บทที่ 141 เขาชื่อฉู่ชวิ๋น[รีไรท์]

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 141 เขาชื่อฉู่ชวิ๋น[รีไรท์]

เมื่อฉู่ชวิ๋นพูดออกมาว่าอย่าบังคับให้เขาต้องฆ่าคนล้างตระกูล สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปทันที

ในสังคมที่ควบคุมด้วยกฎหมาย แม้แต่การดูหมิ่นกันทางคำพูดก็ถือว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย โดยเฉพาะกับตระกูลหลิวผู้โด่งดังในเมืองจีน

คนเสียสติ คนบ้า นี่คือสิ่งที่ทุกคนคิดว่าฉู่ชวิ๋นเป็นอยู่ในเวลานี้

หลิวไป๋เฟิงมีใบหน้าเคร่งเครียดตอนที่ตอบออกไป “พ่อหนุ่ม นายรู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดเรื่องอะไรอยู่? พูดอะไรระวังปากหน่อยนะ ผลที่ตามมาไม่ใช่เรื่องที่นายจะรับได้ง่าย ๆ ฉันจะลืมความโอหังของนายไป รีบออกไปจากที่นี่เถอะ”

“ไม่ได้ครับ ไอ้หมอนี่มันโอหังเกินไปแล้ว มันเข้ามาพูดจาวางท่าใหญ่โตและร้ายคนของเรา จะปล่อยให้กลับออกไปง่าย ๆ ไม่ได้เด็ดขาด” สือจินพูดด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ แต่จริง ๆ แล้วที่หลิวไป๋เฟิงพูดไล่ฉู่ชวิ๋นให้กลับไปนั้นเพราะเขาจำได้ว่าฉู่ชวิ๋นเป็นใครและมีความแข็งแกร่งขนาดไหน ดังนั้น เขาจึงพยายามกล้ำกลืนความเกลียดชังเพื่อให้เหตุการณ์ผ่านพ้นไป

หลิวไป๋เฟิงหันมองหน้าสือจินตาขวาง เจ้าสำนักสวรรค์ฟ้าไม่รู้เลยว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เป็นใคร เขาไม่รู้เลยว่าคนที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ก็คือฉู่ชวิ๋น เทพบุตรปีศาจผู้ใจดำอำมหิต เขาพยายามจะให้ชายหนุ่มคนนี้ออกไปจากคฤหาสน์สกุลหลิว แต่สือจินกลับพยายามรั้งให้อยู่ต่อ ถ้าไม่ติดว่าต้องไว้หน้าสำนักสวรรค์ฟ้าไว้บ้าง ป่านนี้หลิวไป๋เฟิงด่าสำนักสวรรค์ฟ้าไปแล้ว

“ไม่เชื่อใช่ไหมว่าฉันสามารถฆ่าพวกนายได้ทุกคน” ฉู่ชวิ๋นมองหน้าหลิวไป๋เฟิงด้วยสายตาเยือกเย็น

สือจินถูกเมินเฉยอีกครั้ง จึงมีสีหน้าที่อดทนอดกลั้นต่อไปไม่ไหวแล้ว

หลิวไป๋เฟิงตัวสั่น แต่ไม่นานก็ควบคุมตัวเองได้และพูดว่า “พ่อหนุ่ม นายรู้ไหมว่าที่นี่คือที่ไหน?”

“นายท่านหลิว อย่าเสียเวลาพูดกับเจ้าหมอนี่เลยครับ เดี๋ยวผมจัดการมันให้เอง” สือจินพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว

หลิวไป๋เฟิงแอบดีใจขึ้นมาแล้ว สือจินมีตำแหน่งเป็นเจ้าสำนักสวรรค์ฟ้า ไม่ว่าใครก็ห้ามไม่ได้ ดังนั้น หลิวไป๋เฟิงจึงประสานมืออย่างให้เกียรติอีกฝ่ายว่า “ขอบคุณมากครับผู้อาวุโสสือ พวกเราต้องรบกวนคุณแล้ว”

