บทที่ 140 ฆ่าแค่คนเดียว[รีไรท์]

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 140 ฆ่าแค่คนเดียว[รีไรท์]

ฉู่ชวิ๋นมองหน้าหัวหน้าหมายเลขหนึ่งด้วยความไม่พอใจ

“ผมบอกเมื่อไหร่ว่าจะฆ่าล้างตระกูล?” เขาถามอย่างเย็นชา

อีกฝ่ายพูดซะเขาเป็นเหมือนกับฆาตกรโรคจิตยังไงอย่างนั้น

หัวหน้าหมายเลขหนึ่งเม้มริมฝีปากและหันมองไปทางหนึ่งขณะที่พูดว่า “รู้ไหมว่าคนทั่วไปเรียกนายว่าอะไร”

ฉู่ชวิ๋นเลิกคิ้วขึ้นสูงและถามออกมาว่า “เรียกว่าอะไร?”

หัวหน้าหมายเลขหนึ่งตอบว่า “พวกเขาเรียกคุณว่าปีศาจร้าย จอมสังหารใจโฉด จอมมาร”

ฉู่ชวิ๋นตกตะลึงไปเล็กน้อยก่อนที่จะนิ่งเงียบ หลังจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาพูดว่า “ผมชอบชื่อนั้นนะ ยังไงผมก็ต้องฆ่าคนที่กล้ามาลองดีกับผมให้หมดไปอยู่แล้ว”

ดวงตาของหัวหน้าหมายเลขหนึ่งเบิกกว้างเล็กน้อย แต่เขาอยากจะรู้เรื่องราวของตระกูลหลิวมากที่สุด จึงถามออกมาว่า “ว่าแต่นายมีความโกรธแค้นอะไรกับตระกูลหลิว เท่าที่ฉันจำได้ นอกจากเคยมีเรื่องราวกับเสี่ยวไป๋แล้ว ก็ไม่เคยผิดใจกับตระกูลหลิวมาก่อนนี่”

ฉู่ชวิ๋นหันไปมองหน้าหลิวเสี่ยวไป๋ที่หวาดกลัวเกินกว่าจะพูดออกมาได้ หลังจากเงียบงันไปอึดใจใหญ่ ในที่สุดชายหนุ่มก็ตอบออกมาว่า “แค่คำพูดบ้า ๆ ประโยคเดียว ตระกูลหลิวทำให้ครอบครัวฉันต้องบ้านแตกสาแหรกขาด”

หัวหน้าหมายเลขหนึ่งมีสีหน้าเศร้าใจ เขาไม่ได้แสร้งทำ แต่เขานึกเสียใจแทนคนของตระกูลหลิวจริง ๆ ไม่ว่าคนของตระกูลหลิวผู้นั้นจะเป็นใคร แต่ก็น่าจะสืบข้อมูลมาสักหน่อยว่าฉู่ชวิ๋นมีที่มาที่ไปอย่างไร ไม่งั้นคงไม่ทำเรื่องบ้า ๆ แบบนี้

หัวหน้าหมายเลขหนึ่งหันไปมองหน้าหลิวเสี่ยวไป๋อยู่สักครู่ ก่อนที่จะหันกลับมาสบตาฉู่ชวิ๋น เขาได้คำตอบจากการดูปฏิกิริยาของหลิวเสี่ยวไป๋แล้วเธอคงไม่ได้ทำอะไร

“ตระกูลหลิวเป็นตระกูลใหญ่เกินไป” หัวหน้าหมายเลขหนึ่งขมวดคิ้ว ตระกูลหลิวไม่เหมือนเจ้าสำนักอื่น ๆ ในยุทธภพ ถ้าเกิดฉู่ชวิ๋นฆ่าคนของตระกูลหลิวก็จะเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ตามมาอีกมากมาย และในฐานะที่ฉู่ชวิ๋นกับเขาอยู่ฝ่ายเดียวกัน นั่นเป็นสิ่งที่หัวหน้าหมายเลขหนึ่งไม่อยากเห็นเลยจริง ๆ

ฉู่ชวิ๋นมองหน้าเขาและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ผมจะฆ่าแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น!”

