บทที่ 139 เบิ๊ดกะโหลก[รีไรท์]

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 139 เบิ๊ดกะโหลก[รีไรท์]

หลังจากที่ฉู่ชวิ๋นหมดสติไป ก็ปรากฏกลุ่มคนอยู่ในป่าที่ห่างไกลออกไป สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและละอายแก่ใจเป็นอย่างยิ่ง

คนกลุ่มนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นกำลังเสริมของสำนักกระบี่ทองคำและสำนักความหวังใหม่นั่นเอง พวกเขาเป็นผู้ฝึกตนที่มีระดับต่ำที่สุดภายในสำนัก

ตอนที่ทุกคนมาถึง ก็เห็นฉู่ชวิ๋นกำลังต่อสู้อย่างดุเดือด ราชาปีศาจและหยินจงเสียชีวิตอย่างน่าอนาถ ดังนั้นพวกเขาจึงนอนบนพื้นกลั้นหายใจทำเป็นแกล้งตาย เพราะกลัวว่าฉู่ชวิ๋นจะหันมาพบเจอพวกเขาเข้านั่นเอง

ในขณะนี้ พอเห็นว่าฉู่ชวิ๋นหมดสติไปเรียบร้อย ทุกคนถึงได้กล้าลุกขึ้นมาวิ่งหนี ไม่มีใครอยากเข้าไปลงมือทำร้ายฉู่ชวิ๋นซ้ำเติมตอนนี้ เพราะเกรงว่าชายหนุ่มอาจจะฟื้นขึ้นมากลางคันและจัดการพวกเขาได้

หลังจากวันนั้นผ่านไป ข่าวที่ว่าฉู่ชวิ๋นยังมีชีวิตอยู่ก็แพร่กระจายไปในวงกว้าง สร้างความตกตะลึงให้กับคนทั้งประเทศ

ชายเพียงคนเดียวสามารถกวาดล้างสำนักกระบี่ทองคำได้อย่างราบคาบ

ชายเพียงคนเดียวสามารถฆ่าองค์ราชา

ชายเพียงคนเดียวสามารถปกป้องภูเขาเฉียนหลงอ๋าวไว้ได้

เมื่อเรื่องราวพวกนี้ถูกนำมารวมกัน ชื่อเสียงของฉู่ชวิ๋นก็โด่งดังไปทั่วยุทธภพอีกครั้ง

ในโลกมนุษย์ก็เดือดเป็นไฟ ฉู่ชวิ๋นผู้เคยช่วยตัวประกันไว้มากกว่าร้อยคนยังมีชีวิตอยู่ และถือเป็นเรื่องที่น่าเฉลิมฉลองระดับชาติเลยทีเดียว

ฉู่ชวิ๋นได้สติฟื้นขึ้นมาในอีก 1 เดือนต่อมา คราวนี้ถือได้ว่าเขาบาดเจ็บสาหัสจริง ๆ กว่าที่จะฆ่าองค์ราชาได้ ทำเอาเขาเสียเลือดและพลังงานไปเยอะมาก

ต้องใช้เวลาหลายวันหลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมา กว่าที่อาการบาดเจ็บจะฟื้นฟูโดยสมบูรณ์ แต่ร่างกายของเขายังคงแข็งแกร่ง ไม่มีอะไรขาดหายไปหรือว่าบาดเจ็บภายในแม้แต่ส่วนเดียว

ยอดภูเขาเฉียนหลงถูกทำลายราบคาบ มันสำคัญต่อการเชื่อมต่อจิตวิญญาณ เฉินฮั่นหลงรับหน้าที่เรื่องการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างขึ้นมาใหม่ แต่ในระหว่างนั้น พวกเขาก็มาพักอยู่ที่ภัตตาคารของฮวาชิงหวู่กันทั้งหมด

ฉู่ชวิ๋นรู้สึกเหนื่อยล้ามาก หลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมาจากความตายกลับมายังโลกใบนี้ เขาก็ต้องรบราฆ่าฟันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ซึ่งไม่แตกต่างจากตอนที่ไปอยู่ในโลกแห่งเซียนเลย

ในไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ฉู่ชวิ๋นตัดขาดจากโลกภายนอกไปอย่างสิ้นเชิง ถ้าไม่ใช่พวกของเฉินฮั่นหลง ชายหนุ่มก็ไม่สนใจที่จะเสวนาด้วย

แน่นอน…แต่ก็ยังมีบางคนที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้ อย่างเช่น หลงอ๋าวซึ่งมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ 3 วันก่อน

“นางหนู อาหารของที่นี่อร่อยเหลือเกิน ข้าคงต้องขออยู่ต่ออีกสักพักแล้วละนะ” หลงอ๋าววางตะเกียบลง ก่อนจะยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ

“รับทราบค่ะ” หญิงสาวตอบรับด้วยรอยยิ้ม

“ไม่มีทาง” ฉู่ชวิ๋นเห็นภาพนั้นแล้วก็ถึงกับยอมรับไม่ได้ ตาแก่คนนี้ไม่ได้ทำตัวเหมือนตนเองเป็นคนนอกเลยสักนิด อาหารทุกอย่างที่หลงอ๋าวรับประทาน เป็นอาหารที่ฮวาชิงหวู่เตรียมเอาไว้ให้เขาทั้งสิ้น แต่ตอนนี้มันลงไปอยู่ในกระเพาะของชายชราหมดแล้ว

“เจ้าหนุ่ม ภัตตาคารนี้มันเป็นถิ่นของแม่หนูคนเมื่อกี้นะ เอ็งแค่เกาะผู้หญิงกิน มีสิทธิ์พูดอะไรด้วยเหรอ?” หลงอ๋าวหันมองมาทางชายหนุ่มด้วยความไม่พอใจ

ฉู่ชวิ๋นเบิกตาโต แทบจะกระอักเลือดตาย ตาแก่นี่หาว่าเขาเกาะผู้หญิงกินเหรอ?

“ไหนพูดใหม่ซิ” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยความเดือดดาล

“เอ็งนี่มันทุเรศจริง ๆ คำพูดแบบนี้ยังอยากจะฟังอีกรอบเหรอ” หลงอ๋าวเหยียดหยามเขาเต็มที่

“……” ฉู่ชวิ๋นโมโหจนผมตั้ง ทั่วร่างกายเปล่งพลังออกมา เขายกมือขึ้นเตรียมฟาดฝ่ามือใส่ชายชราสุดกำลัง

หลงอ๋าวหันหน้ามามองอย่างไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย “ถ้าไม่กลัวว่าพลังของเอ็งจะทำลายที่นี่จนราบเป็นหน้ากลองก็เอาเลยสิ ข้าจะไม่ตอบโต้เอ็งด้วย”

ฉู่ชวิ๋นโมโหหนักยิ่งกว่าเก่า ทำไมตาแก่คนนี้ถึงได้ไร้ยางอายขนาดนี้? ทำไมเขาจะต้องมาพบเจอกับคนแบบนี้ด้วยนะ?

“แน่จริงก็ออกไปสู้กับฉันข้างนอกสักตั้ง”

หลงอ๋าวตั้งใจยกแก้วไวน์ขึ้นซดเสียงดังโฮก ก่อนที่จะชำเลืองหางตามองมายังฉู่ชวิ๋นและส่ายหน้าเบา ๆ เหมือนกับว่าอ่อนอกอ่อนใจกับฉู่ชวิ๋นเสียเต็มประดา

ฉู่ชวิ๋นกัดฟันกรอด เขาอยากจะจัดการชายชราคนนี้จริงๆ แต่ชายหนุ่มก็ไม่แน่ใจว่าควรจะทำจริงหรือเปล่า?

“เจ้าหนุ่ม ไม่ต้องมาทำเป็นยิ้ม เอ็งทำลายสวนหย่อมบ้านข้าไปแล้วสองครั้ง ข้าคงต้องขออยู่ที่นี่ไปอีกนาน แล้วทำไม…”

ผัวะ!

