พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เป็นใครก็คงทนนั่งต่อไม่ไหว
พวกหลานๆ เห็นท่าทางบุ้ยใบ้ของนายหญิงรอง ต่างก็ทะยอยลุกขึ้นแล้วขอตัวจากไปอย่างว่านอนสอนง่ายราวกับนกกระทา เหลือเพียงนายหญิงรองกับท่านแม่เฒ่าสกุลอี้สองคนไว้ปลุกปลอบท่านแม่เฒ่าสกุลเผย
พอเดินผ่านประตูพระจันทร์ออกมาจากเรือนหลักแล้ว คุณหนูห้าก็ตบอกอย่างใจหายใจคว่ำ กระซิบบอกกับอวี้ถังว่า “เป็นครั้งแรกที่ข้าเคยเห็นท่านย่าเดือดดาลเพียงนี้ ข้าตกใจแทบแย่!”
อวี้ถังก็หัวใจกระเด้งกระดอนไม่ต่างกันเท่าไร
คิดไม่ถึงว่าท่านแม่เฒ่าที่ยามปกติดูมีเมตตาและใจดี พอถึงเวลาด่าคนแล้วจะด่าได้ถึงอกถึงใจเช่นนี้ มิน่าคนในสกุลเผยถึงได้ทั้งหวาดกลัวทั้งเคารพนาง…หากพยัคฆ์ไม่คำรามเสียบาง คนอื่นอาจเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงแมวป่วยตัวหนึ่ง
นางปลอบใจคุณหนูห้าเสียงเบาว่า “เมื่อครู่เจ้าก็พูดอยู่นี่นา ว่าเป็นครั้งแรกที่เคยเห็นท่านแม่เฒ่าเดือดดาลเพียงนี้ นั่นก็หมายความว่านางมิใช่คนที่จะมีโทสะง่ายๆ แต่ที่นางโมโหขึ้นมา ก็เพราะว่านายหญิงเสิ่นพูดจาข้ามเส้นเกินไป”
คล้ายว่าคุณหนูสี่จะตกใจเช่นเดียวกัน นางอยู่ข้างๆ ได้ยินคุณหนูห้าคุยกับอวี้ถัง จึงอดจะเข้ามาร่วมวงไม่ได้ กดเสียงเบาถามกับอวี้ถังว่า “ใช่หรือไม่ว่าถ้าพวกเราไม่ไปยั่วโมโหท่านย่า ท่านย่าก็จะไม่เดือดดาลใส่พวกเรา?”
“อื้มๆ” อวี้ถังพยักหน้าหงึกหงัก ทั้งยังลูบศีรษะคุณหนูสี่เบาๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มีใครเดือดดาลขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลหรอก!”
คุณหนูสามทำหน้าตึง เดิมก็เดินหน้าทะมึนนำอยู่ข้างหน้าพวกนาง ไม่รู้เมื่อไรที่นางชะลอฝีเท้าแล้วหมุนตัวหันมาจับมือคุณหนูสี่ เอ่ยเสียงเบาว่า “เดิมวันนี้ก็เป็นเพราะนายหญิงเสิ่นทำไม่ถูก…ท่านอาเยี่ยนกับคุณหนูสกุลหลีเป็นอะไรกัน แล้วมันใช่เรื่องของนางรึ? หากว่าเป็นคนอื่นมาได้ยินคำพูดของนาง คงเข้าใจผิดคิดว่าท่านอาเผยเป็นคนไม่ดีแน่ นางนับว่าพูดจาสกปรกว่าร้ายผู้อื่น! หากข้าเป็นท่านย่าก็คงโมโหเหมือนกันแหละ!” พูดถึงตรงนี้ นางก็ถอนหายใจเบาๆ “แต่ว่า อารมณ์ของท่านย่าก็รุนแรงเหลือเกิน คิดจะด่าก็ด่าขึ้นมาทันที กลัวแต่ว่านายหญิงเสิ่นจะไม่ยอมจบเรื่องง่ายๆ”
ก่อนหน้านี้อวี้ถังถูกอารมณ์ของท่านแม่เฒ่าทำให้ตื่นตะลึง จึงไม่ทันได้ไตร่ตรองคำพูดของนายหญิงเสิ่นให้ดี เวลานี้เมื่อได้ยินคุณหนูสามพูด ถึงรู้สึกว่าวาจาของนายหญิงเสิ่นมีความนัย นับว่าไม่เหมาะสมอยู่จริงๆ
