การจะสั่งสมชื่อเสียงจนกลายเป็นหมอเทวดามิใช่เรื่องง่าย หากถูกหมอแก่ไร้ชื่อไร้ฝีมือดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้จะยอมได้อย่างไรกัน

“ท่านเองที่ไร้ฝีมือ อย่ากล่าวหาผู้อื่น” ฮูหยินโจวพ่นลมออกจมูกพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา

คำที่หมอเฒ่าเกลียดที่สุดคือคำว่าไร้ฝีมือ หมอเฒ่าเกรี้ยวกราดขึ้นมาในทันใด

“ข้ามันไร้ฝีมือ รักษาให้ไม่ได้หรอก พวกเจ้าไปเชิญยอดฝีมือที่อื่นเถิด” เขาเอ่ยพลางถลกแขนเสื้อขึ้น

“ใครก็ได้ ไปส่งท่าน…” ฮูหยินโจวเรียกคนมาจริงๆ

สาวรับใช้กอดขานาง

“ฮูหยิน นายหญิงของข้ากำลังป่วย หากท่านไล่หมอไป ท่านไม่ร้อนใจหรือ” นางร้องคร่ำครวญ

ข้าไม่ร้อนใจอย่างนั้นหรือ

เจ้าว่านางแค่นอนหลับไม่ได้เป็นอะไรมิใช่หรือ เหตุใดตอนนี้ข้าถึงกลายเป็นคนใจจืดใจดำไปได้

ฮูหยินโจวโมโห

สาวใช้ไม่ทันได้สนใจนางเพราะกำลังรั้งหมอเฒ่าไว้

“นายหญิงของข้ารักษาได้แต่โรคที่ถึงตาย โรคอื่นนางรักษาไม่เป็นเจ้าค่ะ” นางเอ่ยอย่างร้อนรนพลางจ้องมองหมอเฒ่า “ท่านรีบมาดูหน่อยเถิดว่าทำอย่างไรอาการถึงจะดีขึ้น”

คำพูดนั้นมีแต่ความสัตย์จริง

“อย่าได้รีบร้อน โรคนี้มิได้ร้ายแรง บำรุงร่างกายนิดหน่อยก็หายดี” หมอเฒ่าตอบพลางคิดสูตรยา “ต้องรักษาด้วยการบำรุงเลือดลม ต้มน้ำแกงโสมหย่างหรงก็พอแล้ว”

สาวใช้พยักหน้ารับ

“รีบไปจัดยากับท่านหมอเร็วเข้า” นางหันไปบอกกับเหล่าสาวใช้และแม่นมที่อยู่ข้างๆ

เหล่าสาวใช้และแม่นมตะลึงไปชั่วขณะก่อนจะหันไปมองฮูหยินโจว

“ให้เจียวเจียวร์คิดสูตรยาเองไม่ดีกว่าหรือ” ฮูหยินโจวเอ่ยด้วยความเคลือบแคลงใจ

“ฮูหยินเจ้าคะ นายหญิงของข้าเป็นถึงขนาดนี้แล้ว ท่านต้องการอะไรอีกหรือเจ้าคะ” สาวใช้ร้องตะโกน

ฮูหยินโจวโมโมยิ่งกว่าเดิม

“นายหญิงของเจ้าเป็นถึงขนาดนี้ เหตุใดเจ้าถึงเพิ่งมาบอกข้า” นางร้องตะโกนกลับ “สาวใช้นางนี้หาว่าข้าเป็นคนผิดอย่างนั้นรึ”

“ท่านแม่ ตอนนี้มิใช่เวลาพูดเรื่องนี้” ท่านชายโจวหกที่อยู่ด้านนอกเอ่ยขึ้น “รีบไปจัดยาเร็วเข้า”

เขาสั่งให้เหล่าบ่าวและสาวใช้เตรียมรถเพื่อส่งหมอกลับ

หมอเฒ่ากล่าวลาด้วยสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว ฮูหยินโจวเองก็ไม่กระจิตกระใจจะอยู่ต่อ ได้แต่พ่นลมทำเสียงฮึดฮัดก่อนจะกลับไป

“เจ้าว่าเช่นนี้เรียกว่าแกล้งกันหรือไม่” นางเอ่ยขึ้น “ตอนแรกก็บอกว่า หากเป็นเช่นนั้นจะไม่รักษา หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่รักษา ต่อมาบอกว่าหากไม่ถึงตายจะไม่รักษาให้ พอรักษาจนหาย ตัวเองกลับล้มป่วย วุ่นวายเสียจริง!”