สือจินยิ้มออกมาเล็กน้อย เหมือนว่าเรื่องนี้เป็นประโยชน์กับตัวเองที่สุด

จอมยุทธ์ที่อยู่ในยุทธภพจะอย่างไรก็เป็นมนุษย์ เมื่อเป็นมนุษย์ก็จำเป็นต้องใช้เงิน โดยเฉพาะผู้ฝึกตนก็ต้องใช้เงินจำนวนมากยิ่งกว่าคนทั่วไปเสียอีก

“หวังเทียน ตู้ซง พวกแกสองคนออกไปจัดการมัน” สือจินออกคำสั่ง

หวังเทียนเป็นชายหนุ่มรูปร่างปานกลางและมีหน้าตาธรรมดาทั่วไป แต่ดวงตาของเขาคมกล้าเหมือนกับคมดาบ เขาเป็นสมาชิกลำดับสูงของสำนัก

ตู้ซงเป็นชายรูปร่างผอมสูง มีฝีมือเก่งกาจเช่นกัน

ทั้งสองคนก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมกัน

“ไอ้หนู นายมาจากสำนักไหน?” ตู้ซงถามด้วยความสงสัย

“เก่งนักใช่ไหม งั้นต้องเจอนี่” หวังเทียนคำรามด้วยความอำมหิต เมื่อเขากระทืบเท้าลงไปบนพื้น พื้นหินก็แตกร้าว กลุ่มคนที่ยืนอยู่แถวนั้นปลิวกระเด็นไปทันที ก่อนที่เขาจะกระโดดเข้าไปตะปบลงบนหัวไหล่ของฉู่ชวิ๋นเหมือนกับกรงเล็บเหยี่ยว

เขาทราบว่าฉู่ชวิ๋นต้องเป็นคนในยุทธภพแน่นอน ระดับฝีมือไม่ใช่ผู้อ่อนแอ อาจจะเป็นขั้นปรมาจารย์ระดับ 2 ก็เป็นได้ ดังนั้น หวังเทียนจึงต่อสู้อย่างไม่ออมมือเลยแม้แต่น้อย

ตู้ซงยังไม่ต้องลงมือทำอะไร กรงเล็บเหยี่ยวของหวังเทียนมีอัตราการจู่โจมสำเร็จที่สูงมาก อานุภาพของมันอันตรายถึงตาย สามารถฉีกกระชากแผ่นเหล็กที่มีขนาด 5 เซนติเมตรได้อย่างไม่มีปัญหา ถ้ากรงเล็บของเขาได้ตะปบลงไปบนตัวใคร คนผู้นั้นก็จะกระดูกแตกหักและรอรับความตายได้เลย

หวังเทียนมีสีหน้าที่ดุดัน ยิ่งเห็นว่าฉู่ชวิ๋นไม่ได้พยายามหลบเลี่ยง ดวงตาของเขาก็ฉายแววอำมหิตมากขึ้น หวังเทียนรู้สึกว่าฉู่ชวิ๋นมีความหยิ่งผยองเกินไป เขาจึงตั้งใจฉีกแขนของชายหนุ่มให้ขาดออกทั้งข้าง

ฟุบ!

กรงเล็บเหยี่ยวของหวังเทียนตะปบลงไปบนไหล่ของชายหนุ่มแล้ว

กร๊อบ!

เกิดเสียงกระดูกแตกหักดังขึ้น

หลิวไป๋เฟิง สือจิน และคนอื่น ๆ แสดงยิ้มที่อำมหิตบนสีหน้า

สีหน้าของบอดี้การ์ดประจำตระกูลหลิวเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

และพวกเขาก็รู้แล้วว่าไม่มีใครสามารถมาก่อเรื่องในคฤหาสน์ตระกูลหลิวได้จริงๆ

จากเสียงกระดูกแตกหักที่ได้ยิน รับรองว่ากระดูกหัวไหล่ของชายหนุ่มคนนี้ต้องถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดีแน่นอน

ทุกคนต่างก็จ้องมองฉู่ชวิ๋นด้วยความตื่นเต้น แต่แล้วใบหน้าก็ค่อยๆ เผยความฉงนออกมาทีละเล็กทีละน้อย กระดูกหัวไหล่ของเขาแตกหัก แต่ชายหนุ่มไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยหรือไง? สีหน้าของฉู่ชวิ๋นยังคงเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจในตัวเองเหมือนเดิม ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดบนสีหน้า หรือว่าเขาจะไม่มีความเจ็บปวด?

