ตอนที่ 93-4 หยุดลมปากคนข้างหมอน

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

เรือนตะวันตก

 

 

เนื่องจากหมู่นี้อากาศเย็นลงเรื่อยๆ ทำให้อาการปวดเข่าของถงฮูหยินกำเริบ เวลาส่วนใหญ่ของนางจึงหมดไปกับการนั่งพักอยู่บนเตียง โดยเฉพาะหลังจากงานเลี้ยงรับกลับบ้าน นางก็ไม่ค่อยได้ออกจากเรือน วันนี้ก็นั่งอยู่ในห้อง แช่เท้ากับสูตรยาสมุนไพรจากตำรายาฝูโซ่วที่อวิ๋นหว่านชิ่นให้ไว้ก่อนหน้านี้

 

 

ครั้งแรกที่ใช้ยาแช่เท้า ถงฮูหยินยังนึกขำว่า ดอกเทียนบ้านไหนเลยจะใช้รักษาโรคข้ออักเสบได้ แต่ไปๆ มาๆ พอลองใช้ดูระยะหนึ่ง กลับได้ผลจริงๆ ตอนอาการปวดกำเริบและปวดสุดๆ นั้น กล้ามเนื้อที่เข่าและเท้าจะขึงจนแน่นตึง คล้ายขนมหมาฮวา (ปาท่องโก๋ทอดกรอบบิดเป็นเกลียว) อย่างไรอย่างนั้น กลัวก็แต่ไม่ทันระวัง จะได้ยินเสียงเส้นเอ็นขาดดัง ’ผึง’ เข้า แต่พอแช่เท้าไม่กี่ครั้ง ก็รู้สึกว่าเส้นเอ็นคลายตัวลง และรู้สึกสบายขึ้นไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ร่วง ต้นฤดูหนาว ก็ยิ่งรู้สึกสบายขึ้นมาก

 

 

ขณะผู้อาวุโสกำลังนั่งแช่เท้าจนหน้าแดงไปหมด เพราะเลือดลมไหลเวียนดีนั้น สาวใช้ก็เลิกผ้าม่านขึ้น บอกว่าคุณหนูใหญ่มา แต่พอได้ยินว่าผู้อาวุโสแช่เท้าอยู่ ก็ยืนรออยู่นอกหน้าต่าง ไม่ได้เข้ามา

 

 

ถงฮูหยินจึงยิ้มหน้าบาน “ยังไม่เรียกชิ่นเอ๋อร์เข้ามาอีก! ข้างนอกหนาวจะแย่ เดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดี!”

 

 

รอจนหลานสาวเดินเข้ามา ถงฮูหยินก็กวักมือเรียก

 

 

“เมื่อก่อนใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยล้างเท้าให้ย่า ตอนนี้ทำไมถึงขี้อายขึ้นมาล่ะ! ย่าชอบมือเล็กๆ นุ่มนิ่มของเจ้ายิ่งนัก นวดแล้วรู้สึกสบายเป็นที่สุด…”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นไม่พูดอะไร กลับดูเคร่งขรึมกว่าเมื่อก่อนอยู่บ้าง นางค่อยๆ ย่อตัวลง นั่งยองๆ ล้างเท้าให้ท่านย่า ซึ่งถงฮูหยินรู้สึกว่าวันนี้ท่าทางนางไม่เหมือนเช่นเคย ดูแปลกออกไป พอดูอีกที ก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ไหล่บางๆ ของหลานสาวขยับขึ้นลง เสียงสะอื้นลอยมาเป็นพักๆ จึงค่อยๆ ดึงนางขึ้น แล้วก็ต้องตกใจ ดวงตาหลานสาวแดงระเรื่อ!

 

 

“ชิ่นเอ๋อร์เป็นอะไรไป อย่าทำให้ย่าตกใจสิ!”