ฉู่ชวิ๋นพูดแล้วก็เดินจากไป แต่ก่อนที่จะเดินจากไป เขาได้ทิ้งคำพูดเอาไว้ว่าเขาสามารถรักษาชายชราได้

ชายชราเตรียมใจรอความตายอยู่แล้ว แต่คำพูดของฉู่ชวิ๋นทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นมา มีใครอยากตายบ้างล่ะ ถ้าได้รู้ว่ายังมีโอกาสรอดชีวิตอยู่?

……

……

คฤหาสน์ตระกูลหลิวเป็นคฤหาสน์หลังแรก ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นในสาธารณรัฐประชาชนจีน บนประตูไม้ขนาดใหญ่ที่ด้านหน้า แขวนไว้ด้วยป้ายโลหะที่ทาสีแดงน่าเกรงขาม บนป้ายโลหะเขียนตัวอักษรเอาไว้ว่า ‘เสาหลักค้ำจุนชาติ’ และนี่คือเรื่องที่หัวหน้าหมายเลขหนึ่งได้บอกเอาไว้แล้ว

คฤหาสน์มีสภาพเก่าแก่เช่นเดียวกับสภาพของป้ายโลหะที่ด้านหน้า แต่ทุกอย่างก็ยืนยันได้ถึงความสำคัญของตระกูลหลิวทั้งในอดีตและปัจจุบัน

“มาหาใคร?”

หนึ่งในบอดี้การ์ดของตระกูลหลิวเดินมาที่ประตูหน้าทันที เขาพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง หน้าตาขึงขัง เจตนาข่มให้ผู้มาเยือนรู้สึกหวาดกลัว

ฉู่ชวิ๋นเดินผ่านเขาไปโดยไม่สนใจบอดี้การ์ดคนนั้นเลย

“นายหูหนวกหรือว่าตาบอด ไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือไง?” บอดี้การ์ดคนนั้นเดือดดาลขึ้นมาแล้ว

แต่โชคไม่ดีที่เขาไม่รู้ว่าตนเองกำลังพบเจออยู่กับใคร

เพียงแค่อีกฝ่ายหนึ่งโบกมือทีเดียว เขาก็โดนคลื่นพลังกระแทกเข้าจนกระอักเลือดและลอยกระเด็นไปข้างหลัง ร่างของเขาลอยสูงในอากาศ ลอยห่างไกลออกไปจนลับสายตาในที่สุด

“ใครกล้ามาก่อเรื่องที่คฤหาสน์ตระกูลหลิว?”

บอดี้การ์ดของตระกูลหลิวกลุ่มใหญ่ปรากฏตัวขึ้น แต่ละคนเป็นผู้ที่ผ่านการคัดเลือกมาเป็นอย่างดี แน่นอนว่าทุกคนต่างก็มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะฉู่ชวิ๋นได้

แต่เมื่อฉู่ชวิ๋นใช้ฝ่ามือตบลงไปบนประตูไม้สีแดงที่สูง 5 เมตรและกว้าง 3 เมตร ซึ่งตั้งอยู่หน้าคฤหาสน์ตระกูลหลิว ทุกคนก็เซถอยหลังไปทันทีอย่างที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ แม้แต่ประตูไม้สีแดงนั้นก็พังทลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี

บริเวณรอบ ๆ  คฤหาสน์โชยอ่อนด้วยสายลมในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ใบไม้บนต้นไม้ไหวเอนไปมา ฉู่ชวิ๋นเดินไปเด็ดใบไม้มาเล่นเหมือนไม่มีอะไรทำ

ชายหนุ่มเดินเข้าไปที่ลานหน้าบ้านอย่างเชื่องช้า แต่ทุกก้าวที่เขาก้าวเดินเข้าไป กลุ่มบอดี้การ์ดก็จะถอยหลังไปเช่นกัน

