มันเกี่ยวอะไรกับข้า! ทำไมต้องเอาข้าไปเกี่ยวด้วย!

นายหญิงเฉิงคนนี้!

หมอหลวงหลี่ส่งเสียงโกรธเคือง

“แล้วนายหญิงเฉิงจัดยาอะไรหรือ” เขานึกเรื่องที่สงสัยได้จึงรีบเอ่ยถาม

ฮูหยินถงรีบโบกมือ ภรรยารองยกขวดดินเผาขึ้นมาอย่างระมัดระวัง

วันนี้เมื่อถูกเรียกให้เข้าห้องไป นอกจากบัณฑิตบนไม้กระดานแล้ว ก็มีเพียงยาหนึ่งขวด ส่วนนายหญิงเฉิงผู้นั้นก็อยู่หลังม่านแล้ว

สั่งเสียสองสามคำผ่านม่านมาแล้วก็เงียบไป

พวกนางกล่าวคำพูดขอบคุณต่างๆ มากมาย แต่กลับถูกสาวใช้ไล่ออกมา เห็นบอกว่านายหญิงเหนื่อยแย่แล้ว

“นายหญิงสั่งว่า ทุกเช้าให้ตักมาหนึ่งเม็ด ใช้เหล้าอุ่นผสมแล้วป้อนให้ จากนั้นก็ให้กินข้าว” นางกล่าว

“เป็นเช่นนี้กินข้าวได้หรือ” หมอหลวงหลี่เบิกตาโตแล้วเอ่ยขึ้น

“ตอนที่กินข้าวไม่ได้ ให้กินน้ำอุ่น” บุตรชายตระกูลถงกล่าวเสริม

หมอหลวงพยักหน้า เปิดขวดออก เห็นเป็นน้ำสีดำเข้มข้น ดมดูได้กลิ่นคาวเล็กน้อย เขายื่นมือมาแตะนิดหน่อยแล้วนำเข้าปาก

“โต๋วต๋งหรือ” เขากล่าวพึมพำ แล้วครุ่นคิดสักครู่ ก็ยื่นมือออกมาอยากจะล้วงออกมาอีกสักนิด

ฮูหยินถงรู้สึกเสียดายจึงแย่งมาก่อน

“ใต้เท้า ยาเหล่านี้ เกรงว่าจะมีปริมาณจำกัด” นางกล่าว

อีกยังแพงมากเสียด้วย

หมอหลวงหลี่เบะปาก นำยาที่เหลืออยู่บนนิ้วเล็กน้อยเข้าปากแล้วกล่าวลา ก่อนออกไปก็หันมามองบัณฑิตถงที่สลบอยู่บนเตียง

ถึงแม้ตอนนี้ดูเหมือนยังอาการหนักนัก แต่อีกสามวันก็จะฟื้นขึ้นมาได้

ช่าง…

“หรือว่า จะมีตำรับเซียนจริงๆ” เขาพูดอยู่คนเดียว

เหมือนดั่งภรรยารองตระกูลถงกล่าวไว้ ถึงแม้ช่วงนี้หมอหลวงหลี่วินิจฉัยว่าจะตายนั้นผิด แต่ความสามารถในการวินิจฉัยว่าไม่อันตรายถึงชีวิตนั้นยังไม่ถูกทำลายไป ฉะนั้นเมื่อหมอหลวงหลี่ออกจากบ้านตระกูลถง เรื่องที่บัณฑิตถงรักษาชีวิตไว้ได้นั้นก็ได้รับการยืนยันเป็นที่แน่แท้แล้ว

หน้าประตูบ้านตระกูลโจวผู้คนเดินกันขวักไขว่อีกครั้ง

แต่ทว่าครั้งนี้ อยากจะเข้าเรือนไม่ง่ายเช่นนั้นอีกแล้ว

“ตระกูลข้าฐานะอะไร ใช่ว่าใครหน้าไหนอยากมาก็มาได้เสียที่ไหนกัน” ฮูหยินโจวไม่ไอไม่หอบแล้ว พิงโต๊ะเตี้ยแล้วเอ่ยขึ้น “ไปบอกพวกนางว่า เจียวเจียวเราเหนื่อยแล้ว อยากจะให้ดูอาการ ก็ให้มาวันหลังแล้วกัน”

แม่นมนำคำนี้ไปกล่าวต่อ คนหน้าประตูก็หายไปในทันที นี่กลับทำให้ฮูหยินโจวตะลึงงันไป

“ไปหมดแล้วหรือ” นางนั่งขึ้นมาแล้วเอ่ยถาม

แม่นมพยักหน้า

“ล้วนแต่ ไม่พูดอะไรเลยหรือ” ฮูหยินโจวเอ่ยถามอย่างมิกล้าเชื่อ

ไม่มีใครอยากจะมาขอร้องนางเลยหรือ พูดขอร้องอะไรทำนองนั้น บอกว่าไม่พบ ก็ไม่พบจริงๆ หรือ ขอพบ ขอให้รักษา ขอน่ะ! ขอล่ะ

