นายใหญ่โจวลงมาจากบนรถม้า สีหน้ามึนเมา ฝีเท้าลอย สาวใช้สองคนพยุงเดินไป
“ทำไมถึงดื่มจนขนาดนี้” ฮูหยินโจวกล่าวพลางมองสาวใช้ปรนนิบัตินายใหญ่โจวนอนลง “ต้มน้ำแกงสร่างเมามา ใส่เปลือกลำไยมาด้วย”
สาวใช้ขานรับแล้วออกไป ฮูหยินโจวให้คนเพิ่มธูปอีกดอกมากลบกลิ่นเหล้าในห้อง
“ไปที่ใดมาเล่า ทำไมถึงดื่มมากมายเพียงนี้” นางกล่าวแล้วนั่งคุกเข่าลงตรงหน้านายใหญ่โจว
“ไปหออวิ๋นเฟิงมา” นายใหญ่โจวกล่าว ใบหน้ายิ้มแย้มแฝงความมึนเมา “เจ้าทายว่าใครเป็นคนเลี้ยง”
“ใครเล่า” ฮูหยินโจวเอ่ยถาม
“สารวัตรทหารเกา ผู้บัญชาการทหาร!” นายใหญ่โจวยิ้มกล่าว “เมื่อก่อน เขาดูถูกบ้านตระกูลโจวเรา ไม่เห็นแก่ที่ตอนนั้น ปู่ข้ากับปู่เขาเคยสู้รบด้วยกันที่ส่านโจว มาตอนนี้ อยู่ๆ เขาเกิดจะมาเห็นความสำคัญของข้า ข้าก็ไม่อยากจะให้ความสำคัญเขาแล้ว!”
เขากล่าวพลางยื่นมือมาตบขา
“เขาก็แค่เห็นความสัมพันธ์ระหว่างบ้านตระกูลเฉินและบ้านตระกูลถง เลยมาดึงข้าเป็นพวก สายไปแล้ว!” เขายิ้มกล่าว โบกมือแล้วหัวเราะออกมา “เขามีอะไร”
พลางยิ้มแล้วชี้ตัวเอง
“ข้ามีเจียวเจียวร์”
ฮูหยินโจวเม้มปากยิ้มแล้วยื่นมือมาผลักเขานอนลง
“รู้แล้ว ตอนนี้ท่านมีเจียวเจียวร์ พวกเราจึงไม่ต้องสนใจพวกเขา” นางยิ้มกล่าว
“อ้อจริงสิ ข้าไปดูเจียวเจียวร์ของข้าหน่อย ดูว่านางชอบอะไร อยากได้อะไร พวกเราซื้อให้นางเสีย ซื้อให้เลย พวกเรามีเงิน อยากได้อะไร ก็ให้นางไป ซื้อ” นายใหญ่โจวกล่าวพลางลุกขึ้น
ฮูหยินโจวรีบยื่นมือมาพยุง
“ท่านอยู่นิ่งๆ สงบๆ เถิด เมื่อครู่ก็เพิ่งหกล้มไป ยังไม่หายดีเลย อย่าหกล้มไปอีก” นางกล่าว “หกล้มเพราะเจียวเจียวร์ น่าขันยิ่งนัก”
นายใหญ่โจวยังอยากจะลุกขึ้น แต่จนใจที่เมาเกินไป จึงหัวเราะแล้วนอนลงไป ไม่นานก็เมาหลับไป
ส่วนเวลานี้ ณ ที่พักของเจียวเจียวร์ เงียบสงัดเหมือนไม่มีใครอยู่
ตั้งแต่ที่บ้านตระกูลถงยกคนกลับไป ความครึกโครมของโลกภายนอกก็เหมือนว่าจะไม่เกี่ยวกับที่นี่อีก
แม่นมคนหนึ่งยื่นหน้ามองอยู่ด้านหน้าประตู
“ทำอะไร” แม่นมในนั้นเห็นแล้วรีบเข้ามาโบกมือแล้วเอ่ยถาม
“ฮูหยินให้มาถามว่าตื่นหรือยัง” แม่นมเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา
ถึงแม้จะไม่มีคนเตือน แต่มาถึงที่นี่นางก็พูดเสียงเบาเอง ตั้งแต่นายใหญ่ถงถูกยกออกไป ไม่เพียงแต่คนนอกตกตะลึง คนในบ้านอย่างพวกนางต่างก็ตกใจจนเสียสติไป
ฟื้นคืนชีพเลยนะ!