และในวินาทีนั้นเอง หวังเทียนพลันส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความตื่นกลัว พร้อมกับผงะถอยหลังไปหลายก้าว

สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปแล้ว ทั้งหมดต่างก็มึนงงสับสน ถ้าไม่ได้เห็นเองกับตาว่าแขนของหวังเทียนกำลังห้อยต่องแต่งอยู่ข้างตัว พวกเขาก็คงคิดว่าหวังเทียนกำลังเสแสร้งแกล้งทำอยู่แน่นอน

ตู้ซงถลันเข้ามาจับข้อมือของหวังเทียน พยายามตรวจสอบอาการบาดเจ็บ ผลที่ได้ก็คือ ตู้ซงมีสีหน้าตกใจสุดขีด สันหลังของเขาเย็นวาบ ตู้ซงสั่นไปทั้งตัว

หวังเทียนไม่ใช่แค่กระดูกแขนแตกหักเท่านั้น แต่กระดูกกลับอ่อนตัวเหมือนกับเส้นหมี่ ในขณะที่แขนทั้งข้างอ่อนยวบเหมือนกับเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ไม่สามารถใช้งานได้อีกแล้ว

“เขาเป็นอะไรหรือเปล่า?” สือจินถามตู้ซงด้วยสีหน้าน่าเกลียดน่ากลัว

ตู้ซงกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ตอนที่เขากำลังจะเปิดปากพูดนั่นเอง เส้นขนบนร่างกายก็ลุกชัน ทั่วร่างของเขารู้สึกเย็นเฉียบ เขาไม่สนใจหวังเทียนอีกแล้ว ตู้ซงกระทืบเท้าลงบนพื้นเป็นแรงส่งดีดตัวเองกระโดดหนีออกไปจากห้องโถงทันที

“กล้าดียังไง!” สือจินได้แต่ส่งเสียงคำราม

ครืน!

คลื่นพลังที่เป็นรูปฝ่ามือขนาดใหญ่พุ่งวาบลงมาจากด้านบน ส่งผลให้ทุกอย่างสะเทือนเหมือนฟ้าถล่มดินทลาย คฤหาสน์ทั้งหลังสั่นสะเทือน บนพื้นเกิดรอยปริแตก ในอากาศมีแต่เศษฝุ่นเศษทรายร่วงกราว ไม่มีใครได้ยินเสียงกรีดร้องของหวังเทียนอีกแล้ว ตู้ซงถูกคลื่นพลังฝ่ามือนี้กระแทกเข้าใส่จนกระดูกแตกละเอียด แม้แต่เส้นเอ็นก็ฉีกขาด คนในตระกูลหลิวและบอดี้การ์ดอีกหลายนายที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้น ได้รับลูกหลงถูกซัดปลิวกระเด็นออกไป

ผ่านไปอีกอึดใจใหญ่ ม่านฝุ่นควันในอากาศถึงได้จางหายไป

ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงตกตะลึงจนลืมหายใจ เบื้องหน้าของทุกคนเป็นหลุมขนาดใหญ่เหมือนกับมีคนทิ้งระเบิด ทุกอย่างกระจัดกระจายไปหมด หวังเทียนร่างเละแหลกละเอียดนอนจมอยู่ในกองเลือด ตายจนไม่รู้จะตายอย่างไรอีกแล้ว

และถึงแม้ว่าตู้ซงจะยังรอดชีวิตอยู่ แต่ก็ไม่ต่างไปจากคนตาย ร่างกายของเขาไม่เหลือกระดูกที่ใช้งานได้อยู่อีกแล้ว กะโหลกศีรษะแตก กระดูกหน้าอกยุบ ตามเนื้อตัวมีแต่กระดูกสีขาวแทงทะลุออกมา ดูน่าเกลียดน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ปากของเขาเต็มไปด้วยเลือด และเส้นเลือดในร่างกายแทบทุกเส้นก็ระเบิดตัวแตกออกหมดแล้ว

ส่วนคนของตระกูลหลิวและบรรดาบอดี้การ์ดที่ได้รับลูกหลง ก็อยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส

ในห้องโถงพลันมีแต่ความเงียบ

ทุกคนกลัวจนไม่กล้าส่งเสียงดัง ไม่มีใครสงสัยในฝีมือของฉู่ชวิ๋นอีกแล้ว เขามีความสามารถมากพอที่จะฆ่าล้างตระกูลหลิวได้จริง ๆ

