เวลานี้ในห้องนายใหญ่โจว สาวใช้สองคนนั่งคุกเข่ายุ่งง่วนอยู่ คนหนึ่งหยิบแผ่นใบชามาปิ้งบนถ่านไฟ สาวใช้อีกคนกำลังบดแผ่นใบชาที่ปิ้งเสร็จให้ละเอียด

บนโต๊ะเตี้ย มีอุปกรณ์ชงชาหลากหลายสีจัดวางอยู่ ในห้องนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นชาหอมหวนฟุ้งกระจายไปทั่ว

นายใหญ่โจวเติมเกลือช้อนหนึ่งในชา ไม่รอให้ตำจนแหลกละเอียดก็ยกขึ้นดื่มไปครึ่งแก้ว รสชาติเผ็ดร้อนและกลิ่นใบไม้ใบหญ้าสลายความเหนื่อยล้าไปได้ทันที

“หญิงชั้นต่ำคนนี้” เขากล่าว พลางวางถ้วยชาลงอย่างแรง “บอกว่าอะไรนะ รักษาได้ไม่รักษา รักษาไม่ได้กลับรักษา หลอกผีน่ะสิ!”

เหล่าสาวใช้ก้มหน้าไม่กล้าส่งเสียง

“นางทำเช่นนี้กำลังแก้แค้นอยู่” นายใหญ่โจวพูดกับตัวเองต่อ กล่าวอย่างเกลียดชัง “นางก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา สุดท้ายคนที่เสียหน้าไม่ใช่นาง แต่เป็นพวกเรา! เป็นบ้านตระกูลโจว!”

เขาพูดถึงตรงนี้ ก็ตบโต๊ะเตี้ยอย่างแรง ทำเอาสาวใช้ในห้องกลัวจนเนื้อตัวสั่นเทา

“นางนึกว่าตัวเองคลายความโมโหได้ ช่างโง่เสียจริง วิสัยทัศน์แคบถึงเพียงนี้ ดูถูกญาติในสายเลือดที่พึ่งพิงของตนเอง นางนึกว่าสะใจนักหรือ อีกอย่าง นางมีอะไรให้ชังกัน ใครใช้ให้นางเกิดมาเป็นคนบ้าเล่า คนที่ควรชังคือบ้านตระกูลโจว บ้านตระกูลโจวนี่! บ้านตระกูลโจวจะต้องขายหน้าถูกหัวเราะเยาะมากมายเพียงใดเพียงเพราะนางเป็นคนสติไม่สมประกอบ!” เขายื่นมือชี้ออกไปนอกประตูตะคอกด่า “บ้านตระกูลโจวตั้งแต่นางเกิดออกมา พบเจอใครก็ต่ำต้อยกว่าเขาไปหนึ่งขั้น! คนบ้าน่ะ! คนเขาต่างก็พูดกันว่าบ้านตระกูลโจวมีเลือดของคนบ้าอยู่! ลูกชายจะสู่ขอภรรยาก็ยาก ลูกสาวจะออกเรือนก็ยาก จะต้องโทษใคร โทษนาง!”

เขากล่าวพลางเกยโต๊ะเตี้ยจะลุกขึ้น

“ตัวหายนะ ตอนนั้นน่าจะจับกดน้ำเสีย เด็กแบบนี้ในตระกูลใดไม่จมน้ำตายบ้าง แต่แม่แสนดีกลับตามใจ ทิ้งนางไว้บนโลกนี้!” เขากล่าว ตัวโซเซเล็กน้อย

เหล่าสาวใช้รีบลุกขึ้นมาพยุงไว้

“นายท่าน ท่านเมาแล้วนะเจ้าคะ” พวกนางกล่าวอย่างกระวนกระวาย

“ข้าเมาหรือ” นายใหญ่โจวกล่าวด้วยอาการมึนๆ “ช่างเป็นชาดีเสียจริง! เจ็ดแก้วก็เมาได้ทันที! เหล้าชั้นดีก็ยังเทียบไม่ได้!”

