นักรบเบสซ่า 20 นายที่ลอบเข้ามาในกำแพงและเปิดประตูได้สำเร็จ โดยไม่รู้แม้แต่น้อยเลยว่า พวกเขานั้นกำลังถูกแผนซ้อนแผนอยู่

พวกทหารเฟิง 15 นายพลันโผล่ออกมาจากด้านหลังพวกเขาอย่างไร้ร่องรอย และเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ก่อนใช้ดาบแทงเข้าใส่นักรบเบสซ่าพวกนั้น

ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นโดยที่พวกนักรบต่างแดนไม่รู้เลยว่ากำลังจะถูกสังหารจากด้านหลัง

ดาบ 15 เล่มพุ่งแทงเข้าใส่ทหารมอร์ฟีสจากด้านหลัง เจาะทะลุเกราะปราณเข้าไปสะบั้นศีรษะเป้าหมาย ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ส่งเสียงกรีดร้องออกมา

เลือดพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ก่อนที่จะเกิดเสียงศีรษะพวกนั้นตกลงสู่พื้น ทำให้คนที่เหลืออยู่พบความผิดปกติ หันมองกลับไปและพบว่าสหายของตัวเองนั้นได้นอนตายกันหมดแล้ว และได้มีผู้ฝึกยุทธ์จำนวน 15 คนถือดาบที่เปื้อนเลือดอยู่ที่ด้านหลัง

พวกเบสซ่าที่เห็นดังนั้นก็ตกใจ และรู้ได้ในทันทีว่าพวกเขานั้นติดกับดักของศัตรูเข้าอย่างจัง จึงรีบวิ่งออกเพื่อจะไปแจ้งทหารม้าเกราะหนักให้รีบถอยห่างจากที่นี่ทันที

ทว่าพวกเฟิงย่อมไม่คิดปล่อยให้คนพวกนั้นไปแจ้งข่าว พวกเขารีบใช้วิชาสับเปลี่ยนเงาไปปรากฏตัวข้างหลังพวกที่กำลังวิ่งหนีในพลัน ก่อนใช้ดาบตัดแขนและขาจนขาดกระจายไปทั่วพื้น

มีคนที่ยังเหลือรอดอยู่ แต่เมื่อหันไปก็พบกับสหายของตัวเองที่ถูกสับเป็นชิ้น ๆ ก็พลันรู้สึกหวาดกลัว พยายามวิ่งหนีออกจากประตูเมืองอย่างไม่คิดชีวิต หากทว่าคนผู้นั้นกลับถูกอะไรบางอย่างลากกลับเข้าไป

เสียงเนื้อถูกเฉือนดังขึ้น ตามมาด้วยเลือดที่พุ่งขึ้นมาก่อนจะกลืนหายไปในความมืดโดยรอบ

พวกทหารม้าเบสซ่าที่อยู่ห่างไกลออกไปไม่พบความผิดปกติใด ดังนั้นพวกเขาจึงยังคงมุ่งหน้าต่อไปอย่างช้า ๆ

เพียงพริบตานั้น ทหารม้ากว่า 5 พันนายก็เข้ามาถึงประตูเมืองแล้วและกำลังเริ่มทำการโจมตี หากแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น พวกทหารเฟิงที่ซุ่มรออยู่ก็ยังไม่ยกประตูขึ้นแต่อย่างใด

ด้วยท้องฟ้านั้นมืดมาก พวกทหารม้าจึงไม่คิดสงสัยว่าทำไมคนของตัวเองถึงหายไป และยังคงพยายามลอบเข้าไปในประตูที่เปิดอยู่อย่างไม่ใส่ใจ

เมื่อทหารม้า 5 พันนายพุ่งเข้าไปในตัวเมืองได้สำเร็จ ทหารเฟิง 15 นายที่ซ่อนตัวอยู่ก็พลันทำการปิดประตูอย่างรวดเร็ว ทำเอาพวกทหารม้าที่เข้ามาตะลึงงัน “ใครปิดประตู ? ยังมีพวกทหารอยู่ข้างนอกอีกนะ !”

คนผู้นั้นพูดไม่ทันจบ ก็มีกองทัพเฟิงวิ่งกรูกันออกมาจากทุกซอกทุกมุมของบ้านเรือนบริเวณนั้นกันอย่างมากมาย พร้อมด้วยคบเพลิงในมือที่ส่องสว่างไปทั้งเมือง

ในเวลาเดียวกัน แม่ทัพหญิงผู้หนึ่งก็ได้ตะโกนลงมาจากบนหลังคาบ้าน “แขกต่างแดนมาเยี่ยมเยือนถึงถิ่นทั้งที เจ้าบ้านอย่างพวกข้าก็ต้องออกมาต้อนรับเสียหน่อย ไม่งั้นจะเป็นการเสียมารยาทได้ !” ที่แท้นางก็คืออัยเจีย ที่สวมชุดเกราะพร้อมด้วยอาวุธปราณในมือ และแม้ว่าจะเป็นการพูดที่ไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่นัก แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา

“หา ?” ผู้นำกองทหารม้าตะลึงถึงขีดสุด เขารีบหันหัวไปมองคนในเมืองที่ถือคบเพลิงอยู่ ก่อนจะพบเข้ากับเศษซากชุดเกราะ 20 ชุดที่อยู่ไม่ไกลออกออกไป

มันสายเกินไปแล้วที่พวกเขาจะถอยกลับ ขณะนี้ทหารม้า 5 พันนายได้ถูกล้อมเอาไว้จากทุกทิศทางแล้ว

“พวกเจ้าไม่ต้องตื่นกลัว ตามข้ามา !” หัวหน้ากองทหารม้าตะโกนปลุกใจ ด้วยถึงแม้จะติดอยู่ในวงล้อม หากแต่พวกเขานั้นก็ยังมีโอกาสอยู่ ขอแค่ตีฝ่าวงล้อมออกได้เท่านั้น !