เสียงอะไรบางอย่างถูกกระแทกอย่างแรง คำพูดของหลงอ๋าวขาดหายไปกลางอากาศ ดวงตาของชายชราพร่าเลือน เหมือนกับมีคนเอาอะไรบางอย่างฟาดหัวเขาสุดแรงแขน

และใครคนนั้นก็คือฉู่ชวิ๋นที่ยืนอยู่ด้านหลังด้วยใบหน้าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในมือของเขาถือไม้แขวนเสื้อ ส่วนเสื้อที่เคยแขวนอยู่บนไม้ ขณะนี้พาดอยู่บนแขนของเขา

ฮวาชิงหวู่อ้าปากกว้างด้วยความตกตะลึง เธอเห็นกับตาว่าฉู่ชวิ๋นเอาไม้แขวนเสื้อฟาดหลังศีรษะของหลงอ๋าวเต็มแรง

และยังไม่เท่านั้น ฉู่ชวิ๋นฟาดไม้แขวนเสื้อลงไปอีกครั้ง

ผัวะ!

ศีรษะของหลงอ๋าวโอนเอนไปมาตามแรงฟาดไม่หยุด

การลงมือด้วยไม้แขวนเสื้อพิฆาตครั้งนี้เปลี่ยนศีรษะของชายชราให้เป็นเหมือนกับลูกเทนนิส ฉู่ชวิ๋นลงมืออย่างไร้ความปรานี จึงนับว่าโชคดีมากที่หลงอ๋าวไม่ถึงกับตาย แค่สลบไปเท่านั้น

“ฉู่ชวิ๋น นี่คุณ…” ฮวาชิงหวู่ถึงกับพูดอะไรไม่ออก ดวงตาที่สวยงามของเธอจ้องมองชายหนุ่มด้วยความไม่อยากเชื่อ

ฉู่ชวิ๋นโยนไม้แขวนเสื้อรูปทรงตัว S ในมือทิ้งไป ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะอาหารและหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาดื่ม พร้อมกับเหลือบตามองไปที่หลงอ๋าว

“ตาแก่ ลองพูดดูหมิ่นฉันอีกสิ” ฉู่ชวิ๋นพูด เห็นได้ชัดว่าเขากำลังอารมณ์ดี

ฮวาชิงหวู่ไม่ได้หัวเราะไปด้วย เธอคิดว่าฉู่ชวิ๋นทำไปเพราะมีเจตนาบางอย่าง

หลังจากดื่มไวน์หมดไปสามแก้ว ฉู่ชวิ๋นก็ลุกขึ้นยืนแล้วหันมามองหน้าฮวาชิงหวู่ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ผมจะเข้าเมืองหลวงสักหน่อยนะ”

“มีอะไรอันตรายหรือเปล่าคะ?” ฮวาชิงหวู่ถามอย่างเป็นห่วง

ฉู่ชวิ๋นเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่มีหรอก”

“แล้วคุณจะกลับมาเมื่อไหร่?”  ฮวาชิงหวู่ถามเวลาทันทีเพราะเขาชอบหลายตัวไปทีละหลายเดือน

“ไม่นานเท่าไรหรอก” ฉู่ชวิ๋นตอบทันที

“รีบไปรีบมานะคะ ฉันจะไปจองตั๋วเครื่องบินให้” ฮวาชิงหวู่พยายามพูดให้เขารีบกลับมาไว ๆ

“ขอบใจมากนะ!” พูดจบฉู่ชวิ๋นก็มองตาแก่แล้วหัวเราะเบาๆ

2 ชั่วโมงหลังจากที่ฉู่ชวิ๋นออกเดินทางไปแล้ว หลงอ๋าวก็ตื่นขึ้นมาและภายในภัตตาคารก็กึกก้องไปด้วยเสียงร้องตะโกนของเขาเหมือนกับเกิดแผ่นดินไหว

“เจ้าหนุ่มนั่นไปไหนแล้ว?” หลงอ๋าวโกรธแค้นจนหน้าดำหน้าแดง ศีรษะของเขาถูกฟาดจนปวดตุบๆ ชายชราแยกเขี้ยวออกมาด้วยความเดือดดาล