ตอนนายใหญ่เฉินไม่ได้เห็นกับตา ถึงแม้จะประหลาดใจ แต่ก็ยังไม่ถึงกับตกตะลึง ครั้งนี้พวกนางเห็นกับตาตนเอง
เป็นหมอเทวดาจริงๆ !
เป็นศิษย์ของเซียนจริงๆ !
“ยังเลย” แม่นมตอบกลับ
“นอนไปสองวันแล้วนะ” แม่นมที่มาสอบถามกล่าวอย่างประหลาดใจ
“ดึงคนกลับมาจากปรโลก ก็ย่อมใช้พละกำลังมากเป็นธรรมดา” แม่นมคนนั้นคิดสักครู่แล้วกล่าวขึ้น พลางโบกมือไปทางนาง “รีบไป รีบไป”
แม่นมหันหลังกลับอย่างโมโห หันกลับมาเดินไปไม่กี่ก้าวก็เจอกับท่านชายโจวหก
“นางยังไม่ตื่นอีกหรือ” ท่านชายโจวหกเอ่ยถามตรงๆ
“เจ้าค่ะ” แม่นมรีบตอบ “ท่านชายว่าต้องเชิญหมอมาดูอาการหน่อยหรือไม่เจ้าคะ”
หมอเทวดาที่มีวิชาชุบชีวิตเชิญหมอมาดูอาการหรือ
ท่านชายโจวหกสีหน้าแปลกประหลาด
“เชิญ!”
ท่านชายฉินวางสากตำชาที่อยู่ในมือลง กล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“เชิญหมอหรือ” ท่านชายโจวหกเอ่ยถาม รู้สึกน่าขันอยู่บ้าง
“ใช่ ตอนนี้รีบไปเชิญหมอมาดูอาการนางเร็ว” ท่านชายฉินกล่าว แล้วมองดูท่านชายโจวหก “ชายหก หากทำเลยเถิดเท่ากับไม่สำเร็จ เรื่องของผีสางเทวดา เป็นบทสนทนาของคนโง่ ปัญญาชน ไม่คุยเรื่องประหลาด ความกล้า จราจล และผีสางเทวดา ก่อนหน้านี้ชื่อเสียงยังไม่โด่งดัง ทุกคนสงสัยใคร่รู้สนทนาไปเรื่อยก็ไม่เป็นไร ผ่านเรื่องนี้ไป นายหญิงเฉิงก็นับว่ามีชื่อเสียงในเมืองหลวง ไม่ว่าจะคุยเป็นการส่วนตัวอย่างไร แต่ผิวเผินแล้วชื่อเสียงนี้จะต้องเป็นไปในเชิงบวก มิเช่นนั้น จะไม่ดีกับตัวนาง”
ท่านชายโจวหกเงียบไปสักพัก
“เพียงแต่เกรงว่านางจะไม่รู้เจตนาดีของเรา” เขากล่าวเสียงโกรธเคือง
ท่านชายฉินยิ้มเล็กน้อย หยิบสากบดชาขึ้น แล้วบดชาที่ตนผสมขึ้นมาใหม่ต่อ
“ขอเพียงเป็นเจตนาดี ใครก็รู้ได้” เขากล่าว
มองดูแม่นมขานรับแล้วกำลังจะถอยออกไป เขาก็นึกอะไรได้
“นายหญิงนอนไปสองวันแล้ว เรื่องเชิญหมอต้องรีบหน่อย” เขากำชับ “ไม่ต้องหาหมอที่มีชื่อเสียง ไปร้านยาที่มีชื่อที่สุดเชิญใครมาก็ได้สักคน ที่สำคัญคือ ต้องเร็ว”
แม่นมเข้าใจแล้วขานรับ
