หิมะที่ก่อนหน้านี้หยุดตกไปแล้วไม่รู้ว่าเริ่มโปรยปรายลงมาตั้งแต่เมื่อไร มันทับกันเป็นชั้นบางๆ บนพื้นทางเดิน ภายใต้แสงไฟเกิดเป็นแสงระยิบระยับ ลมหนาวเสียดกระดูกพัดผ่านมา ทำให้คนรู้สึกเย็นยะเยือกแต่ก็สดชื่นปลอดโปร่งเป็นที่สุด
ลองคำนวณดูก็พบว่านางมาอยู่ที่คฤหาสน์นอกเมืองสกุลเผยได้เกือบครึ่งเดือนแล้ว อีกไม่กี่วันก็ต้องเดินทางกลับ ไม่รู้ว่าบิดามารดาญาติผู้พี่และพี่สะใภ้เป็นอย่างไรกันบ้าง? ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้อารมณ์เดือดดาลของท่านแม่เฒ่าจะสงบลงแล้วหรือไม่? หลายวันนี้นางกับคุณหนูห้าช่วยกันทำดอกไม้ผ้า จำนวนที่ทำออกมาไม่ใช่แค่เพียงพอให้คุณหนูห้ามอบเป็นของขวัญ แต่ยังสามารถมอบส่วนหนึ่งให้กับสาวใช้สกุลเผยได้อีกด้วย นับตั้งแต่พรุ่งนี้ นางควรจะเริ่มทำเสื้อผ้าสักหลายชุดให้เจ้าตัวน้อยของญาติผู้พี่และพี่สะใภ้ที่จะคลอดตอนฤดูใบไม้ผลิปีหน้าได้แล้ว
อวี้ถังนึกอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่ความคิดก็อดจะลอยไปถึงเรื่องของเผยเยี่ยนไม่ได้อยู่ดี
เผยเยี่ยนเป็นคนเย่อหยิ่งปานนั้น หากว่าสกุลหลีถอนหมั้นเขาจริงๆ เขาจะต้องรู้สึกแย่มากแน่ ไม่รู้ว่าเขาผ่านช่วงเวลาตอนนั้นมาได้อย่างไร? ยังมีสกุลหลีอีก เผยเยี่ยนผู้นี้ ว่าด้วยรูปโฉมก็เป็นเลิศ ว่าด้วยการศึกษาก็ครบพร้อม นอกจากนิสัยที่ใจร้อนคบยากอยู่สักหน่อย และที่ว่า ‘คบยาก’ นั้น มิใช่ว่าเขาชอบโมโหร้ายหรือโหดเหี้ยม แต่เพราะฉลาดเกินไปจนมักแสดงออกถึงความใจร้อนออกมา แล้วสกุลหลีกล้าตัดใจปล่อยเขยชายหล่อทองเช่นนี้ไปได้หรือ?
อวี้ถังคิดอย่างไรก็ไม่กระจ่างเสียที
หรือว่าเป็นจริงอย่างที่นายหญิงเสิ่นพูดไว้ บอกว่าเผยเยี่ยนไม่ถูกใจคุณหนูสกุลหลี ถึงได้จงใจยื้อเวลาไม่ยอมไปสู่ขอ สกุลหลีไม่มีทางอื่น คงไม่อาจก้มศีรษะไปขอร้องให้เผยเยี่ยนมาสู่ขอบุตรสาวตนกระมัง ถึงได้หาบุตรเขยคนใหม่ให้บุตรสาวของตนแทน?
หรือบางที คุณหนูสกุลหลีมีจุดใดที่ทำให้เผยเยี่ยนไม่พอใจอย่างนั้นรึ?
ไม่เช่นนั้นเหตุใดท่านแม่เฒ่าถึงบอกว่างานแต่งของเผยเยี่ยนให้เขาเป็นคนพยักหน้าตัดสินใจถึงจะถูก!