“เช่นนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือท่านแม่” ท่านชายโจวหกกล่าวตามคำพูดของท่านชายฉิน

นายใหญ่โจวเองก็พยักหน้า

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว แบบนี้ดีกว่าเป็นไหนๆ” เขาเอ่ยขึ้น “ผีสางเทวดาล้วนแต่เป็นเรื่องเหลวไหลทั้งนั้น ตระกูลโจวของพวกเราเป็นตระกูลมนุษย์ต่างหาก”

ฮูหยินโจวนิ่งไปครู่ใหญ่ ในความคิดของฮูหยินแห่งตระกูลเช่นนางแล้ว เรื่องผีสางเทวดาต่างหากที่ทำให้คนเคารพนับถือ

“เอาแต่คิดแบบสตรี” นายใหญ่โจวพูดขึ้น “คนอื่นจะพูดอย่างไรก็เรื่องของพวกเขา ไม่ว่าจะร่ำลืออะไรกัน ขอแค่เรื่องที่ว่าเจียวเจียวร์ของพวกเราชุบชีวิตคนได้จริงแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว พอทุกข์ร้อนขึ้นมาพวกเขาก็เป็นคนมาร้องขอให้รักษาอยู่ดี”

ยาถูกห่ออย่างประณีตบรรจงแลกกับค่ารักษา หลังจากเหล่าบ่าวใช้และแม่นมตระกูลโจวกลับไป ร้านขายยาก็โกลาหลขึ้นมาในทันที ผู้คนต่างกรูเข้ามารุมล้อมหมอเฒ่าเป็นวง

“ท่านรักษาแม่นางผู้นั้นจริงๆ หรือ”

“หมอที่ชุบชีวิตคนได้ก็ถือหลักหมอไม่รักษาตัวเองเหมือนกันหรือ”

“นางอายุเท่าไหร่ หน้าตาเป็นอย่างไร”

คำถามวุ่นวายดังกระหึ่ม

กว่าหมอเฒ่าจะฝ่าวงฝืนตัวออกมามิใช่เรื่องง่าย

“เรื่องของคนเจ็บป่วยจะเอามาถกเถียงตามอำเภอใจได้อย่างไร” เขาพูดไปตามความจริง “บอกไม่ได้หรอก บอกไม่ได้หรอก”

แม้หมอเฒ่าจะรักษาจรรยาบรรณ แต่เรื่องที่ตระกูลโจวมาขอให้เขาจัดยารักษาเฉิงเจียวเหนียงนั้นเป็นความจริง ข่าวนี้จึงถูกแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว และยิ่งทำให้ข่าวที่ว่านางสื่อสารกับผีสางเทวดาได้นั้นวุ่นวายมากไปกว่าเดิม

“เพราะสื่อสารกับผีสางเทวดาได้ เลยชุบชีวิตคนได้…”

“เจ้าพูดจาเหลวไหล แม่นางผู้นั้นทำไม่ได้หรอก เช่นนั้นตัวเองจะล้มป่วยได้อย่างไร”

“นั่นเป็นเพราะสื่อสารกับผีสางเทวดาต้องใช้พลังเลือดลมมากน่ะสิ…”

“พูดอย่างกับเจ้าสื่อสารกับผีสางเทวดาได้อย่างนั้น อย่างเจ้าจะไปรู้อะไร…”

ข่าวลือนี้ถูกพูดถึงทั้งในโรงเหล้าโรงน้ำชามากมาย ถึงขนาดเถียงกันจนหน้าดำหน้าแดง ลงไม้ลงมือกันก็มี สุดท้ายแล้วก็ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนเป็นผู้คาดเดาทฤษฎีใหม่ขึ้นมาก่อน