โดยเฉพาะบรรดาคนในตระกูลหลิวที่ชอบข่มเหงผู้อื่นอยู่เป็นนิสัยในตอนนี้เมื่อเจอเข้ากับตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกสนุกสนานอีกแล้ว สีหน้าของทุกคนหวาดกลัวจนแทบขาดใจตาย บางคนถึงกับเป็นลมล้มพับไปเลยก็มี

“แกเป็นใครกันแน่?” สือจินถามด้วยความตกใจและหวาดกลัว รอบกายเขาเหลือแต่ผู้ฝึกยุทธ์ภายในสำนักอยู่แค่เพียง 1 ใน 3 เท่านั้น ส่วนคนที่เหลือถ้าไม่ตายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งสิ้น

“คุณหลิว คิดว่าฉันเป็นใครกันล่ะ? ถ้าตอบผิด…รับรองว่าตายแน่นอน!” ฉู่ชวิ๋นมองหน้าหลิวไป๋เฟิงด้วยสายตาอาฆาต

หลิวไป๋เฟิงเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งสูงส่ง บารมีของเขาสูงล้ำเหมือนดวงอาทิตย์ โดยเฉพาะกับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลที่สืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณ เขามีสถานะไม่ต่างไปจากกษัตริย์และถูกให้ความเคารพเหมือนกับนายกรัฐมนตรี แต่ทุกอย่างนั้นไม่มีค่าเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าฉู่ชวิ๋น

หลังจากมองไปที่หวังเทียนแล้ว สีหน้าของหลิวไป๋เฟิงก็บอกชัดว่าเขาไม่สามารถทนดูมันได้อีก กลิ่นคาวเลือดที่ลอยในอากาศ ทำให้สองขาของเขาหมดแรงอ่อนยวบเหมือนกับเส้นบะหมี่ ถ้าเขาอ่อนแอมากกว่านี้ ก็คงล้มพับลงไปแล้ว

เมื่อได้ยินฉู่ชวิ๋นถามออกมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเมื่อคิดถึงสถานะของตัวเอง ฉู่ชวิ๋นจะกล้ามีเรื่องกับเขาจริงๆเหรอ? เมื่อลองคิดดูดีๆแล้ว หลิวไป๋เฟิงก็แน่ใจว่าคงกล้า เพราะดูจากการลงมือก่อนหน้านี้ของฉู่ชวิ๋น ถ้าเขาไม่ยอมบอกความจริง ก็คงต้องรอรับฝ่ามือจากจอมเชือดได้เลย

เขาหันไปมองหน้าสือจินและพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่นว่า “เขาคือฉู่ชวิ๋น”

“หะ……ว่าไงนะ?” ดวงตาของสือจินและสมาชิกสำนักสวรรค์ฟ้าเบิกโตด้วยความสยองขวัญ

ชื่อของชายหนุ่มคนนี้มีนามระบือไกล แม้แต่เด็กเล็กหรือผู้หญิงก็ต้องรู้จัก เรื่องราวของเขาถูกเล่าขานกันในวงกว้างของโลกยุทธภพ

ฉู่ชวิ๋น จอมสังหารใจดำอำมหิต และอีกหลายฉายาที่บอกถึงความกระหายเลือดน่าหวาดกลัว

“หลิวไป๋เฟิง แกหลอกฉัน” สือจินคำรามออกมาด้วยน้ำเสียงดุร้ายและเดือดดาล

หลิวไป๋เฟิงรู้อยู่แล้วว่าฉู่ชวิ๋นเป็นใคร แต่กลับไม่บอกอะไรเขาสักคำ สือจินจึงตาสว่างแล้วว่าตนเองถูกหลอกใช้ให้ไปตายแทน

หัวใจของสือจินเต็มไปด้วยความเกลียดชังในขณะที่มองหน้าหลิวไป๋เฟิงพร้อมกับกัดฟันกรอด ถ้าไม่ติดว่าหลิวเซียงหรู่จะเป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสในสำนัก เขาก็คงฆ่าหัวหน้าตระกูลหลิวให้ตายคามือไปแล้ว