นางกำลังคิดว่าจะเปลี่ยนประเด็นจากเรื่องนี้ได้อย่างไร ก็ได้ยินเสียง “เหอะ” ดังมาจากคุณหนูรองซึ่งกำลังคุยกับกู้ซีว่า “…ไว้หน้านาง? แล้วใครคิดถึงหน้าตาของสกุลข้าล่ะ! พี่อาซี ข้าว่านายหญิงเสิ่นไม่ใช่คนดีอะไร ต่อไปท่านก็ควรจะอยู่ห่างจากนางไว้หน่อยน่าจะดี”
พี่อาซี! คุณหนูรองไปสนิทสนมกับกู้ซีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
อวี้ถังเงยหน้าขึ้นมอง
เห็นว่ากู้ซีกำลังยืนเผชิญหน้ากับคุณหนูรองด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความข่มกลั้น เห็นชัดว่าเมื่อครู่คงสนทนากันอยู่ ผลคือคุณหนูรองมีน้ำโหขึ้นมา ระดับเสียงจึงดังขึ้นจนทำให้ทุกคนได้ยินกันทั่ว
“พี่รองพูดถูกแล้วเจ้าค่ะ!” คุณหนูสามเดินเข้าไปเสริมทัพให้คุณหนูรองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “พี่กู้ ท่านเป็นคนดี แต่บางครั้งคนดีก็ต้องแยกแยะถูกผิดด้วย นายหญิงเสิ่น…พูดจาเรื่อยเปื่อยเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ท่านอย่าไปมาหาสู่กับนางบ่อยๆ จะดีกว่า”
กู้ซีกระอักกระอ่วนเป็นที่สุด
อวี้ถังช่วยนางแก้สถานการณ์ ยื่นมือเข้าไปจับคุณหนูสามแล้วเอ่ยว่า “สิ่งที่ผิดจริยธรรมอย่ามอง สิ่งที่ผิดจริยธรรมอย่าฟัง เรื่องของนายหญิงเสิ่น ท่านแม่เฒ่า นายหญิงรองและท่านแม่เฒ่าสกุลอี้พวกนางคงจัดการกันเอง พวกเราอย่าได้มาวิจารณ์ผู้อื่นลับหลังเช่นนี้เลย วันนี้ท่านแม่เฒ่าคงอารมณ์ไม่ดีแล้ว พวกเราก็แยกย้ายกลับไปพักเถอะ รอดูว่าอีกเดี๋ยวท่านแม่เฒ่าจะเรียกให้ไปหาหรือไม่ หากว่าไม่ คืนนี้เราก็มานั่งคิดกันว่าพรุ่งนี้จะทำอะไรเพื่อให้ท่านแม่เฒ่าอารมณ์เบิกบานขึ้นบ้าง”
“ใช่แล้ว!” คุณหนูสามรู้ตัวว่าตนเองกำลังพูดถึงนายหญิงเสิ่นลับหลัง จึงพยักหน้าเห็นด้วยอย่างอายๆ แล้วหมุนตัวเดินไปจูงมือคุณหนูสี่แทน
คุณหนูห้าวิ่งเข้ามาหา แล้วพูดกับคุณหนูสามว่า “ข้าด้วย ยังมีข้าด้วย”
คุณหนูสามจึงรีบยื่นมืออีกข้างไปจับคุณหนูห้าไว้
คุณหนูรองสบตาอวี้ถังตรงๆ ครั้งหนึ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือความเคารพว่า “พี่อวี้ พวกเรากลับกันก่อนล่ะ ท่านกับพี่กู้ก็เดินกลับระวังๆ ด้วย” จากนั้นหันไปกำชับกู้ซีว่า “หากว่าพี่กู้ไม่มีธุระอะไร จะมาเล่นกับพวกเราหรือว่าพี่อวี้ก็ได้ ข้าจำได้ว่าเรือนพี่อวี้ทางนั้นยังมีห้องด้านหลังว่างอยู่ แม้ที่ตั้งจะไม่ได้ดิบดี แต่อย่างไรก็ดีกว่าต้องอยู่ร่วมกับคนประเภทนั้น”
กู้ซีพยักหน้ารับหลายที แล้วตอบขอบคุณ
คุณหนูทั้งสี่เดินตามกันกลับที่พักของตนเองไป
กู้ซีหันมาขอบคุณอวี้ถังด้วยสีหน้าแดงๆ “ขอบใจเจ้าที่ช่วยพูดแทนข้า ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่รู้ต้องทำอย่างไรดี”
นางพูดไปหางตาก็แดงเรื่อ คล้ายว่าอับอายและยากจะทนรับได้
