บทที่ 142

ทันทีที่แม่ทัพผู้นั้นล้มลงไปกับพื้น เฉิงจินก็รีบเข้าไปพร้อมด้วยยาสลายปราณในมือ ก่อนจะมัดอีกฝ่ายเอาไว้แน่น

เมื่อเห็นแม่ทัพตนถูกจับเป็นเชลย มันก็ทำให้พวกทหารม้าที่เหลือเริ่มแตกทัพและเข้าสู้กับพวกเฟิงแบบตัวต่อตัวบนพื้น

อีกฟากนึงของเมืองนี้ ค่ายของพวกต่างแดนนั้นยังไม่รับรู้แม้แต่น้อยว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองเฮิง ดังนั้นแม่ทัพใหญ่ที่ประจำในค่ายจึงได้ออกคำสั่งตามแผนเดิม ร้องตะโกนก้องให้ทำการบุกโจมตีชุดใหญ่ในทันที !

ทหารเบสซ่าทุกนายจากทั่วทิศรอบเมืองเริ่มบุกเข้ามาในพลัน และต่อให้จะมีคูน้ำกั้นเอาไว้ หากแต่อย่างน้อยศพของพวกที่เป็นแนวหน้าก็ได้กลายเป็นสะพานให้พวกแนวหลังวางบันไดขึ้นไปสู่ยอดกำแพงได้

พวกเขาคิดว่าทหารม้าน่าจะสร้างความปั่นป่วนให้กับในเมืองได้มากโข แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเขานั้นเจอเข้ากับพวกเฟิงที่รุดหน้าขึ้นมาป้องกันอย่างแน่นหนาแทนเสียอย่างงั้น !

มันไม่ง่ายเลยที่จะเข้าใกล้กำแพงเมืองนี้ ไม่ว่าจะเป็นไม้ซุง ก้อนหิน น้ำมันเดือด หรือแม้แต่หอกยาวก็ถูกล้วนนำมาใช้ต่อต้าน จนทำให้มีศพมากมายก่ายกองบนพื้นปะปนกับเลือดที่นองไปทั่ว

จนบีบให้พวกทหารแนวหน้าถอยกลับ สวนทางกับพวกแนวหลังที่กำลังรุดหน้าขึ้นมา ทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม พวกเขาเหยียบกันล้มตายจนเละเทะพร้อมทั้งถูกเล็งด้วยลูกธนูจากด้านบน

ที่ด้านบนกำแพงเมือง จู่ ๆ ก็มีพวกทหารม้าที่เข้ามาตอนแรกในสภาพถูกจับปลดเกราะออกทั้งหมด ดูราวกับไก่ถอนขนที่รอถูกเชือด ถูกนำขึ้นมาด้านบนจนเห็นได้ทั่วกัน

เมื่อเห็นแบบนี้ พวกเบสซ่าก็โกรธมากที่เห็นทหารม้าอันไร้เทียมทานของพวกเขาพ่ายแพ้ ! ทั้งยังถูกจับเป็นเชลยเสียอย่างงั้น

แม่ทัพมอร์ฟีสตะลึงและผิดหวังมากในคราเดียวกัน ก่อนจะตัดสินใจสั่งถอยทัพกลับ ด้วยในเมื่อตอนนี้โจมตีต่อไปก็ไร้ผล ขืนฝืนไปก็มีแต่จะเพิ่มความสูญเสียมากขึ้นเปล่า ๆ

เมื่อการโจมตีครั้งนี้ล้มเหลว มันก็ทำให้พวกปิงหยวนเริ่มมีขวัญกำลังใจขึ้นมาอีกครั้ง

ตอนแรกพวกเขาคิดว่าเมืองเฮิงจะถูกกวาดล้างไปจากการโจมตีระลอกแรกของพวกมอร์ฟีส หากแต่ความเป็นจริงมันแตกต่างกันมาก เพราะเมืองนี้สามารถตั้งรับและควบคุมความเสียหายได้ทั้งหมด !