พวกเขาคือบอดี้การ์ดก็จริง แต่พวกเขาไม่ใช่หน่วยพลีชีพ ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าร่างกายของตนเองไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับประตูไม้สีแดงบานนั้น นอกจากนี้ คนส่วนใหญ่ก็ล่าถอยไปหมดแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าละอายแก่ใจ ไม่มีใครสามารถมาหัวเราะเยาะพวกเขาได้แน่

ไม่นานก็มีใครคนหนึ่งได้วิ่งเข้าไปรายงานเหตุการณ์ในคฤหาสน์แล้ว

……

……

หลิวไป๋เฟิงเป็นผู้นำตระกูลหลิวคนปัจจุบัน เขามีอายุ  50 ปี แต่ผมบนศีรษะไม่มีสีขาวเลยสักเส้น แถมใบหน้าก็ยังดูอ่อนเยาว์ไร้ริ้วรอย ดูเหมือนว่าสวรรค์จะประทานแต่สิ่งดี ๆ ให้กับเขามาทั้งสิ้น

ในขณะนี้ ห้องโถงใหญ่ของตระกูลหลิวเต็มไปด้วยผู้คน

ที่นั่งหัวหน้าตระกูลหลิวมีคนอื่นนั่งอยู่ ชายคนนั้นมีอายุประมาณ 50 ปี สวมใส่เสื้อคลุมแบบนักพรตลัทธิเต๋า ไว้เคราแพะ สีหน้าของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ เขามีนามว่าสือจิน มาจากสำนักสวรรค์ฟ้า

ดูจากลักษณะภายนอกของสือจินแล้ว เขายังคงมีลมหายใจที่สม่ำเสมอ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจมากสำหรับคนที่มีอายุเท่ากับสือจินในตอนนี้

“ผู้อาวุโสสือ นี่เป็นเพียงแค่ของกำนัลเล็กน้อย ได้โปรดรับเอาไว้ด้วย” หลิวไป๋เฟิงพูดพร้อมกับยื่นเช็คให้

สือจินมองดูเลข 0 ที่ต่อท้ายยาวเหยียดบนเช็คเงินสดใบนั้น หัวใจของเขาก็พองโตทันที

แน่นอนว่าหลิวไป๋เฟิงไม่ลืมแจกเงินให้กับผู้ติดตามของสือจินด้วยเช่นกัน เพราะกลยุทธ์สำคัญที่สุดของตระกูลหลิวก็คือการใช้เงิน

“ผู้อาวุโสสือ ในอนาคตต้องฝากคุณช่วยดูแลเซียงหรูแล้วนะครับ” หลิวไป๋เฟิงพูดออกมาพร้อมยิ้มกว้าง เมื่อเห็นสือจินเก็บเช็คเงินสดเข้าใส่กระเป๋า

“หัวหน้าตระกูลหลิวช่างใจดีอะไรขนาดนี้ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เซียงหรูเป็นเด็กมีพรสวรรค์ที่หลายร้อยปีจะหาได้สักคน ตอนนี้เมื่อได้รับการดูแลจากผู้อาวุโสและลูกศิษย์ของสำนักสวรรค์ฟ้าอย่างใกล้ชิด อนาคตของเขาต้องสดใสอย่างแน่นอน” สือจินพูดไปก็ยิ้มไป

แต่สิ่งที่เขาพูดมันก็เป็นความจริง ผู้อาวุโสทุกคนของสำนักสวรรค์ฟ้าล้วนแต่เป็นคนที่มีฝีมือระดับสูง อย่าว่าแต่หลิวเซียงหรูมีรากฐานดีอยู่แล้ว ต่อให้ฝึกออกมามีฝีมือไม่ได้เรื่อง แต่อย่างน้อยก็ต้องพอข่มขวัญผู้คนได้บ้าง

ตระกูลหลิวเป็นตระกูลที่มีหน้าที่การงานใหญ่โต และยังมีสมาชิกในตระกูลจำนวนมาก ถึงแม้หลายส่วนอาจจะมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน แต่ครั้งนี้ ทุกคนก็มาร่วมแสดงความยินดีกับหลิวเซียงหรูที่ได้รับการบรรจุเข้าเป็นศิษย์เอกของสำนักสวรรค์ฟ้า

โครม!