“เขาไม่อยู่แล้วค่ะ” ฮวาชิงหวู่กลั้นเสียงหัวเราะไว้อย่างหนัก หลงอ๋าวถูกฟาดแรงมากจนเธอเองก็แอบคิดว่าฉู่ชวิ๋นลงมือหนักเกินไปด้วยซ้ำ แค่เห็นรอยบวมนูนบนศีรษะของชายชรา ฮวาชิงหวู่ก็รู้สึกเจ็บแทนแล้ว

“มันไปไหน?” หลงอ๋าวถามด้วยดวงตาวาวโรจน์ จมูกของเขาบานเข้าบานออกเหมือนจะพ่นไฟได้

“ไม่รู้ค่ะ เขาไม่ได้บอก” ฮวาชิงหวู่ฉลาดมากพอที่จะไม่บอกความจริง

“ข้าไม่เชื่อ มันจะต้องซ่อนตัวอยู่ในภัตตาคารนี้แหละ” หลงอ๋าวตะโกนเสียงดังขณะมองซ้ายมองขวา “ในนี้จะต้องมีกล้องวงจรปิด และไอ้หนุ่มนั่นกำลังนั่งดูข้าอยู่ มันกำลังหัวเราะข้าอยู่ใช่ไหม”

ฮวาชิงหวู่รู้สึกสงสารหลงอ๋าวจริง ๆ ชายชราปกติคนนี้ถูกฉู่ชวิ๋นทำให้โกรธจนบ้าไปแล้ว

“ท่านผู้อาวุโสคะ เกรงว่าที่นี่คงไม่มีกล้องวงจรปิดหรอกค่ะ ความจริงทุกอย่างที่มีก็คือ ฉู่ชวิ๋นฟาดคุณจนสลบ และเขาก็ออกไปจากที่นี่แล้ว”

“ฟาดฉันให้สลบอะไรกัน?” หลงอ๋าวกระโดดลุกขึ้นยืนด้วยความเดือดดาล เครายาว ๆ ของเขาสั่นไหวและดวงตาก็เป็นประกาย ก่อนที่จะตะโกนออกมาว่า “ไอ้หนุ่มนั่นมันลอบทำร้ายข้าใช่ไหม? ถ้าสู้กันจริงๆต่อให้เขามี 10 คนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าหรอก ข้าใช้มือเพียงข้างเดียวก็ตบเขากลับท้องแม่ได้แล้ว”

“ตามแต่ท่านผู้อาวุโสจะเห็นสมควรเลยค่ะ” ฮวาชิงหวู่รีบพูดด้วยน้ำเสียงประจบประแจง พลังฝีมือของหลงอ๋าวไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถ้าเขาโกรธจัด เพียงแค่กระทืบเท้าข้างเดียว อาคารหลังนี้ก็สามารถถล่มลงมาทั้งหลังได้ไม่ยากเลย

“หึ เจ้าเป็นคนเดียวในภัตตาคารนี้ที่ดูแลข้าดีที่สุด ดูที่คนอื่นมันทำกับข้าสิ โดยเฉพาะไอ้เจ้าฉู่ชวิ๋น มันไม่ใช่ตัวดี คนดีๆ ใครเขาเอาไม้แขวนเสื้อมาฟาดหัวคนอื่นกัน” เมื่อพูดถึงฉู่ชวิ๋น หลงอ๋าวก็รู้สึกปวดหัวอีกครั้งจนต้องกัดฟันกรอดด้วยความเกลียดชัง

ฮวาชิงหวู่ได้แต่ยิ้มและพยักหน้า

”เอาเป็นว่าฉันจะรอมันที่นี่แหละ มันกล้าทำแบบนี้กับข้าใช่ไหม ข้าจะเอาคืนให้หนักกว่าเดิมหลาย ๆ เท่าเลย…” ความโกรธแค้นของหลงอ๋าวมีมากจนยากที่จะอธิบาย เขาบอกได้แต่เพียงอย่างเดียวว่าฉู่ชวิ๋นเป็นปีศาจจอมร้ายกาจกลับชาติมาเกิด

พลัน สีหน้าของฮวาชิงหวู่เปลี่ยนแปลงไปทันที ในดวงตาของเธอปรากฏความวิตกกังวลวูบวาบขึ้นมา