เมื่อเห็นว่าไม่สำเร็จ แม่ทัพใหญ่เบสซ่าก็จึงทิ้งแผนเดิมไปในพลัน และเริ่มออกคำสั่งให้สร้างอนุสรณ์สถานรำลึกถึงผู้ที่จากไปในการต่อสู้ครั้งนี้ ซึ่งมันก็ใช้เวลาในการสร้างเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น ก่อนที่เสาหินขนาดใหญ่จะปรากฏ

วันต่อมาหลังจากที่สร้างอนุสรณ์เสร็จ กองทัพเบสซ่าก็เข้าโจมตีอีกครั้ง

ครั้งนี้พวกเขาไม่เข้ามาทีเดียวแต่ใช้กลยุทธ์ใหม่ โดยการยกโล่เหล็กขึ้นป้องกันห่าฝนธนูไปเรื่อย ๆ เหมือนกับกระจกขนาดใหญ่เคลื่อนที่ได้ ทำให้พวกเฟิงไม่สามารถใช้ธนูได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

มูฉิงจึงแก้ทางด้วยการสั่งให้เก็บธนูลงไป แล้วรอให้พวกมันเข้ามาใกล้กว่านี้ รอจนเมื่ออีกฝ่ายปีนขึ้นกำแพงจึงค่อยใช้มันอีกครั้ง

แผนนี้ได้ผล พวกทหารเบสซ่าที่ไม่ทันตั้งตัวก็ถูกยิงล้มตายไปมาก และเมื่อพวกเขายกโล่ขึ้นมาอีกครั้ง พวกเฟิงก็พลันทำการยิงธนูไฟเข้าใส่ ทำให้ทั้งขบวนรบลุกท่วมไปด้วยเปลวไฟ และเต็มไปด้วยความปั่นป่วนยากเกินควบคุม

โดยไม่ทันได้จัดการเปลวไฟพวกนั้นให้เรียบร้อย ห่าฝนธนูก็พลันถูกยิงลงมาอีกครั้ง ทำให้พวกมอร์ฟีสที่ปั่นป่วนอยู่แล้วยิ่งแตกทัพมากไปกว่าเดิม

เมื่อศพเริ่มมากขึ้นก็เริ่มมีที่กำบังมากตามไปด้วย พวกต่างแดนพากันใช้ศพพวกพ้องตัวเองเป็นที่เหยียบและเริ่มวางบันได จากนั้นพวกเขาก็รีบโยนโล่ทิ้งไปพร้อมกับปีนขึ้นด้วยความบ้าคลั่ง

ทันใดนั้นก็มีไม้ไผ่โผล่ออกมาจากกำแพง เข้าดันบันไดให้เอนไปข้างหลัง ผลักให้พวกทหารที่กำลังปีนอยู่ล้มลงไปกลางกองทหารของตัวเอง

การต่อสู้ดำเนินการอย่างดุเดือด และทั่วทั้ง 4 ทิศก็มีการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง พวกเบสซ่าพวกนี้บุกเข้ามาราวกับคลื่นทะเลอย่างไม่สิ้นสุด ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะเริ่มถูกความบ้าคลั่งกัดกินเข้าไปทุกที ในหัวของพวกเขามีแต่ความคิดที่ว่าจะต้องสังหารอีกฝ่ายให้ได้ !

เมื่อยามเย็นมาถึง ก็มีพวกมอร์ฟีสบางส่วนสามารถทะลวงแนวป้องกันเข้ามาได้บ้าง หากแต่มันก็ถูกตีกลับออกไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ยอดผู้สูญเสียเริ่มมากขึ้นทั้งสองฝ่าย

กองทัพปิงหยวนเริ่มอ่อนล้าลงไปทุกครั้งที่ตั้งรับ พวกเขาไม่สามารถต้านไปได้นานกว่านี้แน่ แต่ทว่าเมื่อเห็นพวกมอร์ฟีสกำลังล่าถอยกลับไป มันก็ทำให้พวกเขาฮึดสู้และฝืนทนต่อไปได้ !

การต่อสู้ในครั้งนี้ฝั่งปิงหยวนสูญเสียไป 1 หมื่นนาย ในขณะที่พวกต่างแดนสูญเสียไปถึง 3 หมื่นนาย ถือว่าเยอะมากสำหรับทั้งสองฝ่าย

เย็นวันนั้น ชาวบ้านที่หยวนจี้เรียกได้มารวมตัวกัน ก่อนที่พวกเขาจะขึ้นไปมอบเสบียงและเติมพลังกายให้พวกทหารที่ตั้งรับอยู่กำแพง และเมื่อได้รับการช่วยเหลือจากชาวเมืองแบบนี้ พวกทหารก็พากันมีกำลังใจขึ้นมา

ชาวเมืองนั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในแกนหลักสำคัญของสนามรบเช่นกัน พวกเขาคือยาชูกำลัง ที่สามารถปลุกพลังใจให้กับทหารทั้งหลายได้ในพริบตา !