“นายหญิงตระกูลเฉิงกฎระเบียบเคร่งครัด ไม่กล้าไม่เชื่อฟัง”

“ในเมื่อบอกว่าไม่ถึงแก่ชีวิตไม่รักษา เช่นนั้นคนอื่นพากันเข้าไปนางก็ไม่รักษาแน่…”

“ไปเถอะ พวกเรารอหน่อยแล้วกัน ถึงเวลาก็ขอพบนายหญิงเฉิงโดยตรงเลย”

“เจ้าดูบ้านตระกูลถงสิพากันเข้าไป ไม่พูดพร่ำทำเพลง บอกว่าจะรักษาให้ก็รักษาเลย ตอนนั้นคนบ้านตระกูลโจวยังขวางอยู่เลย”

คนหน้าประตูก็แยกย้ายกันไป

ฟังคำบรรยายของแม่นมแล้ว ฮูหยินโจวก็โมโหจนหน้าดำหน้าแดง

“เช่นนั้นก็ยังเป็นบ้านของพวกข้าอยู่ดี” สุดท้ายนางก็เอ่ยขึ้น “ไม่เห็นข้าในสายตา ก็อย่าคิดว่าจะได้พบเลย!”

ข่าวกระจายออกไปกว้างมากขึ้น ไม่ช้าจากบ้านขุนนางตระกูลสูงศักดิ์ ก็กระจายไปถึงในตลาด

เพราะอย่างไรเสียบ้านไหนๆ ก็มีบ่าวรับใช้ บ่าวรับใช้บ้านไหนๆ ก็มีญาติกันทั้งนั้น แต่ทว่าคำเล่าลือในตลาดนั้นก็จะเพ้อเจ้อกว่า วุ่นวายกว่า และเหลวไหลกว่า

“…ได้ยินว่ายกคนเข้าไปแล้ว นายหญิงบ้านตระกูลโจวก็ถามว่า มีหนึ่งหมื่นก้วนหรือไม่ มี ก็เอามา ไม่มี ก็ยกคนกลับไป”

“…หนึ่งหมื่นก้วนหรือ แพงขนาดนั้นเชียวหรือ”

“แพงอะไรกัน เขาเอาไปติดสินบนยมบาล จะถูกได้อย่างไร”

“ยมบาลหรือ”

“เจ้าไม่ได้ข่าวหรือ นายหญิงคนนั้นเป็นศิษย์ของนักพรตหลี่ สื่อสารกันระหว่างโลกมนุษย์กับโลกแห่งความตาย มิเช่นนั้นทำไมถึงได้รักษาให้แต่คนที่กำลังจะตายเล่า นางไปเอาคนมาจากยมบาลได้น่ะ”

“…นั่นสิ ข้าก็ได้ยินมา นายหญิงนี้รักษาโรคแต่ตอนกลางคืน หลีกเลี่ยงผู้คน ยังเอาเหล้าเนื้อและกับข้าวด้วย ตอนนั้นคนในเรือนต่างก็เห็นกัน มีลมพัดมาเป็นระลอก ต้องเป็นยมบาลมาเยือนแน่ๆ…”

“นายหญิงผู้นี้กินดื่มกับยมบาลมื้อหนึ่ง ก็เจรจากันได้แล้วหรือ”

ในร้านน้ำชา ปัญญาชนโต๊ะข้างๆ ทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว

“ช่างเหลวไหลสิ้นดี” พวกเขาส่ายหน้า แล้ววางแก้วน้ำชาวางบนโต๊ะอย่างแรง

เสียงนี้ทำให้คนที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานข้างๆ ชะงักไปสักครู่

พวกเขามองมาแล้วเห็นว่าเป็นซิ่วไฉก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ลดเสียงลงแล้วพูดคุยหัวเราะกันต่อ

“ไม่คิดว่าในเมืองหลวงขนาดบ้านขุนนางยังกล้านับถือคนเทวดาด้วย” ซิ่วไฉคนหนึ่งกล่าวพลางส่ายหน้า

“เขาก็ไม่ได้บอกว่าเป็นคนเทวดา บอกว่าเป็นหมอ” อีกคนหนึ่งยิ้มกล่าว

“หมอ มีหมอที่ไหนรักษาคนเช่นนี้! จงใจเล่นเล่ห์เล่นกล!” มีคนกล่าวขึ้นอีก

“แต่ว่า พี่เหวินไฉ คนไม่รู้ก็คือไม่รู้ จะว่าเขาเล่นกลก็มิได้” คนหนุ่มที่ดูคนงานร้านชากำลังบดชาอยู่อย่างเงียบๆ กล่าวขึ้นกระทันหัน “ข้าก็เคยพบเจอการรักษาโรคที่น่าอัศจรรย์คล้ายๆ เช่นนี้อยู่ครั้งหนึ่ง”