เธอเข้าใจเรื่องราวที่เขาทำแบบนี้ได้ทันทีและคิดในใจ “ไหนคุณบอกว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่อันตรายไงล่ะ? แล้วทำไมคุณถึงให้ผู้อาวุโสหลงอ๋าวอยู่เฝ้าปกป้องที่นี่แทนคุณด้วยละ”

ฮวาชิงหวู่เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของฉู่ชวิ๋นแล้ว ว่าทำไมถึงต้องฟาดหลงอ๋าวจนสลบขนาดนั้น  ก็เพราะว่าฉู่ชวิ๋นรู้ดีว่าชายชราจะต้องโกรธจนไม่ยอมไปไหน เท่ากับหลงอ๋าวจะอยู่คอยอารักขาที่นี่ไปในตัวนั่นเอง

“ฉู่ชวิ๋น ไม่ว่าคุณอยู่ที่ไหนคุณก็เป็นห่วงพวกเราจริง ๆ แต่พวกเราก็เป็นห่วงคุณเหมือนกันนะ” ฮวาชิงหวู่กระซิบออกมาเสียงแผ่วเบา มีแต่ตัวเธอเท่านั้นที่จะได้ยิน

ถ้าหากหลงอ๋าวรู้ว่าตัวเองโดนหลอกใช้ เขาคงต้องโกรธแค้นจนอกแตกตายแน่นอน

ฉู่ชวิ๋นเดินออกมาจากสนามบินปักกิ่ง กวาดตามองโดยรอบ ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่จะก้าวเดินต่อไป

ชายสูงอายุในชุดโบราณผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทางที่แสดงความเคารพต่อชายหนุ่มเป็นอย่างสูง ชายสูงอายุผู้นี้ก็คือหนึ่งในบอดี้การ์ดของหัวหน้าหมายเลขหนึ่ง ผู้มีนามว่าเกาซู และเคยพ่ายแพ้ให้กับฉู่ชวิ๋นไปแล้วนั่นเอง

“เราเจอกันอีกแล้วนะครับ!” ชายสูงอายุยกมือเคารพ ตามกฎของยุทธภพ ถึงแม้ว่าเกาซูจะมีอายุมากกว่าฉู่ชวิ๋น แต่ก็ต้องแสดงความเคารพต่อเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่ที่สำคัญก็คือเขาเคารพฉู่ชวิ๋นจากใจจริง ในฐานะของคนที่อยู่เคียงข้างหัวหน้าหมายเลขหนึ่ง เกาซูทราบดีว่าฉู่ชวิ๋นมีพลังฝีมือแข็งแกร่งขนาดไหน

“นายรู้ได้ยังไงว่าฉันจะมาปักกิ่ง” ฉู่ชวิ๋นถามเสียงเบา

เกาซูเอนตัวเข้ามาตอบว่า “ผมไม่รู้หรอกครับ ผมแค่มาตามคำสั่ง”

ฉู่ชวิ๋นเลิกคิ้วขึ้นสูงและไม่พูดอะไรอีก หลังจากนั้น เขาก็ขึ้นไปนั่งบนรถยนต์ของหัวหน้าหมายเลขหนึ่ง ที่ติดธงสีแดงเก่าแก่เอาไว้ด้วย

รถยนต์ขับเข้ามาภายในตรอกแห่งหนึ่ง

“คุณผู้ชาย เชิญครับ” เกาซูก้าวลงจากรถและเดินมาเปิดประตูให้กับ

ฉู่ชวิ๋น

หลังจากที่เข้าไปภายในคฤหาสน์แล้ว ฉู่ชวิ๋นก็ได้พบกับหัวหน้าหมายเลขหนึ่ง  ชายชรา และหลิวเสี่ยวไป๋ ลักษณะท่าทางของชายชราดูแย่มาก และยิ่งตอนที่หลิวเสี่ยวไป๋เห็นหน้าฉู่ชวิ๋น เธอก็สั่นไปทั้งตัว ไม่นานมานี้เธอได้รู้แล้วว่าฉู่ชวิ๋นแข็งแกร่งขนาดไหน ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าทำยโสโอหังกับเขาอีกแล้ว และได้แต่ดีใจที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น