บ่าวรับใช้บ้านตระกูลโจวทำงานว่องไว เพียงเวลาไม่ถึงชาหนึ่งถ้วย หมอก็เข้ามายังประตูบ้านตระกูลโจวแล้วเคาะประตูห้องเฉิงเจียวเหนียง
“ทำอะไรน่ะ” สาวใช้เปิดประตูออกด้วยความโมโหอย่างชัดเจน ตะคอกเสียงเบา สายตากวาดไปยังแม่นมแล้วไปหยุดอยู่ที่ผู้เฒ่าคนหนึ่ง หลังจากนั้น ก็เห็นท่านชายโจวหกยืนมือไขว้หลังอยู่หน้าประตูเรือน
“นายหญิงนอนมานานถึงเพียงนี้แล้ว นายท่านฮูหยินเป็นห่วงยิ่งนัก” แม่นมกล่าวอย่างระวัง “เลยเชิญหมอมาดูอาการให้”
สาวใช้สายตาล่อกแล่ก แล้วมองพินิจพวกเขาอีกสักครู่
“รอเดี๋ยว ข้าไปดูว่านายหญิงตื่นหรือยัง” นางกล่าวแล้วปิดประตู
ไม่นาน ประตูก็เปิดออก
“ท่านหมอเชิญเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าวอย่างนบนอบพลางตะแคงตัวหลบให้
มองดูหมอก้าวเข้าห้องไป ท่านชายโจวหกที่ยืนอยู่นอกเรือนก็หันหลังจากไป
ในห้องนั้นผ้าม่านต่างก็ปล่อยลง แสงไฟมืดสลัว
ผู้เฒ่าถูกนำเดินเข้าห้องไป ก็เห็นเงาหญิงสาวที่นอนตะแคงอยู่บนเตียง เขาก็ก้มหน้าลงหลบสายตาไป
“นายหญิง ท่านหมอมาแล้วเจ้าค่ะ จับชีพจรเถิดเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว แล้วเปิดม่านขึ้น ดึงมือมาหนึ่งข้าง
ท่านหมอรีบนั่งคุกเข่าลง แล้วมองดูมือตรงหน้า
มือเล็กๆ ของเด็กสาว ผอมแห้ง เมื่อมองดูท่ามกลางความมืดสลัวนั้น ก็มีความหยาบกร้านที่ไม่เข้ากับอายุอยู่ บนข้อนิ้วนั้นยังมีแผลตุ่มใสบางๆ อยู่ด้วย
ท่านหมอรีบหลบสายตาไป แล้วจับชีพจร
หลังจากนั้นสักพัก ก็เปลี่ยนเป็นมืออีกข้าง เหมือนกับมือข้างขวาเมื่อครู่นี้ บนข้อนิ้วของมือซ้ายก็มีแผลตุ่มใสอยู่เหมือนกัน
อะไรที่ทำให้ข้อนิ้วทั้งสองมือเป็นตุ่มใสได้
“ช่วยเปิดม่านออกด้วย ต้องสังเกตสีหน้า” ท่านหมอกล่าว
สาวใช้ขานรับแล้วเปิดม่านออก
รูปลักษณ์ผอมบางของเด็กสาวใต้ผ้าห่มดิ้นทองปรากฏขึ้น หมอตรวจดูอย่างตั้งใจแล้วพยักหน้า สาวใช้ก็ปล่อยม่านลง
ฮูหยินโจวด้านนอกได้ข่าวแล้วก็มาหา
หมอถูกเชิญมาข้างนอก ยังไม่ทันได้นั่งลง ก็ถูกถามขึ้นทันที
“ฮูหยิน เสียงเบาหน่อยเจ้าค่ะ นายหญิงข้านอนอยู่” สาวใช้กล่าว