อวี้ถังรู้สึกเหมือนตนเองค้นพบเรื่องยิ่งใหญ่บางอย่าง
จะต้องเป็นเหตุผลนี้แน่
เพราะเผยเยี่ยนไม่ตกลงหมั้นหมายกับสกุลหลี แม้สกุลหลีจะอยากได้เผยเยี่ยนเป็นเขยขวัญแทบขาดใจ แต่หากเขาไม่เล่นด้วย เรื่องนี้จึงมีแต่รอเก้อเท่านั้น
เมื่อคิดเช่นนี้ ก็จะสามารถเข้าใจคำที่นายหญิงเสิ่นพูด และเข้าใจความโกรธเคืองของท่านแม่เฒ่าได้เช่นกัน
อวี้ถังพึงพอใจมาก นางงับหน้าต่างปิด แล้วสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มอีกครั้ง คิดว่าพรุ่งนี้จะหาโอกาสไปถามเผยเยี่ยนดีหรือไม่ เกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นขนาดนี้ เผยเยี่ยนย่อมรู้เรื่องแล้วเป็นแน่ นายหญิงเสิ่นแม้จะพูดจาล่วงเกิน แต่อารมณ์เดือดดาลของท่านแม่เฒ่าสำคัญกว่า หากนางรู้ได้ว่าเหตุใดการเกี่ยวดองของสกุลหลีกับสกุลเผยจึงล้มเหลว เช่นนั้นก็คงจะดี!
นางปิดตานอนด้วยรอยยิ้ม
ขนาดหลับไปแล้วก็ยังหัวเราะได้
ภายในห้องของกู้ซีซึ่งไม่ไกลไปจากอวี้ถังนัก จู่ๆ กู้ซีก็กระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง
เหอเซียงตกอกตกใจ รีบย้ายตะเกียงเข้าไปให้ แล้วหยิบเสื้อนวมสองชั้นคลุมไหล่ให้นาง เอ่ยเสียงเบาว่า “คุณหนูเป็นอะไรไป? ฝันร้ายหรือเจ้าคะ”
ยาต้มที่ท่านหมอเขียนสั่งให้แน่นอนว่าพวกนางแอบเอาไปเททิ้งที่สวนดอกไม้ด้านหลังแล้ว เพียงแต่การสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะฝันร้าย กู้ซีเคยเป็นเมื่อครั้งยังเด็กเท่านั้น ภายหลังพอคุณชายใหญ่สอบเป็นจวี่เหรินได้ กู้ซีก็ไม่นอนฝันร้ายอีก
กู้ซีส่ายหน้า เอ่ยสั่งกับเหอเซียงด้วยน้ำเสียงแหบเบาว่า “ข้าหิวน้ำ”
เหอเซียงรีบไปรินน้ำชามาให้ถ้วยหนึ่ง
กู้ซีค่อยๆ จิบดื่ม แล้วเอ่ยว่า “งานแต่งระหว่างสกุลหลีกับสกุลเผย ต้องเป็นเพราะสยากวงไม่เห็นด้วยแน่ อีกอย่าง เรื่องนี้ต้องมีลับลมคมในอย่างอื่นที่เราไม่รู้อีก เพราะแบบนี้ คนสกุลเผยถึงได้ยกเรื่องแต่งงานให้เป็นการตัดสินใจของเขาคนเดียว”
ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้เองหรือ
เหอเซียงไม่ได้คิดซับซ้อนเพียงนั้น นางเอ่ยเสียงเบาว่า “นี่ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรอีก? ท่านรีบพักเถอะเจ้าค่ะ จะได้มีแรงไปรับมือกับคนและปัญหาในวันพรุ่งนี้ต่อ”
กู้ซียื่นถ้วยชาคืนให้เหอเซียง นางเอนพิงหมอนอิง ไม่คล้ายว่าต้องการนอนหลับ “เรื่องพรุ่งนี้ไม่เป็นปัญหาหรอก ข้าแค่แกล้งป่วยตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีทางก้าวขาออกนอกประตูแน่ ไม่ว่านายหญิงเสิ่นทางนั้นจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราไม่ต้องสอดมือเข้าไปยุ่งก็พอ ตอนนี้ข้ากำลังคิดเรื่องของนายท่านสาม…ในเมื่อเขาตัดสินใจเรื่องงานแต่งด้วยตนเองได้ นายหญิงเสิ่นก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา ทำเอาข้ารู้สึกอับอายไปด้วย เราสามารถไปพูดกับนายท่านสามได้หรือไม่ ให้เขาเขียนจดหมายถึงพี่ชายข้าที จากนั้นก็ให้คนไปส่งข้าที่เมืองหังโจว?”