บอดี้การ์ดคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาจนเท้าสะดุดกับธรณีประตู ล้มกลิ้งลงไปต่อหน้าทุกคน

หลิวไป๋เฟิงคำรามใส่ทีหนึ่ง  ส่งผลให้บอดี้การ์ดคนนั้นรีบลุกขึ้นมา และรายงานอย่างรวดเร็วว่า “มีคนบุกเข้ามาครับ”

เมื่อบอดี้การ์ดพูดจบ ห้องโถงก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบงัน ก่อนที่จะเต็มไปด้วยเสียงกระซิบกระซาบ พวกเขาไม่ได้ตื่นกลัว แต่ว่าตื่นเต้น

เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่าตระกูลหลิวคือหนึ่งในตระกูลผู้ก่อตั้งประเทศจีน จึงไม่เคยมีใครกล้ามาดูหมิ่นตระกูลหลิวมาก่อน หลายคนจึงสงสัยว่าใครกันนะ ที่กล้ามาสร้างปัญหาที่นี่อย่างไม่กลัวตายเลยงั้นเหรอ?

ทุกคนต่างก็เฝ้ามองเหตุการณ์ด้วยความสนใจ คนหนุ่มเลือดร้อนหลายคนรีบวิ่งออกไปทันที

“ฉันเลี้ยงพวกแกไว้เสียข้าวสุกจริง ๆ มีคนตั้งมากมายปล่อยให้มันบุกเข้ามาได้ยังไง?” หลิวไป๋เฟิงพูดด้วยความเดือดดาล

บอดี้การ์ดผู้นั้นร่ำร้องด้วยความตื่นกลัวว่า “ไอ้หมอนั่นมันพังประตูแดงด้วยมือข้างเดียวเลยนะครับ พวกผมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันหรอก”

หลิวไป๋เฟิงโกรธจนหน้าดำหน้าแดงและเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง

“อย่าโกรธไปเลยครับหัวหน้าตระกูลหลิว มันผู้นั้นต้องเป็นคนในยุทธภพแน่นอน เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ครับ บอดี้การ์ดของคุณย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่แล้ว”

บอดี้การ์ดหนุ่มรีบหันไปขอบคุณสือจิน เห็นได้ชัดว่าสือจินเป็นคนดี เพราะมีความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น

หลิวไป๋เฟิงถึงกับสับสนไปแล้ว เขาวางตัวในยุทธภพเป็นอย่างดีมาตลอด นึกไม่ออกเลยว่าเคยสร้างปัญหากับใครเอาไว้ตอนไหน

“หลินจง ออกไปดูหน่อยซิ” สือจินออกคำสั่งลูกน้องคนหนึ่งด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม

ชายคนหนึ่งลุกขึ้นและหันมาคำนับให้กับสือจิน ก่อนที่จะเดินพรวด ๆ ออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

“หัวหน้าตระกูลหลิวเบาใจได้ เขาเป็นคนสำนักสวรรค์ฟ้า เท่ากับว่าตอนนี้เรื่องราวของตระกูลหลิวก็เป็นเรื่องราวของสำนักสวรรค์ฟ้าเหมือนกัน” สือจินพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ขอบคุณมากครับ ผู้อาวุโสสือ” ในฐานะของหัวหน้าตระกูลหลิว เขายังมีอะไรที่ต้องขอบคุณอีกฝ่ายด้วยหรือ? แต่ที่เขาขอบคุณออกไปนั้นก็เป็นการขอบคุณตามมารยาทเท่านั้นเอง

หลิวไป๋เฟิงภูมิใจในกลยุทธ์ของตัวเองมาตลอด คนในยุทธภพเป็นอย่างไรนั้นหรือ? คนพวกนี้เห็นแก่เงินเป็นที่สุด สมกับคำโบราณที่ว่าเงินสามารถจ้างผีมาโม่แป้งได้จริงๆ