“แม่นางผู้นั้นไม่ใช่คนที่ได้พบกับเทพเซียนหรอกหรือ เทพเซียนคงให้เพียงวิชาชุบชีวิตคน ใช่ว่ามอบพลังเทพเซียนให้เสียหน่อย ดังนั้นนางจึงรักษาได้แต่คนที่ใกล้ตาย แต่รักษาโรคอื่นไม่ได้รวมถึงตัวนางเองด้วย”

เมื่อทฤษฎีนี้ถูกเผยแพร่ออกไปก็ได้รับความยอมรับจากผู้เห็นต่างทั้งสองฝ่ายในทันที เหล่าคนที่ไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดาก็ยอมรับเฉพาะเรื่องที่ว่านางได้วิชาลับมา ส่วนเหล่าคนที่เชื่อนั้นก็พอใจกับเรื่องที่ว่านางได้พบเทพเซียนจริง ทฤษฎีนี้ถูกกล่าวขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนท้ายที่สุดกลายเป็นทฤษฎีที่แพร่หลาย

เรื่องราวมากมายเกิดขึ้นไม่รู้จบ ภายในเวลาไม่ถึงเดือนแม่นางเฉิงแห่งตระกูลโจวผู้นี้ก็กลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วทั้งเมืองหลวง

สำหรับเมืองหลวงที่มีเรื่องราวให้พูดถึงมากมายในแต่วันแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องเกิดขึ้นได้ยากนัก

แต่สำหรับเฉิงเจียวเหนียงผู้เป็นต้นตอของเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นแล้ว กลับไม่ได้รับรู้อะไรเลยราวกับไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน ตระกูลโจวปิดประตูเรือนไม่รับแขกเพื่อรักษาอาการของนาง

สาวใช้ยืนอยู่ที่ทางเดินจัดแจงแม่นมที่นำผักและเนื้อมาส่ง

“หาซื้อผักโขมที่สดกว่านี้มิได้หรือ” นางถามอย่างไม่พอใจ

“พี่สาว หน้าหนาวแบบนี้หาไม่ได้หรอก” แม่นมเอ่ยอย่างลำบากใจ

“หาได้อยู่แล้ว” สาวใช้ตอบ “ที่วาเหยาทางตะวันออกของเมืองก็มีไม่ใช่หรือ”

แม่นมสูดลมหนาวเข้าปอด

“ปะ…ไปดูแล้ว ขายหมดแล้ว” นางเอ่ยตะกุกตะกัก

“เช่นนั้นคราวหน้าก็ไปแต่เช้า หากต้มน้ำแกงจะขาดรสชาติ” สาวใช้ตอบ

แม่นมก้มหน้าขานรับมองดูสาวใช้เดินหันหลังกลับเข้าเรือนไป

“นางอยากได้อะไรก็ซื้อให้นาง” ฮูหยินโจวรู้เรื่องแล้วกลับรู้สึกเฉยชา “ก็แค่จ่ายเงินไม่ใช่หรือ เงินแค่นี้จะเป็นอะไรไป เราไม่ใช่พวกไม่เคยเห็นเงินเหมือนตระกูลเฉิงเสียหน่อย จะกินจะดื่มอะไรก็เอาแค่คอยเจียวเจียวร์ของเรา เงินน่ะ…”

นางพูดถึงเพียงเท่านี้ก็วางกระจกในมือลง ก่อนจะหันหน้าออกจากโต๊ะเครื่องแป้งไปมองนายใหญ่โจวที่ดื่มชาอยู่ในทันที

“นายใหญ่ เงินหมื่นก้วนนั้นหากให้เจียวเจียวร์ถือไว้คงไม่ดีหรอกกระมัง” นางถาม

หนึ่งหมื่นก้วน!