ผลักสาวใช้ออก “เอากระบี่มาให้ข้า”

แล้วเดินออกไปข้างนอกไป

“ข้าจะฟันนางทิ้งเดี๋ยวนี้ อย่างไรเสียในบ้านมีคนตายหนึ่งคนก็โชคร้ายอยู่แล้ว ตายสองคนก็โชคร้ายเช่นกัน” เขาตะโกน “ฟันนางเสีย เป็นการขอโทษต่อบ้านตระกูลถง แล้วข้าจะไปเจียงโจว ทำลายบ้านตระกูลเฉิงเสีย!”

เหล่าสาวใช้ตกใจจนรีบเข้ามาพยุงห้ามไว้

กำลังวุ่นวายกันอยู่ ก็เห็นว่าด้านนอกเสียงโหวกเหวกโวยวายกัน

นายใหญ่โจวหยุดเดินในทันที

“ดูสิ ดูสิ ตายแล้วสิ คนตายแล้วสินะ” เขาชี้ไปนอกประตูแล้วตะโกนขึ้นมา

พูดไม่ทันขาดคำ ท่ามกลางสายลมนั้นก็มีเสียงร่ำไห้อยู่เบาๆ

ด้านนอกก็มีคนกระโจนเข้ามา เสียงฝีเท้าดังไปทั่ว

“นายท่าน นายท่าน คืนชีพแล้ว คืนชีพแล้วขอรับ!” เหล่าบ่าวรับใช้ต่างตะโกนกล่าว

นายใหญ่โจวกระพริบตา

“อะไรนะ” เขาผลักสาวใช้ออก แล้วเดินไปหน้าประตูเกยประตูไว้แล้วมองดูคนในเรือน

“นายท่าน นายท่าน นายหญิงรักษาบัณฑิตหายแล้วขอรับ!”

นายใหญ่โจวจ้องตาโตมองดูพวกเขา แล้วก็ตบหน้าตักในทันใด

“เจียวเอ๋อร์ของข้า!” เขาตะโกนแล้วยกเท้าวิ่งออกไปด้านนอก แต่กลับลืมว่ามีธรณีประตูอยู่ สะดุดล้มพุ่งออกไป

คนทั้งในห้องนอกห้องต่างก็ตกใจจนร้องตะโกนออกมา ทางนี้ก็เริ่มวุ่นวายขึ้นมาเช่นกัน

เฉินเซ่ายกน้ำชาให้ท่านพ่อ

“หมายถึงตอนนั้นมีนักพรตพเนจรมาพำนักอยู่ใกล้ๆ วัดหนี่ว์ซิวหรือ” นายใหญ่เฉินหมุนถ้วยชาพลางเอ่ยถามขึ้น

“ไม่ใช่นักพรตพเนจร แต่ก็บอกไม่ได้ว่าเป็นใคร” เฉินเซ่ากล่าว “คนนั้นยังไม่กลับมา เพียงแต่ส่งข่าวมาคร่าวๆ บอกว่ารักษาโรคให้คนพื้นที่นั้น เห็นว่ายังสอนเด็กยากจนแถวนั้นให้รู้หนังสืออีกด้วย”

“อายุเท่าไร” นายใหญ่เฉินเอ่ยถาม

“ในจดหมายบอกว่า ประมาณห้าสิบกว่าขอรับ” เฉินเซ่ากล่าว

นายใหญ่เฉินพยักหน้า

“รอให้เขากลับมาแล้วค่อยถามให้รู้เรื่องแล้วกัน” เขากล่าว

ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าลอยมา

“นายท่าน นายท่านขอรับ” บ่าวคนหนึ่งวิ่งเข้ามา สีหน้าปิติยิ่งนัก “บัณฑิตถงคืนชีพแล้วขอรับ!”