“เป็นเพราะสาวใช้อย่างเจ้าคนเดียว ทำไมเป็นถึงขนาดนี้แล้ว ยังไม่บอกข้าอีก” ฮูหยินโจวเลิกคิ้วตะคอกใส่ “ยังมาบอกว่านอนอยู่อย่ารบกวนอีก ดีที่ข้าไม่วางใจ หากเจียวเจียวร์เป็นอะไรไป เจ้ารับผิดชอบไหวหรือ”
สาวใช้กลอกตา แล้วหันไปไม่สนใจนาง
“ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” นางมองหมอแล้วเอ่ยถาม
หมอเพ่งสมาธิแล้วครุ่นคิด
“นายหญิงอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง หายใจสั้นถี่ คิดว่าน่าจะลุกไม่ขึ้น วิงเวียนตาลาย” เขากล่าว
สาวใช้พยักหน้า สีหน้าตึงเครียดเล็กน้อย
“สีหน้าซีดเซียวไร้ชีวิตชีวา สีเล็บอ่อน ชีพจรอ่อนไร้เรี่ยวแรง” หมอกล่าวต่อ “นี่เป็นอาการของเลือดลมอ่อน”
ป่วยจริงๆ หรือ
“แต่นางเป็นหมอเทวดานี่ จะป่วยได้อย่างไร” ฮูหยินโจวไม่คิดว่าจะตรวจเจออาการป่วยจริงๆ ตกใจจนตะโกนออกมาในทันใด
หมอเทวดาหรือ
หมอเฒ่าหันไปมองทางเตียงอย่างช้าๆ ผ้าม่านปล่อยลง บดบังสายตาเอาไว้ แต่ตรงหน้าหมอเฒ่ายังมีภาพรูปลักษณ์ของหญิงสาวเมื่อครู่ลอยขึ้นมา
อายุราวสิบสี่สิบห้า ผอมโซซีดเซียว ไม่ต้องจับชีพจรก็ดูอาการป่วยออก
สองวันนี้ เรื่องเกี่ยวกับบ้านตระกูลโจวมีนายหญิงคนหนึ่งสามารถช่วยคนให้ฟื้นคืนชีพได้นั้น ในร้านยาก็เคยได้ยินเช่นกัน
คนประหลาดบนโลกใบนี้มีตำรับสูตรลับที่เอาไว้รักษาโรคก็ไม่ได้แปลกอะไร อย่างเช่นหมู่บ้านอู๋หลี่นอกเมืองมีหญิงชราคนหนึ่งไม่รู้การแพทย์เลยสักนิด แต่มีวิธีรักษาโรคหัวเรื้อนที่สืบทอดกันมาในตระกูล พวกหมอก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไร เมื่อได้ยินว่าบ้านตระกูลโจวเชิญหมอก็ยิ่งยืนยันสิ่งที่ตนคาดเดาไว้
“หมอไม่รักษาตน” หมอเฒ่ากล่าวอย่างช้าๆ “ขอเพียงเป็นคน กินธัญพืช ก็ย่อมป่วยได้เป็นธรรมดา ไม่ใช่เทวดาเสียหน่อย”
หมอเฒ่าพูดประโยคสุดท้ายจงใจเหลือบมองไปที่ฮูหยินโจว และพูดน้ำเสียงเน้นย้ำ
ความหมายของหมอเฒ่า ฮูหยินโจวย่อมฟังออกอยู่แล้ว จึงเลิกคิ้วขึ้นมาทันใด
หมอแก่นี่ กล้ามาทำเสียชื่อเจียวเจียวร์ของเรา!
…………………………………………………….