นายใหญ่โจววางมือลง หลายวันที่ผ่านยุ่งจนลืมเรื่องนี้ไปเสียหมด

เงินเยอะขนาดนั้นจะให้เด็กถือไว้ได้อย่างไรกัน

นอกเมืองหลวง ณ หมู่บ้านซ่งเจีย แม้จะเป็นปลายเดือนแล้วแต่อากาศยังคงหนาวเหน็บ

เสียงไอกระแอมดังขึ้นในเรือนหลังโทรม

“ชายใหญ่ ท่านออกมาทำไมกัน” คนเป็นภรรยาสะพายตะกร้ารีบเดินเข้ามาในบ้านเมื่อเห็นชายหนุ่มยืนอยู่ที่หน้าประตู

“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว เอาแต่นอนเช่นนั้นไม่ดีหรอก” หลี่ต้าเสาตอบ สายตามองออกไปที่ลานกว้าง “ใกล้ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว งานเพาะปลูกไม่อาจล่าช้าได้”

หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะพยุงเขาให้นั่งลง

“ถึงตอนนั้นแล้วค่อยเช่าวัวมาสักตัว ข้าจะขอคนจากบ้านแม่ข้ามาช่วย ท่านอย่ากังวลไปเลย” นางตอบ

หลี่ตาเสาถอนลมหายใจยาว

“เจ้าอย่ามาหลอกข้าเลย เรามีเงินเสียที่ไหน พี่น้องบ้านแม่เจ้าจะยอมมาช่วยได้อย่างไร ตอนเจ้าไม่ขอยืมเงิน ไม่ใช่ว่าร้องไห้กลับมาหรือ” เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา

หญิงสาวขอบตาเริ่มแดง

“ถึงอย่างนั้นท่านก็อย่ากังวลไปเลย อย่างไรก็ต้องมีทางออก ท่านดูสิอย่างน้อยอาการป่วยของท่านก็ดีขึ้นแล้ว” นางเอ่ย

“เป็นเพราะเจอคนจิตใจดี” หลี่ต้าเสาพูดพลางมองออกไปนอกประตู “จำชื่อแซ่ของผู้มีพระคุณได้หรือไม่”

นางพยักหน้ารับ

“จำได้ เป็นผู้มีความสามารถ ที่อยู่มาได้จนถึงทุกวันก็ต้องขอบคุณเขา รอวันที่เขาได้เป็นใหญ่เป็นโต เราค่อยไปขอบคุณเขา” นางตอบ

พูดถึงเพียงเท่านี้ก็รู้สึกเศร้าโศกขึ้นมา

พวกเขาจะขอบคุณเขาได้อย่างไรกัน เรือนหลังนี้ช่างคับแคบนักจะอยู่รอดพ้นถึงฤดูใบไม้ผลิหรือไม่ก็ยังรู้เลย

บรรยากาศหม่นหมองขึ้นมาในทันใด

“ใช่สิ ชายใหญ่ หอจุ้ยเฟิ่งปิดแล้วนะ ได้ข่าวว่าย้ายไปที่อื่นน่ะ” หญิงสาวรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา แต่พอพูดถึงก็เศร้าหมองอีกครั้ง

เหตุใดถึงพูดได้อย่างหน้าชื่นตาบาน!

สีหน้าหลี่ต้าเสาโศกเศร้าขึ้นมาในทันใด

“อย่างนั้นหรือ” เขาเอ่ยพึมพำ

“แต่ดูเหมือนว่าจะถูกขาย” หญิงสาวรีบพูดขึ้น “เห็นว่ามีคนย้ายเข้ามาตั้งหลายคน”

“อย่างนั้นรึ” หลี่ต้าเสาฝืนยิ้มออกมา “ไม่รู้ว่าจะเปิดเป็นร้านอาหารไหม”

ถึงจะเปิดเป็นร้านอาหารหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับพวกเขาอยู่ดี

ภายในบ้านเงียบสงัดลงอีกครั้ง สองสามีภรรยาไม่มีอารมณ์จะต่อบทสนทนาอีกต่อไป เอาแต่จ้องมองออกไปที่นอกประตู

……………………………………………………………….