ถ้าหากนี่เป็นเมื่อครั้งอดีต พวกเฟิงคงไม่กล้าลงมือต่อพวกทหารม้าเกราะหนักเหล่านี้ ทว่าในตอนนี้มันต่างกันออกไปแล้ว โดยไม่รีรอให้พวกมันได้ตั้งตัว กองทัพปิงหยวนก็พลันพุ่งเข้าโจมตีก่อนในทันที !

อาวุธในมือของทหารราบคือ ดาบใหญ่(จ้านด้าเต๋า) มันคือดาบที่มีใบดาบใหญ่มากและเอาไว้ใช้ในการตัดขาของม้า

เมื่อม้าศึกเสียขาไป พวกมันก็ถือได้ว่าตายไปแล้ว อีกทั้งนี่ก็ไม่ใช่แค่การตายของเจ้าสัตว์สี่ขานี่เท่านั้น หากแต่ยังหมายถึงความพ่ายแพ้ของผู้ขับขี่มันด้วยเช่นกัน

เพียงชั่วพริบตาทหารม้าเกราะหนักมากมายก็ล้มลงมาจากหลังม้ากันถ้วนหน้า และเมื่อหัวหน้ากองเห็นแบบนี้ก็ตะลึงเกินกว่าที่จะทำอะไรอื่นได้ ก่อนที่ม้าของเขาจะโดนตัดขาออกไปจนล้มลงมาทั้งคนทั้งม้าไปอีกคน

เมื่อเห็นแม่ทัพเบสซ่าล้มลง ทหารปิงหยวนก็เข้ามาอย่างรวดเร็ว หากแต่แม่ทัพคนนี้ก็ไม่ใช่ที่จะล้มได้โดยง่าย เขาผู้นี้นั้นตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะผสานพลังปราณในกายเข้ากับหอกในมือจนกลายเป็นอาวุธปราณ

เคร้ง !

เขาสะบัดหอกและฟันกวาดเข้าใส่พวกทหารที่อยู่รอบตัว แต่ก่อนที่จะทันได้ทำร้ายทหารราบไปมากกว่านี้ มันก็ได้มีเงาสีดำปรากฏอยู่ข้างหลังเขานับไม่ถ้วน พร้อมกับดาบที่ถูกแทงเข้ามา

แม่ทัพคนนี้ไม่ได้สนใจนักในตอนแรก แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังที่แผ่ออกมา จึงรีบพลิกตัวหลบอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ดาบผ่านใบหน้าไป

ระหว่างนี้ก็มีอีกการโจมตีหนึ่งพุ่งเข้ามา ทว่าเขาก็ยังหาตัวจับไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นจึงได้คำรามออกมาอีกครั้ง ก่อนหันไปมอง หากแต่ก็ยังไม่เห็นใครราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นภูตผี

พลังปราณกดดันถูกปล่อยออกมาจากรอบทิศทาง แต่ชายคนนี้ก็ยังยืนหยัดกำหอกแน่น

แต่ก่อนที่เขาจะทันได้รู้ตัว ก็มีเงาปรากฏตัวที่ด้านหลังอีกครั้ง และครานี้เงานั่นก็ได้ใช้สันดาบกระแทกเข้าไปที่หัวของแม่ทัพคนนี้อย่างแรง จนเกราะส่วนหัวของเขาแตกกระจายพร้อมด้วยเลือดที่ไหลพรั่งพรูออกมา ทำให้สติของแม่ทัพเบสซ่าผู้นั้นหลุดลอย คุกเข่าลงไปกับพื้นอย่างว่าง่าย

สายตาของแม่ทัพเบสซ่าผู้นั้นเริ่มพร่ามัว ไม่อาจมองอะไรได้ชัดเจนในตอนนี้ สิ่งที่เขาเห็นเป็นครั้งสุดท้ายก็คือชายชุดดำ 15 คนที่ยืนล้อมอยู่

พวกเขาคือหน่วยศรทมิฬของเฉิงจิน และเป็นทหารที่เก่งที่สุดด้วยพวกเขานั้นอยู่ในระดับปราณสู่พิสดาร !

ที่แท้ก็เป็นเพราะเฉิงจินนั้นได้ทำตามคำแนะนำของมูฉิง เข้าซุ่มโจมตีที่ประตูเมือง ด้วยรู้อยู่แล้วว่าจะมีการโจมตีตอนกลางคืน ดังนั้นจึงรอให้พวกมันทำตามแผนที่วางเอาไว้ ก่อนที่จะเข้าไปตลบหลังแผนของพวกมันอีกทีโดยหน่วยศรทมิฬทั้ง 15 คนนี้