คำพูดนี้ทำให้คนอื่นๆ ในโต๊ะนั้นมองมา

“หยวนเฉา เจ้าเคยเจอหรือ” พวกเขาเอ่ยถาม

หันหยวนเฉารับชาที่คนงานร้านชายื่นมาให้ ยิ้มเล็กน้อย

“อาหญิงของข้าก็เคยได้รับอันตรายถึงชีวิต” เขานึกย้อนกลับไปแล้วกล่าวขึ้น อันตรายถึงชีวิตที่ไหนกัน เข้าโลงไปแล้วด้วย ในสายตาผู้คนแล้วนั้นเก่งกาจกว่าคนใกล้ตายอย่างบัณฑิตถงเสียอีก นั่นเป็นคนที่ตายไปแล้ว

“หลังจากนั้น ก็มีคนรักษาหายได้” เขากล่าว

คนที่นึกว่าจะได้ยินการบรรยายเรื่องน่าอัศจรรย์ก็ส่งเสียงเสียดายไปชั่วขณะ

“เล่าดีๆ เล่าดีๆ” พวกเขารบเร้า “รักษาอย่างไร”

หันหยวนเฉาหัวเราะเสียงดัง

“ตอนข้าไปถึง อาหญิงของข้าก็หายดีแล้ว ไม่เห็นว่ารักษาอย่างไร” เขายิ้มกล่าว

ทุกคนทำเสียงเสียดายขึ้นอีกครั้ง

“แล้วคนที่รักษาบัณฑิตถงหายคือใครกัน” หันหยวนเฉาเอ่ยถามขึ้นมาทันใด

เรื่องนี้ทุกคนก็ไม่รู้กัน ต่างก็มองไปที่คนงานชงชา

“เป็นคนของบ้านแม่ทัพกุยเต๋อหลังตระกูลโจว” คนงานชงชายินดีที่จะแบ่งปันข่าวที่เพิ่งได้ยินมา

แซ่โจวหรือ เช่นนั้นก็ไม่ใช่แล้วสิ

“ไม่ใช่อะไรหรือ” มีคนได้ยินเขาพูดกับตัวเองจึงเอ่ยถามขึ้น

“ไม่มีอะไร” หันหยวนเฉายิ้มกล่าวแล้วดื่มชา

คนนั้นที่ช่วยอาหญิงเอาไว้ แซ่เฉิงนี่

ในขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่ ด้านนอกมีปัญญาชนสองสามคนเดินเข้ามา

“พวกเจ้าอยู่นี่เอง เร็วเข้า เร็วเข้า มีข่าวดี” พวกเขาตะโกน “ท่านอาจารย์จากเจียงโจวเปิดหลักสูตรสอนแล้ว”

เมื่อพูดคำนี้ออกมา เหล่าซิ่วไฉที่นั่งล้อมกันอยู่ก็รีบลุกขึ้น

“ที่วัดเฉี่ยถิง วัดเฉี่ยถิงให้ห้องมาสองสามห้อง เอาไว้ให้ท่านอาจารย์เจียงโจวไว้สอนหนังสือ”

“เช่นนั้นก็รีบไป รีบไปเร็วเข้า รับจำนวนจำกัด ทุกคนรีบไปเร็ว”

ขณะเสียงครึกโครมดังขึ้น เหล่าปัญญาชนในร้านน้ำชาก็พากันออกไป หายไปครึ่งร้านในชั่วพริบตา

“ซิ่วไฉพวกนี้ โอ้อวดกริยามารยาทนักมิใช่หรือ เจ้าดูท่าทีร้อนรนตอนนี้สิ ขายหน้าคนสูงศักดิ์เสียจริง” คนโต๊ะข้างๆ ที่เมื่อครู่ถูกเหล่าซิ่วไฉดูถูกรีบคว้าโอกาสกล่าวดูถูกเหยียดหยามกลับ

“ลูกค้าคงยังไม่ทราบ” คนงานชงชายิ้มพลางกล่าวขึ้น “ได้ยินว่าท่านอาจารย์เจียงโจวสอนหนังสือ ไม่มีศิษย์คนใดไม่ร้อนรนหรอก ถึงจะร้อนรนเพียงนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะมีวาสนาได้เข้าไปหรือไม่”

“นั่นสิ นั่นสิ ท่านอาจารย์เจียงโจว นั่นเป็นดาวบนท้องฟ้าลงมาจุติ จะได้รับการถ่ายทอดความรู้กันทุกคนได้อย่างไร”

“แล้วนายหญิงบ้านตระกูลโจวนั่นก็ย่อมเป็นดวงดาวบนท้องฟ้าลงมาจุติเช่นกันสิ มิเช่นนั้นนักพรตหลี่จะรับเป็นศิษย์ได้อย่างไร”

“นั่นสิ ใช่ว่าใครก็มีความสัมพันธ์กับยมบาลได้นี่”

เมื่อเทียบกับอาจารย์เจียงโจวที่สง่างามมีความสามารถแล้ว สำหรับคำเล่าลือตามท้องตลาด หมอเทวดาที่มีความสามารถอันอัศจรรย์ที่สามารถชุบชีวิตให้คนได้นั้นน่าสนใจกว่ามาก

เห็นว่าบทสนทนากลับมาหานายหญิงตระกูลโจวอีก คนงานชงชาก็ยิ้มแล้วบดชาเติมน้ำต่อ

……………………………………………………………..