“คิดอยู่แล้วว่าเธอคงไม่ตายง่าย ๆ หรอก” หลังจากที่เดินเข้ามาทักทายฉู่ชวิ๋นแล้ว หัวหน้าหมายเลขหนึ่งก็กล่าวชื่นชมเขา

ฉู่ชวิ๋นเดินไปนั่งลงบนโซฟา หลิวเสี่ยวไป๋รีบเข้ามารินน้ำชาให้ มือที่สวยงามราวกับมือนางแบบของเธอสั่นเทาอยู่ตลอดเวลา

ฉู่ชวิ๋นเหลือบตามองเธอเล็กน้อย ก่อนที่จะหันกลับไปมองหน้าหัวหน้าหมายเลขหนึ่ง และพูดว่า “คุณยังสร้างสุสานไว้ให้ผมอยู่ใช่ไหม?”

หัวหน้าหมายเลขหนึ่งระเบิดเสียงหัวเราะ ไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืด จึงรีบพูดเข้าประเด็นทันที “ว่าแต่เข้าเมืองหลวงครั้งนี้เธอต้องการอะไร? มีอะไรให้ฉันช่วยเหลือหรือเปล่า?”

“มี” ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าและตอบว่า “ผมอยากให้คุณช่วยส่งกองทหาร ไปถล่มตระกูลหลิวให้ผมหน่อย”

น้ำชาที่ถูกรินใส่ถ้วยเอ่อล้นออกมาจากถ้วยทันที

เพล้ง!

มือที่สั่นระริกของหลิวเสี่ยวไป๋ไม่มีแรงแม้แต่จะจับกาน้ำชา ทำให้มันตกลงไปกระแทกกับถ้วยกระเบื้องเคลือบกระเด็นตกลงไปบนพื้นแตกกระจาย

ดวงตาของชายชราจ้องมองไปที่ใบหน้าของฉู่ชวิ๋นด้วยความตกตะลึง

“พูดจริงเหรอ?” หัวหน้าหมายเลขหนึ่ง ถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

ฉู่ชวิ๋นจ้องมองกลับไปและพยักหน้าเล็กน้อย

สีหน้าของหัวหน้าหมายเลขหนึ่ง แปรเปลี่ยนไปแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลย ตระกูลหลิวถือเป็นตระกูลใหญ่ประจำเมืองหลวงหรือปักปิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลหลิวได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในตระกูลของบิดาผู้สร้างประเทศจีน หัวหน้าหมายเลขหนึ่งทราบดีว่าเมื่อเกิดประเทศจีนขึ้นมา ตอนนั้นก็มีตระกูลหลิวอยู่แล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตระกูลหลิวมีความสำคัญต่อชาติจีนขนาดไหน

“เพราะอะไรกัน?” หัวหน้าหมายเลขหนึ่งอดถามออกมาไม่ได้ และไม่เข้าใจว่าทำไมฉู่ชวิ๋นถึงต้องอยากกวาดล้างตระกูลหลิวด้วย

ฉู่ชวิ๋นหันไปมองหน้าหลิวเสี่ยวไป๋ที่ตัวสั่นงันงก และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เธอเป็นคนบอกเองดีกว่าไหม?”

หลิวเสี่ยวไป๋ตัวสั่นมากกว่าเดิมจนแทบจะเป็นลมไปแล้ว

หัวหน้าหมายเลขหนึ่งขมวดคิ้วและพูดว่า “ถ้าเป็นเพราะว่าเสี่ยวไป๋ไม่แสดงความเคารพคุณครั้งที่แล้ว เธอก็ถูกลงโทษไปตามระเบียบเรียบร้อย ไม่น่าถึงกับจะต้องกวาดล้างทั้งตระกูลเลยสักหน่อย”

ในมุมมองของหัวหน้าหมายเลขหนึ่ง ฉู่ชวิ๋นเป็นคนที่ลงมือด้วยความอำมหิต ถ้ามีเรื่องกับกลุ่มคนกลุ่มใดก็จะสังหารแบบถอนรากถอนโคน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ สำนักกระบี่ทองคำ และพวกสำนักราชาปีศาจนั่นเอง!