สือจินก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์นี้ และในตอนนี้สำนักสวรรค์ฟ้าก็ไม่ได้มีค่าแตกต่างอะไรจากบริษัทรักษาความปลอดภัยของเขาเลย

แต่ในขณะนี้ หลิวไป๋เฟิงต้องกระโดดลุกขึ้นมาจากบัลลังก์แล้ว เมื่อพบว่าบอดี้การ์ดทุกคนของตระกูลหลิวกำลังถอยร่นผ่านประตูเข้ามา ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น และมันทำให้หลิวไป๋เฟิงได้รู้แล้วว่าคฤหาสน์ของตนเองมีบอดี้การ์ดอยู่กี่คน

แล้วใครบางคนก็เดินผ่านประตูเข้ามา ใบหน้าของหลิวไป๋เฟิงหมองหม่นลงทันที เพราะว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น แต่บอดี้การ์ดจำนวนมากมายของเขากลับถอยร่นมาเรื่อยๆ อย่างที่ไม่คิดจะต่อสู้เลย

เขาอยากจะรู้นักว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นใคร? ทำไมถึงทำให้บอดี้การ์ดของตระกูลหลิวตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวได้ถึงขนาดนี้

สือจินและผู้ติดตามอีกหลายคนมองมาด้วยความสนใจ ในสายตาของพวกเขา บอดี้การ์ดเหล่านี้เป็นแค่เพียงสุนัขรับใช้ไร้น้ำยา

“รีบจัดการมันเร็วเข้าสิ!” หลิวไป๋เฟิงตะโกนด้วยความเดือดดาลสุดขีด ถึงแม้ว่าคนธรรมดาจะไม่สามารถสู้ได้กับจอมยุทธ์ที่ผ่านการฝึกตนมาแล้ว แต่โบราณกล่าวไว้ว่า 2 กำปั้นอย่างไรก็ต้องแพ้ 4 มือ จอมยุทธ์ผู้ผ่านการฝึกตนจะอย่างไรก็เป็นคนธรรมดา ไม่ใช่เทพเจ้า บอดี้การ์ดที่มีจำนวนกว่า 500 ชีวิตของเขา น่าจะมีทักษะที่ดีพอจัดการชายหนุ่มเพียงคนเดียวได้ไม่ยากเลย

กลุ่มบอดี้การ์ดเคลื่อนตัวไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วเหมือนกับคลื่นน้ำขนาดใหญ่ ในขณะเดียวกัน ก็ส่งเสียงร้องตะโกนปลุกใจดังสนั่น

หลิวไป๋เฟิงภูมิใจในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง สถานะหัวหน้าตระกูลหลิวมีความสูงส่งเพราะอย่างนี้ เพียงแค่เขาออกคำสั่งครั้งเดียว ผู้คนหลายร้อยคนก็ต้องทำตามทันที

แต่แล้วความภาคภูมิใจบนใบหน้าของเขา ก็แปรเปลี่ยนไปกลายเป็นความตกตะลึง

กลุ่มบอดี้การ์ดที่พุ่งเข้าไปเหล่านั้นกระเด็นกระดอนกลับออกมากระแทกกับพื้นหินจนแตกร้าวเต็มไปหมด

“หลินจง” สือจินรู้สึกเหมือนกับถูกไฟฟ้าช็อต เขากระโดดลุกขึ้นยืนและร้องตะโกนด้วยความตกใจ

ส่วนคนอื่น ๆ ได้แต่ยืนนิ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก

ถึงแม้ว่าหลินจงจะเป็นผู้ที่มีฝีมืออ่อนด้อยที่สุดของที่นี่ แต่ก็จัดได้ว่าเป็นขั้นปรมาจารย์ระดับ 1 ถึงอย่างนั้นสภาพในตอนนี้ของเขาแทบดูไม่ได้เลย บนใบหน้ามีรอยเท้าประทับไว้อย่างชัดเจน กระดูกครึ่งใบหน้าบิดเบี้ยวผิดรูปทรง ริมฝีปากบิดงอ ดวงตาโปนถลน ฟันหักและมีเลือดไหลออกมาจากปากน่าหวาดกลัว และนี่คือภาพที่ทุกคนยากจะยอมรับได้

วูบ!