 

 

เป็นครั้งแรกที่ผู้อาวุโสเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นร้องไห้ จึงใจเต้นตูมตาม ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงที่ปกติทำอะไรไม่เป็น แล้วชอบร้องไห้ก็ว่าไปอย่าง แต่หลานสาวคนนี้มีสติแบบผู้ใหญ่มาตลอดนี่นา

 

 

“ชิ่นเอ๋อร์กำลังคิดว่า ไม่รู้จะมีโอกาสล้างเท้าให้ท่านย่าอีกกี่ครั้ง จึงรู้สึกเศร้าใจ” เสียงร้องไห้ฮือๆ สะอึกสะอื้นไม่หยุด

 

 

ผู้อาวุโสไม่แช่เท้าแล้ว รีบเช็ดเท้า แล้วใส่รองเท้าผ้าสำลีที่สาวใช้ส่งมาให้ จากนั้นก็ลากหลานสาวมานั่งข้างๆ ค่อยๆ ถามเรื่องราว ซึ่งอวิ๋นหว่านชิ่นก็ยังสะอื้นไห้ไม่หยุด หยดน้ำตาใสๆ ติดอยู่บนขนตา แต่ไม่เลอะเทอะ คล้ายนางถูกปั้นขึ้นจากน้ำก็มิปาน ริมฝีปากดุจกลีบดอกไม้ อ้าแล้วก็หุบลง

 

 

ถงฮูหยินเห็นแล้วก็เจ็บปวดใจยิ่ง กลับเป็นเมี่ยวเอ๋อร์ที่ตามมาด้วย ส่งเสียงพึมพำขึ้น

 

 

“…ผู้อาวุโส นายท่านเหมือนอยากให้คุณหนูใหญ่ออกเรือนแล้ว ดูรีบร้อนมาก”

 

 

ถงฮูหยินอึ้ง นี่เป็นเรื่องดีนี่นา! แต่…เจ้ารองไม่เห็นมาบอกตนเลย! คิดๆ ดูก็รู้สึกไม่ถูกต้อง จึงรีบถามพลางขมวดคิ้ว “บ้านไหนกันที่มาขอ นายท่านพอใจหรือ”

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์ทำปากยื่น “เป็นคุณชายสกุลมู่หรงจากจวนกุยเต๋อโหว”

 

 

“นั่น…นั่นมันไม่ใช่บ้านสามีน้องรองเจ้าหรอกหรือ! แต่งกับใคร อย่าบอกนะว่าเป็นคุณชายรองนั่น?” หญิงชราพลันตกใจ

 

 

“ผู้อาวุโส จวนกุยเต๋อโหวมีคุณชายสองท่าน ผู้มาย่อมเป็นคุณชายรอง” เมี่ยวเอ๋อร์ตอบเสียงเบา

 

 

เมื่อเห็นชะตากรรมของอวิ๋นหว่านเฟย ถงฮูหยินจะรู้สึกดีกับจวนกุยเต๋อโหวได้อย่างไรกัน ยิ่งความประทับใจในตัวมู่หรงไท่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง หมอนี่หลอกล่อนังหนูรองให้ผิดประเวณีก่อนแต่ง งามหน้าจนต้องมาขอนางเป็นอนุอย่างไม่มีทางเลือก ทำให้นางหมดอนาคต ต่อมายังทำเป็นไม่รู้จัก ให้นางไปอยู่นอกบ้านอีก

 

 

ตอนนี้เจ้ารองเหลือชิ่นเอ๋อร์เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ทั้งยังเป็นลูกสาวคนโตและลูกสาวคนโปรดอีก ย่อมต้องเลือกให้รอบคอบ แล้วทำไมต้องยัดให้กากเดนพรรณนั้นด้วย?!