เหอเซียงเข้าใจความหมายของกู้ซีในทันใด
ดวงตานางสว่างวาบ กระซิบบอกว่า “ท่านแม่เฒ่าเดือดดาลเพียงนี้ ท่านจะหวาดกลัวนางก็เป็นเรื่องปกติ จึงขอร้องให้นายท่านสามช่วยท่านเขียนจดหมายส่งถึงคุณชายใหญ่ และขอให้เขาสั่งคนไปส่งท่านกลับบ้าน ใครหน้าไหนจะกล้าว่าอะไรได้”
กู้ซีเม้มปากยิ้ม “เช่นนั้นก็ทำตามนี้ พวกเรารอให้นายหญิงเสิ่นจากไปก่อน แล้วรีบไปขอร้องนายท่ามสามให้ช่วยออกหน้าแทนข้าก็เป็นใช้ได้แล้ว”
เหอเซียงพยักหน้าหงึกหงัก
นางเชื่อว่าอาศัยรูปโฉมและพรสวรรค์ของคุณหนูตน หากว่าเสนอไมตรีให้เพียงเล็กน้อย ชายหน้าไหนก็หนีไม่พ้นทั้งนั้น!
กู้ซีจึงนอนหลับไปด้วยความอิ่มอกอิ่มใจยิ่ง
เช้าวันต่อมานางกลับถูกเสียงเอะอะโวยวายในลานปลุกให้ตื่น
นางลืมตาขึ้น ในห้องเงียบสงัดไร้เงาคน เสียงอึกทึกจากฝั่งนายหญิงเสิ่นทางนั้นจึงคล้ายจะดังขึ้นไปอีก
กู้ซีครุ่นคิด ใช้เท้าเกี่ยวรองเท้าใส่อย่างลวกๆ แล้วผลักหน้าต่างออกไปมอง
นางเห็นเพียงเสิ่นซ่านเหยียนอยู่ในชุดคลุมขนเพียงพอนสีเขียวขี้ม้า เขายืนอยู่ข้างๆ ห้องของนายหญิงเสิ่นด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ หญิงรับใช้ร่างใหญ่สี่ห้าคนกำลังแบกย้ายสัมภาระกันอยู่
เสียงร้องไห้ของนายหญิงเสิ่นดังลอดออกมาจากด้านในห้องนั่นเอง
เสิ่นซ่านเหยียนแสยะยิ้มเย็น “เจ้ายังมีหน้ามาร้องไห้อีกรึ? หากข้าเป็นเจ้า คงจะปิดหน้าปิดตาแอบลงเขาจากทางประตูหลังเดินทางทั้งวันทั้งคืนกลับหังโจวไปแล้ว ต่อไปจะไม่มีวันมาเหยียบเมืองหลินอันแม้อีกสักครึ่งก้าว”
กู้ซีตะลึงงัน
นางไม่คิดว่าท่านแม่เฒ่าไล่ตะเพิดคนก็คือไล่คนออกไปจริงๆ ทั้งยังแจ้งต่อเสิ่นซ่านเหยียนอย่างรวดเร็วเพียงนี้
นางคิดว่าเรื่องนี้คงรอไปอีกสักหลายวัน พออารมณ์ของทุกคนสงบลงสักหน่อย นายหญิงเสิ่นค่อยเสนอตัวบอกลา พยายามรักษาหน้าตาไว้สักนิด
ดูท่าแล้ว ท่านแม่เฒ่าจะอารมณ์ร้อนมากกว่าที่นางคาดเอาไว้มาก คงถึงขั้นดวงตาไม่อาจซ่อนเม็ดทรายได้แล้ว
คราวนี้จบกัน ศักดิ์ศรีของนายหญิงเสิ่นคงย่อยยับไม่มีเหลือ
ไม่รู้ว่าหลังจากที่กลับไปแล้ว เสิ่นซ่านเหยียนจะลงโทษนายหญิงเสิ่นอย่างไรอีก
แต่ก่อนนางเคยได้ยินมารดาเลี้ยงพูด บอกว่าสกุลเสิ่นเคยทิ้งพวกนายหญิงหรือท่านแม่เฒ่าที่กระทำความผิดไว้ที่วัด ทิ้งไว้คราหนึ่งก็นานถึงสองสามปี
ไม่รู้ว่าเสิ่นซ่านเหยียนจะทำเช่นนั้นหรือไม่?