อวี้ถังทำเช่นนี้มิใช่เพื่อกู้ซี นางแค่ไม่อยากให้พวกคุณหนูวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้จริงๆ หากถูกลือออกไป ถ้าอธิบายได้ไม่ดี ผู้อื่นจะมองว่าสกุลเผยอวดอ้างบารมีรังแกผู้อ่อนแอกว่า หากอธิบายได้ชัดเจนกระจ่างแจ้ง ก็จะกลายเป็นเรื่องลับที่ไม่ลับของสกุลเผยอีก ไม่สู้ให้พวกนางแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จากนั้นจึงตอบไปว่า “เจ้าเองก็พลอยรับความลำบากไปด้วย อย่าเก็บมาใส่ใจเลย”
แต่กู้ซีในตอนนี้ยังอายุน้อย หาได้ฝึกปรือจนเก่งกาจเหมือนในชาติก่อน จึงเข้าใจว่าอวี้ถังกำลังเห็นใจนาง นางจึงอดคร่ำครวญกับอวี้ถังสักหลายคำไม่ได้ “เดิมคิดว่านางเป็นผู้อาวุโส ติดตามนางออกมาเป็นแขกบ้านอื่นหากผิดมารยาทไปตรงใดก็ยังมีนางคอยชี้แนะตักเตือน ใครจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ ข้าก็ไม่เข้าใจว่านางคิดอะไรอยู่ ต่อให้นายท่านสามปฏิเสธการหมั้นหมายกับคุณหนูสกุลหลีจริงๆ นางก็ไม่อาจพูดจาเช่นนี้ได้! พอนางพูดแบบนี้ออกมา แล้วคุณหนูสกุลหลีจะทำอย่างไรต่อเล่า? หากว่าพูดต่อๆ กันไป คนอื่นคงคิดว่านี่เป็นคำพูดของท่านแม่เฒ่า ไม่เท่ากับทำให้สองสกุลต้องผิดใจกันแทนหรือ?”
อวี้ถังหันไปมองกู้ซีด้วยสีหน้าประหลาด
กู้ซีงุนงง
อวี้ถังคิดถึงชาติที่แล้ว ก่อนหน้าที่กู้ซียังไม่รู้ว่าหลี่ตวนมีความคิดโสมมกับนาง ก็มักจะมาบ่นเรื่องคนสกุลหลินให้นางฟังเสมอ
นางจำได้ว่ามีครั้งหนึ่ง ยืนอยู่ใต้ระเบียงทางเดินเช่นนี้ เหล่าสาวใช้และหญิงรับใช้ต่างเดินตามห่างๆ อยู่เบื้องหลัง ด้านนอกระเบียงเป็นหิมะขาวโพลน ดอกเหมยแดงกิ่งหนึ่งทอดกิ่งเข้ามา แค่นางยื่นมือออกไปก็เด็ดลงมาได้แล้ว
อวี้ถังพลันรู้สึกสับสน
เวลาย้อนกลับมาเหมือนวันเก่า สิ่งใดคือจริง สิ่งใดคือปลอม นางพลันแยกแยะไม่ออกขึ้นมา
ในใจของกู้ซีก็รู้สึกไม่เป็นสุข
ชั่วขณะก่อนหน้านี้ อวี้ถังเพิ่งบอกกับคุณหนูสกุลเผยว่า ‘สิ่งที่ผิดจริยธรรมอย่ามอง’ พริบตาเดียวนางกลับมาพร่ำบ่นเรื่องไม่งามของนายหญิงเสิ่นเสียแล้ว หากว่าอวี้ถังเอ่ยต่อความก็แล้วไปเถอะ ทว่าอวี้ถังกลับทำทีเหมือนไม่อยากพูดถึง เมื่อเทียบกันแล้ว ยิ่งเห็นชัดว่านางเหมือนคนไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน
นางรีบบอกลาอวี้ถังอย่างว่องไว แล้วกลับเรือนไปด้วยดวงหน้าที่ร้อนฉ่า
เหอเซียงทางหนึ่งช่วยนางเปลี่ยนเสื้อผ้า ทางหนึ่งก็ปรึกษานางเสียงเบาว่า “พวกเราจะทำเช่นไรเจ้าคะ? อย่างไรก็อาศัยในเรือนเดียวกัน หรือว่าต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเอาไว้? นายหญิงเสิ่นก็เหลือเกินจริงๆ ทำอะไรไม่เคยสำเร็จ มีแต่ก่อเรื่องอยู่ร่ำไป หากว่าคุณชายใหญ่รู้ว่านางทำอะไรลงไปบ้าง คงต้องเสียใจน่าดูเลยเจ้าค่ะ!”