 

 

หรือลูกสาวทั้งสองของเจ้ารอง ล้วนเสียเปรียบคุณชายรองนั่นแล้ว เขาถึงได้นั่งกระดิกเท้ารอรับคนเพียงอย่างเดียว

 

 

แม้จวนกุยเต๋อโหวนั่นสูงศักดิ์ คุ้มค่าที่จะดองด้วย แต่เมืองหลวงใหญ่ขนาดนี้ ลูกท่านหลานเธอก็มีอยู่มากมาย ทำไมต้องเป็นคนสกุลมู่หรงคนนี้คนเดียว

 

 

ถงฮูหยินสูดหายใจเข้า “ชิ่นเอ๋อร์ เจ้าเข้าใจผิดหรือเปล่า ในบ้านก็ไม่เห็นมีใครพูดถึงเรื่องนี้เลย พ่อเจ้าก็ไม่เคยเปรยกับข้าสักคำ”

 

 

หึ รอให้คนพูดถึงก็สายเสียแล้ว! อวิ๋นหว่านชิ่นปาดน้ำตา ก่อนพูดเสียงเบา “ท่านย่า ท่านพ่อไม่ได้เปรยให้ท่านฟัง แต่เปรยให้ผู้อื่นฟังไปแล้ว…กระทั่งบ่าวที่เรือนเจี่ยวเยว์ก็น่าจะรู้เรื่องแล้ว”

 

 

คำๆ นี้ สะกิดใจถงฮูหยินพอสมควร จนรู้สึกเครียด จึงบอกกับตัวเอง ดีนี่เจ้ารองของเจ้า

 

 

โดยยังไม่พูดถึงเรื่องที่ว่า ควรหรือไม่ควรแต่งกับมู่หรงไท่ พูดถึงเรื่องที่ใหญ่ขนาดนี้ ลูกสาวคนโตจะออกเรือนทั้งที กลับไม่มาบอกนางสักคำ จวนสกุลอวิ๋นก็แค่นี้ มิน่าเล่า นางถึงไม่ได้ข่าว ที่แท้ก็หารืออยู่แต่กับอนุรองนี่เอง! เหลียนเหนียงนั่นดูเหมือนประพฤติตัวตามกรอบประเพณี มาคารวะทุกสามเวลา และทุกครั้งที่มาก็สงบเสงี่ยม เคารพนบนอบ แต่ก็ไม่ได้พูดให้ฟังสักคำเหมือนกัน!

 

 

เรื่องนี้ท้าทายอำนาจของหญิงชรามาก เดิมทีพอแช่เท้าเสร็จ หน้าของนางจะแดง แต่ตอนนี้โกรธจนเหวี่ยงไปหมด หันไปสั่งมอมอ

 

 

“ไปเรียกเหลียนเหนียงมาหน่อย!”

 

 

นางไม่เพียงทำเพื่อหลานสาว แต่ทำเพื่อเรียกร้องศักดิ์ศรีให้ตนเองด้วย

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์เข้าใจแล้ว จึงเผยอริมฝีปากเล็กน้อย คุณหนูใหญ่นี่…ภายนอกเหมือนมาบ่นให้ฟัง แต่จริงๆ แล้วมาฟ้องต่างหาก

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรีบดึงแขนเสื้อถงฮูหยินไว้

 

 

“ท่านย่า อย่าหงุดหงิดไปเลย ไม่เป็นผลดีต่อร่างกายเปล่าๆ…ช่างเถิด คงเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบของ

 

 

หลานตอนล้างเท้าให้ท่านย่าเท่านั้น ถ้าขืนเรื่องลุกลามใหญ่โต ท่านพ่ออาจตำหนิหลานว่า ไม่ควรปากมาก ทำลายความสัมพันธ์ของอนุคนใหม่กับผู้อาวุโสในบ้าน!”