กู้ซีถอนหายใจ
ในอกรู้สึกเย็นเยียบ
นางไม่อาจทนมองต่อได้อีก
นางหมุนตัวกลับไปนอนบนเตียง กระทั่งเหอเซียงยกน้ำอุ่นเข้ามาล้างหน้าหวีผมให้ นางก็ยังสะลืมสะลืออยู่ คนที่ไม่รู้คงเข้าใจว่านางล้มป่วยจริงๆ
อวี้ถังได้ข่าวว่านายหญิงเสิ่นออกจากคฤหาสน์นอกเมืองไปแล้ว ซวงเถายังกระซิบบอกนางว่า “ได้ยินว่าท่านกู้ยังแวะไปขอโทษคุณหนูกู้เป็นพิเศษ บอกว่าให้คุณหนูกู้อยู่รักษาตัวอย่างสงบใจ ผ่านไปสักหลายวันเขาจะให้คนพาคุณหนูกู้ไปส่งที่เมืองหังโจวเอง”
อวี้ถังฟังแล้วรู้สึกเบิกบานใจยิ่งอย่างไม่รู้สาเหตุ
นางถามซวงเถาว่า “ท่านแม่เฒ่าทางนั้นยังดีอยู่หรือไม่?”
“น่าจะดีอยู่เจ้าค่ะ!” ซวงเถาตอบยิ้มๆ อย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร “ทางนั้นจัดอาหารเช้าขึ้นโต๊ะตามเวลาเดิม ท่านแม่เฒ่ากินหมั่นโถวดอกไม้ไปครึ่งลูก แกงต้มเห็ดครึ่งถ้วย แล้วก็ซาลาเปาถั่วแดงอีกหนึ่งลูก จี้ต้าเหนียงบอกว่า นี่เป็นปริมาณปกติยามที่ท่านแม่เฒ่าเจริญอาหารเจ้าค่ะ”
อวี้ถังรู้ว่าซวงเถาไปถามความกับจี้ต้าเหนียงตั้งแต่เช้า ซวงเถาเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือนางได้เร็วปานนี้ ทำให้นางพอใจอย่างมาก “จี้ต้าเหนียงได้บอกหรือไม่ว่าวันนี้ท่านแม่เฒ่ามีแผนจะทำอะไร?”
“เปล่าเจ้าค่ะ” ซวงเถาตอบ “แต่ตอนที่ท่านเสิ่นมาบอกลาท่านแม่เฒ่า ท่านแม่เฒ่าก็เอ่ยอย่างทอดถอนใจใส่เขาไปคำหนึ่งว่า ‘ชีวิตนี้ของเจ้า นับว่าถูกนางถ่วงรั้งไว้แล้ว’”
อวี้ถังไม่สนใจเรื่องพวกนี้ “แล้วนายท่านสามวันนี้ได้ไปคารวะท่านแม่เฒ่าหรือไม่? พวกเขาได้พูดเรื่องนี้กันบ้างหรือเปล่า?”
“เรื่องนี้ข้าไม่กล้าถามเจ้าค่ะ” ซวงเถากำลังจะตอบความ ด้านนอกพลันได้ยินเสียงของหลิ่วซวี่ดังเข้ามา “คุณหนูอวี้ คุณหนูห้ากับคุณหนูสี่มาพบท่านเจ้าค่ะ”
คุณหนูสองคนนี้มากันแต่เช้าเหลือเกิน!
อวี้ถังรีบหยุดบทสนทนาไว้เท่านั้น นางเดินออกไปด้วยรอยยิ้ม ถามคุณหนูสกุลเผยทั้งสองที่เดินจูงมือกันเข้ามาว่า “เหตุใดจึงมาเช้าเพียงนี้? กินข้าวเช้ากันมาแล้วหรือยัง?”
ผ่านไปหนึ่งคืน อารมณ์ของแม่นางน้อยทั้งสองก็กลับคืนสู่สภาวะปกติแล้ว ได้ยินดังนั้นก็ประสานเสียงเรียก “พี่อวี้” พร้อมกัน แล้วบอกว่า “พวกเรากินข้าวเช้ามาแล้ว คิดว่าจะไปคารวะท่านแม่เฒ่าพร้อมกับพี่อวี้เจ้าค่ะ”
จากเรือนของพวกนางมาถึงที่พักของอวี้ถังยังต้องเดินอ้อมอีกตั้งครึ่งจวนกระมัง
อวี้ถังหัวเราะแล้วบอกว่า “พวกเจ้าทำไมต้องวิ่งมากันด้วยล่ะ? แล้วคุณหนูรองกับคุณหนูสามเล่า?”