กลุ่มบอดี้การ์ดแยกตัวออกจากกันทันที

แล้วชายหนุ่มคนหนึ่งก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า นิ้วมือของเขากำลังคลึงใบไม้ใบหนึ่งเล่นด้วยความผ่อนคลาย เหมือนคนที่มาเดินเล่นในสวนหลังบ้าน ไม่มีอะไรที่รบกวนจิตใจของเขาได้เลย

ฉู่ชวิ๋นเหลือบตามองหน้าสือจิน ก่อนที่จะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของหลิวไป๋เฟิง

สือจินขมวดคิ้ว ชายหนุ่มคนนี้ยังอายุน้อยเกินไป เหมือนเด็กมหาลัยเพิ่งจบใหม่ด้วยซ้ำ สือจินมองไปข้างหลังฉู่ชวิ๋น แต่ก็ไม่พบเจอคนอื่นอีก เจ้าสำนักสวรรค์ฟ้ารู้สึกตกตะลึงขึ้นมาจริง ๆ แล้ว หรือว่าหลินจงจะพ่ายแพ้ให้กับชายหนุ่มคนนี้จริง ๆ? มันไม่น่าเชื่อเลย การที่จะเอาชนะหลินจงได้จำเป็นต้องมีฝีมือในโลกยุทธภพ อย่างน้อยก็ต้องอยู่ขั้นปรมาจารย์ระดับ 2 ซึ่งคนหนุ่มที่จะไปบรรลุถึงขั้นนั้นได้หายากยิ่งกว่าอะไรดี นี่จึงเป็นเรื่องที่ทำให้เขาประหลาดใจอย่างที่สุด

“ฉันชื่อสือจิน เป็นเจ้าสำนักสวรรค์ฟ้า” สือจินพูดพร้อมกับเดินเข้าไปหาชายหนุ่มด้วยความระมัดระวัง

ฉู่ชวิ๋นไม่สนใจหันมามองหน้าเขาด้วยซ้ำ ชายหนุ่มพูดกับหลิวไป๋เฟิงว่า “คุณคือหลิวไป๋เฟิงใช่ไหม? วันนี้ผมมาตามหาพ่อแม่ของผม”

ใบหน้าของสือจินเคร่งเครียดขึ้นและดวงตาก็เป็นประกายวาวโรจน์ เขามีสถานะเป็นถึงเจ้าสำนักสวรรค์ฟ้า ไม่เคยมีใครเมินใส่เขามาก่อน

สีหน้าของหลิวไป๋เฟิงแปรเปลี่ยนไปแล้ว ดวงตาของเขาปรากฏความวิตกกังวลเช่นเดียวกับความหวาดกลัว

“พ่อหนุ่ม นายมาผิดที่หรือเปล่า ฉันไม่รู้จักนาย แล้วพ่อแม่คุณจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” หลิวไป๋เฟิงหัวเราะอย่างไม่เป็นธรรมชาติเลยสักนิด

ฉู่ชวิ๋นตอบว่า “ไม่รู้จักฉันจริงสิ?”

ฉู่ชวิ๋นพูดต่อไปโดยไม่รอคำตอบจากหลิวไป๋เฟิง “อย่าแกล้งโง่ไปหน่อยเลย! วันนี้ถ้าใครเด็ดหัวหลิวไป๋เฟิงมาให้ฉันได้ ฉันรับรองได้ว่าทุกคนจะปลอดภัย ฉันเป็นคนใจดีจะตาย อย่าบังคับให้ฉันต้องฆ่าล้างตระกูลพวกคุณเลยนะ!”