 

 

แล้วจึงก้มศีรษะลง แต่ใบหน้ากลับเขียนคำว่า ‘ทำเลย ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไปเลย กลัวก็แต่จะไม่ใหญ่’

 

 

“เขากล้ารึ!” ถงฮูหยินพูดอย่างมีเหตุมีผล “ข้ารู้ของข้าเองไม่ได้รึไง ดูซิใครจะกล้าปากมากอีก เรื่องที่เหลือเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เจ้ากลับไปก่อนเถิด”

 

 

ว่าแล้วก็หันมอง มอมอกับบ่าวที่อยู่ในห้องจึงรีบก้มหน้า

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นวางใจลง จึงไม่พูดมากอีก พาเมี่ยวเอ๋อร์ออกจากเรือนไปก่อน

 

 

 

 

ด้านเหลียนเหนียง วันนี้ก็รีบบอกให้พี่ตงหาแรงงานแบกหามตามข้างถนนไปแบกลังของขวัญ เพราะเกรงว่านานวันเข้า อาจเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยให้นำลังเครื่องประดับล้ำค่าไปจำนำไว้ที่โรงรับจำนำ ตอนนี้นางจึงนั่งอยู่ในเรือนเจี่ยวเย่ว์ ถือตั๋วแลกเงินจำนวนมหาศาลไว้ในมือ มองแล้วมองอีก พลางคิดหาที่เก็บซ่อนให้มิดชิด ตู้เก็บสมบัติในห้องก็เด่นสะดุดตาจนเกินไป กล่องเก็บเครื่องสำอางก็ไม่ปลอดภัยพอ ใต้เตียงก็กลัวว่าพวกบ่าวอาจมือเท้าไม่สะอาด ขโมยไปตอนมาปัดกวาดเช็ดถูห้อง

 

 

เหลียนเหนียงหาอยู่ครึ่งค่อนวันก็ยังหาที่เก็บไม่ได้ แต่แล้วก็พลันนึกขึ้นได้ว่า ในเรือนหลังเล็กมีที่ๆ ปลอดภัยอยู่ที่หนึ่ง เป็นที่ๆ ท่านพี่เคยพูดถึง จึงรีบนำตั๋วแลกเงินไปเก็บไว้

 

 

ขณะเพิ่งกลับถึงห้องนอน มอมอจากเรือนตะวันตกก็มาหา บอกว่าถงฮูหยินเรียกพบ เหลียนเหนียงจึงรีบตอบรับเสียงเบา “เจ้าค่ะ ข้าขอแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อน แล้วจะรีบไปทันที”

 

 

เรือนเจี่ยวเย่ว์ถูกกั้นไว้ด้วยรั้วไม้เตี้ยๆ พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเหลียนเหนียงพาพี่ตงเดินออกมา ก็หันไปกระซิบข้างหูเมี่ยวเอ๋อร์

 

 

“ด้านนอกไม่มีคน เจ้าอยู่ดูไว้ ข้าจะเข้าไปหาด้านใน”

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์อึ้ง “คุณหนูใหญ่จะหาอะไร”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเพียงยิ้ม “มู่หรงไท่ให้ของนางมาหนึ่งลังใหญ่ ข้ารู้สึกว่านางจะมีที่เก็บหรือ เป้าสายตาใหญ่ขนาดนั้น วางไว้ที่ไหนก็ไว้ใจไม่ได้หรอก! มิสู้เปลี่ยนเป็นเงินหรือตั๋วแลกเงินดีกว่า!”

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์เข้าใจในทันที

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าไปในเรือนหลังเล็ก แล้วตรงเข้าไปที่ห้องนอนของเหลียนเหนียง นางเองก็มีเงินทองอยู่เล็กน้อย ย่อมรู้ว่าควรเก็บไว้ที่ไหนจึงจะปลอดภัยสุด แต่หาอยู่หลายที่ก็ยังหาไม่เจอ ลังเลสักพัก หรือเหลียนเหนียงยังไม่ทันได้เปลี่ยนเป็นตั๋วแลกเงิน

 

 

ขณะคิดจะออกไป สมองก็วาบขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นนึกถึงที่ๆ หนึ่งในเรือนเจี่ยวเย่ว์