ในสมองของกู้ซีกลับมีแต่ดวงหน้าที่ออกจะเฉยเมยของอวี้ถังลอยอยู่เต็มไปหมด
ทั้งนางยังนึกถึงท่าทีของคุณหนูสกุลเผยที่มีต่ออวี้ถัง โดยเฉพาะคุณหนูรอง นางทุ่มเทความคิดมากมายกว่าจะเริ่มตีสนิทคุณหนูรองได้ คุณหนูรองก็เพิ่งจะยินดีเล่าเรื่องของสกุลเผยให้นางฟังบ้างแล้ว ทว่าอวี้ถังกลับใช้วาจาเพียงประโยคเดียว ทำให้คุณหนูรองที่เคยดูแคลนนางหนักหนาหันมามองด้วยสายตาที่ต่างออกไป
หรือว่า นี่เป็นลิขิตของสวรรค์!
ไม่ว่านางจะทำอย่างไร อวี้ถังก็มักจะเข้าตาคนสกุลเผยมากกว่านางอยู่เสมอๆ?
กู้ซีรู้สึกไม่ยินยอม ในใจตีกันวุ่นวายไปหมด แล้วหันไปตอบเหอเซียงด้วยคำถามว่า “คุณหนูอวี้ผู้นั้น ช่างเล่นละครเก่งเหลือเกิน ข้าพูดความในใจกับนาง นางยังวางท่าสูงส่งใส่ ข้าเคยเจอคนเสแสร้งมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นใครที่เสแสร้งได้เท่านาง ข้าว่าต่อไปพวกเราควรจะอยู่ให้ห่างนางไว้จะดีกว่า”
ดวงหน้าของเหอเซียงมีแต่ความฉงน ไม่รู้ว่าจะต่อความอย่างไร
กู้ซีเพิ่งรู้ตัวและตกใจในสิ่งที่ตนหลุดปากพูด
อวี้ถัง เข้ามามีอิทธิพลต่อนางมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
ในใจนางยิ่งว้าวุ่นกว่าเก่า
จากนั้นนางก็นึกไปถึงนายหญิงเสิ่น รอยยิ้มบนหน้าจึงรักษาไว้ไม่ได้อีก นางทำหน้าเครียดแล้วสั่งเหอเซียงว่า “ข้าจะเขียนจดหมายถึงคุณชายใหญ่ เจ้าหาทางส่งมันไปที่เมืองหลวง อย่าทำให้คนสกุลเผยรู้ตัวล่ะ ส่วนข้า…ก็บอกไปว่าพอกลับมาถึงก็ปวดใจจนกินข้าวไม่ลง ล้มป่วยไปแล้ว!”
“หา?” เหอเซียงแตกตื่น
กู้ซีเอ่ยเสียงเข้มว่า “เบาหน่อย! เจ้ากลัวว่าคนสกุลเผยยังสนใจเราไม่มากพอหรืออย่างไร? เกิดเรื่องเช่นนี้กับนายหญิงเสิ่น ถ้าข้าไม่ล้มป่วยแล้วจะทำเช่นไร? จะให้ข้าไปเฝ้าไข้ดูแลนางถึงหน้าเตียงรึ?”
เหอเซียงไม่กล้าพูดอะไรอีก
กู้ซีถามว่า “นายหญิงเสิ่นทางนั้นเป็นเช่นไรบ้างแล้ว?”
เหอเซียงรีบตอบว่า “เฉินต้าเหนียงมาส่งกลับเรือนด้วยตนเองเจ้าค่ะ แล้วก็อยู่เฝ้าที่เรือนตลอดไม่ได้กลับไป ข้าเกรงว่าพวกเราจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวด้วย จึงไม่กล้าไปสืบถามอย่างละเอียด แต่ไม่ได้ยินว่ามีความเคลื่อนไหวใดๆ นะเจ้าคะ”
คำของท่านแม่เฒ่าเป็นเพียงการบันดาลโทสะ? หรือต้องการให้เสิ่นซ่านเหยียนมาพานางกลับไปจริงๆ?
กลัวแต่ว่าครานี้นายหญิงเสิ่นอาจคิดไม่ตกด้วยต้องอับอายครั้งใหญ่ จนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว!