พ่อลูกเฉินเซ่ามองหน้ากัน ต่างก็มีสีหน้ายินดีเช่นกัน

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว” นายใหญ่เฉินสีหน้ายิ้มแย้มอย่างสบายใจแล้วกล่าวขึ้น “มีอะไรน่าประหลาดใจกัน”

เฉินเซ่ายิ้มเล็กน้อย แล้วเช็ดน้ำชาที่ท่านพ่อที่ไม่แสดงสีหน้าอาการใดทำหกโดยไม่ทันระวัง

ในขณะเดียวกัน คนในเมืองหลวงต่างก็ได้รับข่าวนี้แล้วเช่นกัน ต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน

ถ้าจะบอกว่าเรื่องของท่านพ่อของเฉินเซ่าเพียงแค่ทำให้ทุกคนประหลาดใจ เพราะอย่างไรเสียในตอนนั้นถึงแม้จะบอกว่าอาการหนักรักษาไม่ได้ แต่ยื้อไว้นานเพียงนั้นก็ยังไม่ตาย และก็ไม่ได้ถูกกระทำเหมือนว่าไร้ทางรอดแน่ๆ รักษาหายแล้วก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนสั่นสะเทือนมากมายหรือเห็นได้ชัดเพียงนั้น

แต่ครั้งนี้บัณฑิตถงกินหินโลหะจนสลบไป เรื่องเช่นนี้ในบ้านคนร่ำรวยในเมืองหลวงพบเห็นได้ไม่น้อย อีกอย่างอาการก็รุนแรงมาก ตามสุภาษิตที่กล่าวว่า ยมบาลจะให้เจ้าตายในยามสามใครก็รั้งเจ้าไว้ถึงยามห้าไม่ได้ แต่กลับมีคนรั้งเอาไว้ได้จริงๆ อีกยังไม่เพียงรั้งไว้ได้ ยังคืนชีพแล้วอีก

“…จริงๆ ตอนที่ยกไปตายไปแล้ว…”

“…หมอหลวงหลี่ยังบอกว่าให้เตรียมงานศพรอเถิด…”

“…หมอหลวงหลี่อีกแล้ว ครั้งแล้วคนที่บอกว่านายใหญ่เฉินรักษาไม่ได้แล้วก็เป็นเขา ครั้งนี้ก็เป็นเขาอีก แต่นายหญิงเฉิงก็รักษาให้ได้ทั้งหมด…”

“…หรือว่าหมอหลวงหลี่ไม่เก่งพอ…”

“…หรือหมอหลวงหลี่กับนายหญิงเฉิงสมรู้ร่วมคิดกัน…”

บทสนทนาจู่ๆ ก็เปลี่ยนมามุ่งเป้าหาตนเอง หมอหลวงหลี่ที่เข้ามาก็กระแอมเสียงดัง

ทหารที่คุยกันอยู่หน้าสำนักหมอหลวงก็กระจายตัวไปดังผึ้งแตกรัง

“ข้าไม่เชื่อ” หมอหลวงหลี่กล่าว “ไป ไปกัน ไปบ้านตระกูลถง”

เวลานี้มีคนมากมายอยากจะไปบ้านตระกูลถง แต่บ้านตระกูลถงก็ปิดประตูไม่รับแขก นอกจากญาติสนิทแล้วคนอื่นก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเรือนเลย แน่นอนว่า หมอหลวงหลี่เป็นข้อยกเว้น

“หากไม่ใช่ใต้เท้าหลี่คอยจัดยาบำรุงให้ ครั้งนี้ท่านพ่อก็คงยากจะรอดแล้วใช่หรือไม่” เหล่าลูกชายบ้านตระกูลถงต่างก็กล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ

ในฐานะขุนนางข้างกายโอรสสวรรค์ อีกยังเขียนบทความจนเคยชิน คำพูดดีๆ เหล่านี้สำหรับบ้านตระกูลถงแล้วเป็นเรื่องที่เพียงอ้าปากก็พูดออกมาได้เลยทันที

ไม่ว่าเวลาไหน คำพูดที่ดีนั้นจะมีมากเพียงใดก็ไม่เป็นไร

“นี่ นายหญิงเฉิงเป็นคนพูดหรือ” หมอหลวงหลี่มองพวกเขาแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย

เหล่าบุตรชายตระกูลถงพยักหน้าอย่างไม่ลังเล

“โกหก” หมอหลวงหลี่กล่าวเสียงโกรธเคือง “นางพูดคำเช่นนี้ได้สิแปลก”

ถึงแม้จะอยากรู้วิธีการรักษาของนาง แต่หมอหลวงหลี่ยังคงมีจรรยาบรรณของหมอที่จะต้องหลีกเลี่ยง พบกับนายหญิงเฉิงที่บ้านตระกูลเฉินเพียงไม่กี่ครั้ง

แต่บางคนนั้นแค่มองผ่านๆ แค่คำพูดประโยคหนึ่งก็พอจะรู้ถึงนิสัยใจคอได้

นายหญิงผู้นั้นชมคนอื่นหรือ ไม่มีทางเด็ดขาด

ไม่สนใจคำพูดของเหล่าบุตรชายบ้านตระกูลถง เขามุ่งตรงไปเยี่ยมนายใหญ่ถง

ในห้องนั้นมีเพียงฮูหยินถงและภรรยารองคอยปรนนิบัติอย่างระมัดระวัง

นอกจากนายหญิงของบ้านแล้ว ในฐานะที่เป็นหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในบ้าน ภรรยารองไม่มีความเหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด

มองออกไปภายนอกนั้น หญิงที่อยากจะได้รับความลำบากเช่นนี้มีมากมายนัก แต่ว่า มีเพียงตนเองเท่านั้นที่มีสิทธิ์นี้

ตั้งแต่นี้ไป นางก็จะเป็นคนที่นายใหญ่ฮูหยินให้ความสำคัญมากที่สุด นางเป็นคนที่มีบุญคุณที่ทำให้นายใหญ่ฟื้นคืนชีพขึ้นมา ถึงแม้วันที่นายใหญ่จะอายุมากแล้ว ก็ไม่มีใครจะขายนางได้ อีกทั้งยังจะปรนนิบัตินางเป็นอย่างดีเสียด้วย

ภรรยารองคุกเข่าตรงหน้าเตียงนอน น้ำตาไหลไม่หยุด น้ำตาในเวลานี้ไม่เหมือนกับของเมื่อวาน เป็นน้ำตาแห่งความปลื้มปิติยินดี

“ใต้เท้าหลี่มาแล้วหรือ” ฮูหยินถงกล่าวพลางส่งสัญญาณให้ภรรยารองหลบให้

หมอหลวงหลี่รีบเดินมาหน้าเตียงแล้วก้มหน้าตรวจดู

บัณฑิตถงสีหน้าซีดขาว เหมือนฟื้นแต่ก็ยังไม่ฟื้น หมอหลวงหลี่จับชีพจรดู ตรวจดูปากและลิ้น

“ช่าง อัศจรรย์เสียจริง” เขากล่าวกับตนเอง

“ใต้เท้า เป็นอย่างไรบ้าง” ฮูหยินถงเอ่ยถามเสียงสั่นเครือ

นายหญิงเฉิงคนนั้นช่างประหลาดนัก ก่อนและหลังรักษาก็ไม่ได้ถามญาติใดๆ ทำเพียงแค่ให้พวกเขายกคนไข้กลับไป และให้ยามาขวดหนึ่ง อย่างอื่นก็ไม่ได้สั่งอะไรไว้

“ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตแล้ว” หมอหลวงหลี่กล่าว “ลองบำรุงอีกสักระยะดู”

“ดีเสียจริงฮูหยิน” ภรรยารองยินดีจนร้องไห้ออกมา “ใต้เท้าหลี่บอกว่าช่วยไม่ได้นั้นไม่แม่นยำ แต่บอกว่าหายนั้นแม่นยำนัก นายใหญ่ไม่เป็นอะไรแล้ว”

นี่มันคำพูดอะไรกัน หมอหลวงหลี่หน้าดำคร่ำเครียด

……………………………………………….