวนโหวกับบ้านอวิ๋นก็ยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น คุณชายรองย่อมไม่กล้าเหลวไหลอีก กลับยิ่งทนุถนอมคุณหนูใหญ่ และให้ความสำคัญกับสกุลอวิ๋นเพิ่มมากขึ้น ท่านว่าจริงไหมเจ้าคะ ท่านพี่…”
ทุกถ้อยกระทงความล้วนสอดคล้องกับความคิดของอวิ๋นเสวียนฉั่ง ราวกับแทงถูกใจดำอย่างไรอย่างนั้น นางพูดในสิ่งที่เขาไม่มั่นใจอยู่เป็นทุนเดิมออกมาจนหมด ทำให้เขาครุ่นคิดขึ้นมา
เหลียนเหนียงก็ไม่รีบ เปลี่ยนเป็นสนทนาเรื่องอื่นแทน จวบจนตกดึกค่อยหาโอกาสตีเหล็กเมื่อยังร้อน พูดกล่อมอีกรอบ เมื่อถูกผู้ร่วมเรียงเคียงหมอนเป่าหูติดต่อกันวันสองวัน ไฟก็ถูกจุดจนติดจนได้ ด้วยอวิ๋นเสวียนมักคล้อยตามเสมอ เขาจึงกำชับม่อไคไหลว่า รุ่งขึ้น ให้ไปจวนกุยเต๋อโหว นัดคุณชายรองมู่หรงให้มาคุยกันที่บ้าน
พอเมี่ยวเอ๋อร์รู้เรื่องนี้จากม่อไคไหล ก็รีบวิ่งไปบอกคุณหนูใหญ่
ชูซย่าโมโหจนกำหมัดแน่น “ไปๆ มาๆ หรือจะส่งคุณหนูกลับบ้านมู่หรงอีก ของขวัญก็ขนออกหมดแล้วนี่ นึกว่าปฏิเสธไปแล้ว ทำไมถึงเปลี่ยนความคิดได้ล่ะ นายท่านคิดอย่างไรกันแน่!”
“คิดอย่างไรน่ะหรือ” เมี่ยวเอ๋อร์เปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย “ก็มีคนเป่าหู ใส่ไฟอยู่ข้างหมอนทุกวันน่ะสิ!”
ก่อนเดินเข้าใกล้ แล้วพูดเสียงต่ำ “วันนั้นบ่าวตามมู่หรงไท่ออกนอกจวน เห็นเขาสั่งเด็กรับใช้ให้ขนของขวัญไปยังโรงเตี๊ยมเฝิงหยวน เปิดห้องๆ หนึ่งบนชั้นสอง แล้วยกของขวัญลังหนึ่งเข้าไปวาง ค่อยจากไป บ่าวรู้สึกแปลกใจว่า ทำไมมู่หรงไท่ไม่ขนกลับบ้าน แต่นำไปวางไว้ในโรงเตี๊ยม จึงจ้างเสี่ยวเอ้อคนหนึ่งให้ช่วยเฝ้าดู วันนี้พอไปถาม ท่านเดาสิว่าเป็นเช่นไร!”
“เป็นเช่นไร” ชูซย่ารีบถาม
เมี่ยวเอ๋อร์จึงว่า “พี่ตงมาโรงเตี๊ยมเฝิงหยวน พร้อมแรงงานแบกหามสองคน มาแบกลังๆ นั้นออกไป ไม่ต้องพูดแล้ว มู่หรงไท่ติดสินบนเหลียนเหนียงให้ช่วยเป่าหูนายท่านแน่ๆ! เสียดาย! บ่าวมิได้เฝ้าดูด้วยตัวเอง หาไม่แล้วต้องสะกดรอยตามไปดูให้แน่ชัดว่า ของขวัญถูกนำไปซ่อนไว้ที่ไหน จะได้มีหลักฐานไปหานายท่าน ฉีกหน้ากากอนุรองนั่น!”
ดวงตาอวิ๋นหว่านชิ่นทอประกายบางๆ “ท่านพ่อยังไม่ได้บอกท่านย่านะ”
“น่าจะยัง เพราะเพิ่งบอกพี่ข้าว่า พรุ่งนี้เช้าให้ไปเชิญมู่หรงไท่มา” เมี่ยวเอ๋อร์ว่า
“ไปเรือนตะวันตก” อวิ๋นหว่านชิ่นพูดอย่างมั่นใจ
ลมปากของผู้ร่วมเรียงเคียงหมอน? ต้องฉวยโอกาสตอนที่ยังพัดไม่รุนแรง ดับเสีย!