คุณหนูห้าตอบว่า “พวกนางพอตื่นนอนก็ไปหาท่านแม่เฒ่าแล้ว ท่านแม่ข้าก็ไปที่โถงบุปผาเพื่อฟังรายงานจากพวกหญิงรับใช้ พวกเราสองคนเลยมาหาพี่อวี้อย่างไรเล่า”
ตอนที่นางจำนรรจาเช่นนี้ ดวงตากลมดำขลับก็จับจ้องมาที่อวี้ถังอย่างไม่กะพริบ เหมือนกับลูกแมวที่กลัวจะถูกทิ้งไม่มีผิด น่ารักน่าชังจนทำให้คนปวดใจ
อวี้ถังรีบยื่นมือออกไปวางบนไหล่ของคุณหนูห้า “พวกเจ้ากลัวท่านแม่เฒ่าจะยังไม่คลายโทสะหรือ? ข้าเองก็กลัวอยู่เหมือนกัน แต่ว่าคนเขลาสามคนยังเทียบเท่าหนึ่งจูกัดเหลียงเลย พวกเราก็ไปกันทั้งหมดนี่แหละ สามารถเสริมพลังให้กันและกันได้”
คุณหนูทั้งสองดีใจขึ้นมาทันที ส่งเสียงจอแจเร่งให้อวี้ถังรีบกินข้าวเช้าให้เสร็จ ทุกคนจะได้ไปคารวะท่านแม่เฒ่าพร้อมกัน
คุณหนูสี่ยังถามขึ้นมาว่าต้องชวนกู้ซีไปด้วยกันหรือไม่
อวี้ถังเพิ่งนึกออกว่าคุณหนูสกุลเผยนั้นอาศัยอยู่เรือนเดียวกันกับท่านแม่เฒ่า กู้ซีทางนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างพวกนางน่าจะยังไม่รู้ นางจึงเล่าเรื่องที่กู้ซีล้มป่วย และนายหญิงเสิ่นถูกรับตัวกลับไปแล้วให้คุณหนูทั้งสองฟัง
คุณหนูทั้งสองฟังแล้วก็อ้าปากค้างเบิกตาโต คุณหนูห้าเอ่ยขึ้นมาอย่างกังวลและเห็นใจว่า “น่าสงสารพี่กู้ ต้องมาพลอยรับกรรมไปด้วยเช่นนี้ พวกเราควรจะไปเยี่ยมนางถึงจะถูก”
อวี้ถังสงสัยว่ากู้ซีแกล้งป่วยเสียมากกว่า
ชาติก่อนนางก็เป็นแบบนี้ ตอนที่เกิดเรื่องก็มักจะแกล้งป่วยเพื่อเลี่ยงปัญหา
แต่นี่ก็เป็นอุบายส่วนใหญ่ที่ฮูหยินเรือนในชอบใช้กัน บอกไม่ได้ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่
นางเอ่ยว่า “ก็ได้ พวกเราไปเยี่ยมนางก่อน แล้วค่อยไปคารวะท่านแม่เฒ่า”
คุณหนูทั้งสองประสานเสียงพร้อมกันว่า “เจ้าค่ะ” แล้วเร่งนางให้กินข้าวเช้าเร็วๆ ทั้งเอ่ยว่า “ท่านย่าทุกวันก็ตื่นเช้ามาก พวกเรากลัวว่าถ้าไม่รีบจะไปถึงช้ากว่าพวกนาง”
อวี้ถังจบมื้อเช้าอย่างรวดเร็ว แล้วแวะไปเยี่ยมดูป่วยของกู้ซีพร้อมกับคุณหนูทั้งสอง จากนั้นก็ไปที่เรือนของท่านแม่เฒ่า
พวกนางมาถึงช้ากว่าจริงๆ ด้วย
ท่านแม่เฒ่าสกุลอี้ คุณหนูรองและคุณหนูสามต่างก็มาถึงกันครบแล้ว นายหญิงรองอยู่ข้างๆ คอยปรนนิบัติท่านแม่เฒ่าทั้งสองให้ดื่มชา พอเห็นพวกนาง ก็ถลึงตาใส่คุณหนูห้าทีหนึ่ง แต่ยังใช้น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยกับนางว่า “พวกเจ้าทำไมมาช้าเช่นนี้? ข้ากำลังจะให้คนไปเรียกอยู่พอดี!”
คุณหนูห้าตอบไปทันทีว่า “พวกเราไปเยี่ยมคุณหนูกู้มาเจ้าค่ะ นางล้มป่วย”
นายหญิงรองไม่ได้พูดอะไร
คุณหนูห้ารีบลากคุณหนูสี่เดินเข้าไปคารวะท่านแม่เฒ่าสกุลอี้ จากนั้นอวี้ถังก็ค่อยตามเข้าไปคารวะนางเช่นกัน