การต่อสู้กับพวกต่างแดนแบบนี้มันกินพลังงานของพวกเขาไปมาก แต่โชคยังดีที่การฝึกฝนทั้งหมดได้รับการนำไปใช้ทุกกระบวนท่า จึงทำให้พวกเขาคุ้นชิน และไม่เหนื่อยไปกับมันมากนัก

ทางตอนใต้ของเมือง

ชิวเจิ้น มูฉิง และนายกองที่เหลือได้มาประจำการที่หอคอยทางใต้เพื่อวางแผนรับมือกับพวกเบสซ่าอีกครั้ง

บอกตรง ๆ เลยว่านี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองฝ่ายได้เผชิญหน้ากันในศึกที่เต็มรูปแบบแบบนี้ และถ้าหากพวกเขาเสียทหารไป 1 หมื่นนายในวันเดียวเช่นนี้ งั้นแล้วพวกเขาจะต้านต่อไปได้หรือ ?

ชิวเจิ้นพูดอย่างอ่อนล้า “ข้าว่าคืนนี้คงไม่มีการลอบโจมตีแล้วละ”

พวกต่างแดนเองก็ใช้พลังกายและกลยุทธ์มากมายเช่นกัน ทำให้ทั้งกองทัพเหนื่อยล้าและไม่อาจที่จะลอบโจมตีตอนกลางคืนต่อได้ เว้นเสียแต่ว่าแม่ทัพของพวกเขาจะเริ่มสติแตกสั่งให้ทหารทำแบบนั้น

มูฉิงมองค่ายของศัตรูที่ด้านนอกแล้วชี้ไป “ข้าคิดว่าตรงนั้นน่าจะเป็นที่ที่พวกมันเก็บเสบียงอาหาร”

ทุกคนมองตาม แต่ด้วยความมืดจึงทำให้พวกเขาเห็นแต่เงาลาง ๆ

อัยเจียพูดขึ้น “น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะข้าเห็นพวกมันส่งเสบียงมาที่นี่ก่อนที่จะกระจายไปยังส่วนอื่น ๆ”

ได้ยินเช่นนั้นมูฉิงก็ยิ่งมั่นใจแล้วพยักหน้า “ข้ามีแผนแล้ว”

“อะไรหรือ ?”

“คืนนี้พวกเราจะลอบโจมตีพวกมันกัน !” เขากล่าวแล้วมองหน้าทุกคน “พวกเจ้าคิดว่าไง ?”

ทุกคนมองหน้ากันด้วยสีหน้าอึดอัดใจ

จางโจวยิ้มออกมาแห้ง ๆ “ถ้าพวกมันไม่มาก็ถือว่าดีแล้ว ทำไมจะต้องออกไปเสี่ยงแบบนั้นด้วย ?”

มูฉิงส่ายหัว “ผิดแล้ว ถ้าหากพวกเราลอบโจมตีตอนที่พวกมันกำลังเหนื่อยล้าเพื่อเผาแหล่งเสบียงละก็ กองทัพของพวกมันจะต้องเสียขวัญและกำลังใจมากกว่าเดิมแน่นอน”

หัวใจทุกคนแทบจะหยุดเต้นเมื่อได้ยินแบบนี้

มูฉิงพูดถูก พวกเบสซ่าไม่มีทางคิดว่าพวกเฟิงจะทำการแบบนี้แน่ ซึ่งถ้าหากว่าพวกเขาทำสำเร็จละก็ งั้นแล้วพวกต่างแดนก็อาจจะถูกบีบให้ถอยทัพออกไป

ชิวเจิ้นครุ่นคิดแล้วพยักหน้าให้ “เจ้าคิดว่าพวกมันจะเก็บอาหารไว้ที่ค่ายทางใต้หรือ ?”

มูฉิงส่ายหัว “พวกเราไม่ต้องเข้าไปลึกแบบนั้นหรอก แค่เข้าไปถึงตำแหน่งคร่าว ๆ แล้วก็เผาเสีย”

“ถ้างั้นเจ้าจะใช้กำลังทหารเท่าไหร่ ?”

มูฉิงลืมคิดเรื่องนี้ไปเสียสนิท ก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้าคิดว่าน่าจะใช้ทหารประมาณ 5 ร้อยนาย 2 กองรวมกัน และให้แม่ทัพจางกับแม่ทัพไป่แบ่งกันไปกระทำการนี้ !”