กู้ซีเขียนจดหมายถึงกู้ฉ่างด้วยจิตใจที่ปั่นป่วน ทั้งให้เหอเซียงแอบสาวใช้สกุลเผยที่รับใช้อยู่ในเรือนเผาเตาอุ่นมือให้นาง จากนั้นค่อยไปแจ้งต่อนายหญิงรองว่านางล้มป่วย
นายหญิงรองตามมาด้วยความรีบร้อน ถามอาการป่วยของนางอยู่หลายคำ พอท่านหมอมาถึง นายหญิงรองก็ถอยหลบให้ ท่านหมออายุประมาณหกสิบปีได้แล้ว เขาจับชีพจรดูแล้วสั่งยาปรับสมดุลทั่วไปให้ รอกระทั่งสกุลเผยสั่งคนไปหาตัวยามา กู้ซีดื่มยาลงไปเรียบร้อย นายหญิงรองถึงได้กลับไปที่เรือนของท่านแม่เฒ่า
ท่านแม่เฒ่าหายโมโหแล้ว สีหน้ากลับมาใจดีมีเมตตากดังเก่า “คุณหนูกู้ทางนั้นดูแลเรียบร้อยหรือยัง?”
“เจ้าค่ะ!” นายหญิงรองถอนหายใจยาวเหยียด “โชคดีที่เป็นอาการตัวร้อนทั่วไป ท่านหมอบอกแล้วว่า วิตกกลัดกลุ้มเกินขนาด ข้าคิดว่า คงเป็นเพราะเรื่องนายหญิงเสิ่นเจ้าค่ะ”
ท่านแม่เฒ่าร้องเหอะทีหนึ่ง ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ นางถามถึงอวี้ถังว่า “คุณหนูอวี้ล่ะ?”
“ดีอยู่เจ้าค่ะ!” นายหญิงรองตอบ “เห็นว่าคัดอักษรครู่หนึ่งก็เข้าพักผ่อนแล้ว”
สีหน้าของท่านแม่เฒ่าค่อยปลอดโปร่งขึ้น
อวี้ถังที่เข้าไปพักผ่อนนั้น แม้ดวงตาจะปิดอยู่ แต่ในหัวกลับหมุนแล่นใช้ความคิด
คำพูดของกู้ซีเตือนสตินาง
สาเหตุที่ท่านแม่เฒ่าเดือดดาล ไม่ใช่เพราะนายหญิงเสิ่นแค่พูดอะไรผิดไปเพียงอย่างเดียวแน่
หากลองวิเคราะห์คำของนายหญิงเสิ่นดู การเกี่ยวดองระหว่างสกุลหลีกับสกุลเผยล้มเหลว น่าจะเพราะสกุลหลีกลับคำ ไม่เช่นนั้นสกุลหลีคงไม่มาช่วยจัดการงานศพของนายท่านใหญ่ แล้วยังจะช่วยรักษาบรรดาศักดิ์ที่ตกทอดไว้ให้หรือ ต้องรู้ด้วยว่าคนจากไปชาก็ชืด[1] เรื่องบรรดาศักดิ์ตกทอดพวกนี้ หากว่าฮ่องเต้จดจำเจ้าได้ เจ้าถึงจะรักษาบรรดาศักดิ์อยู่ หากว่าฮ่องเต้ลืมเลือนเจ้า ต่อให้เป็นบุตรชายของขุนนางขั้นสาม ก็ต้องแสดงผลงานให้ดีถึงจะได้รับบรรดาศักดิ์สืบต่อไป
สำหรับสกุลเผยแล้ว เรื่องนี้ถือเป็นเกียรติยศของสกุลเลยทีเดียว
แต่คาดเดาจากคำของท่านแม่เฒ่าแล้ว เรื่องราวคงไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น
เกิดเป็นบุรุษสมควรมีปณิธานยิ่งใหญ่ ต่อให้เรื่องนี้สกุลหลีเป็นคนผิดสัญญา แต่สกุลเผยก็ได้รับการชดเชยไปแล้ว เหตุใดท่านแม่เฒ่าถึงได้มีปฏิกิริยาต่อคำของนายหญิงเสิ่นรุนแรงเพียงนั้น?
นี่มิใช่เพียงกลัวว่าจะเสื่อมเสียชื่อเสียงของสองสกุลกระมัง!
อวี้ถังยิ่งคิดก็ยิ่งมึนตึบ ยิ่งคิดก็ยิ่งนอนไม่หลับ นางเลิกผ้าห่มแล้วลุกจากเตียง ผลักหน้าต่างให้เปิดออก แล้วสูดลมหายใจเข้าเต็มที่