เหล่าญาติพี่น้องในหมู่บ้านไปมาหาสู่กันช่วงเทศกาลปีใหม่ หากใครมีม้าขี่มาก็ถือว่าฐานะไม่เลวแล้ว แต่รถม้าเช่นนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่รู้ว่าเป็นญาติพี่น้องบ้านใดกัน

สองสามีภรรยาหลี่ต้าเสาจ้องมองรถม้าที่จอดอยู่หน้าประตูเรือนของตน

พลขับรถแหวกม่านออก หญิงสาวสวมชุดสีสันสดใสเข้ากับเทศกาลก้าวลงรถมา

ท่ามกลางฤดูหนาวของหมู่บ้านในชนบทอันคร่ำครึ ราวกับกระดาษขาวที่จู่ๆ ก็ถูกแต้มด้วยหมึกเข้ม แววตาของสองสามีภรรยาหลี่ต้าเสาเป็นประกายขึ้นมาในทันใด

สาวใช้เหลียวซ้ายแลขวาราวกับกำลังตรวจสอบอะไรสักอย่าง

คงจะเป็นคนที่ผ่านมาถามทางกระมัง

สองสามีภรรยาหลี่ต้าเสาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเห็นว่าสาวใช้กำลังส่งยิ้มให้แก่พวกเขา

“ข้านึกว่าตัวเองจำผิดเสียแล้ว” สาวใช้ยิ้มพลางเดินเข้าประตูมาก่อนจะคำนับ “พี่สะใภ้จำข้าได้หรือไม่”

แน่นอนว่าจำได้ นางคือสาวใช้ที่มากับผู้มีพระคุณแถมยังเป็นคนเชิญหมอมารักษาอีกด้วย พระคุณเช่นนี้ ใครจะกล้าลืมลง

สองสามีภรรยารีบร้อนลุกขึ้น

“เจ้า..เจ้าคือพี่สาวที่มากับท่านชายผู้นั้น…” คนเป็นภรรยาเอ่ยขึ้นในทันใด

สาวใช้พยักหน้ารับพลางยื่นห่อของขวัญที่อยู่ในมือให้

สองสามีภรรยายกมือขึ้นทำท่าไม่รับ

“จะรับไว้ได้อย่างไร จะรับไว้ได้อย่างไร” พวกเขาเอ่ยอย่างร้อนใจ

“นี่เพิ่งจะเดือนแรกของปีใหม่เอง ปีใหม่ทั้งทีจะมามือเปล่าได้อย่างไรกันเล่า” สาวใช้เอ่ยพลางยิ้มแล้ววางห่อของขวัญลง

สองสามีภรรยาหลี่ต้าเสายังคงมึนงงจนไม่รู้จะพูดอะไร พวกเขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบสละที่นั่งให้สาวใช้นั่ง ภายในใจก็คิดว่าบ้านของตนนั้นช่างคับแคบเสียเหลือเกิน

“ไม่ต้องนั่งก็ได้จ้ะ ที่ข้ามาในวันนี้เพราะมีคนไหว้วานมา มีเรื่องขอร้องให้พี่ใหญ่ช่วย” สาวใช้เอ่ย

“ได้สิ ขอแต่พี่สาวเอ่ยปาก” หลี่ต้าเสารีบพยักหน้ารับ

คนสนิทของท่านชายผู้นั้นคงไม่ใช่คนเลวร้ายเป็นแน่ อีกอย่างพวกเขาเองก็ตกอยู่สภาพเช่นนี้แล้ว จะมีผู้ใดมารังแกพวกเขาได้มากกว่านี้อีก

สองสามีภรรยาประหลาดใจยิ่งนัก

“พวกเจ้าเป็นคนซื้อร้านนั้นรึ” พวกเขาถามเป็นเสียงเดียวกัน

“ไม่ใช่พวกข้าหรอกแต่เป็นคนรู้จัก พวกเขาเป็นคนต่างถิ่น ไปทำงานหาเงินแถบตะวันตกเฉียงเหนือเพิ่งจะกลับมาไม่นาน เป็นสหายผู้ชายหลายคน ไม่รู้ว่าจะทำมาหากินอะไรดี ก็เลยคิดว่าจะซื้อร้านเลี้ยงชีพตัวเอง” นางเอ่ยพลางยิ้ม

สองสามีภรรยาร้องด้วยความทึ่ง ว่าแต่เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับพวกเขากัน

“พวกเขาไม่คุ้นเคยกับที่นี่ ก็เลยวานให้ข้าช่วยหาพ่อครัว ข้าก็เลยนึกถึงพี่ใหญ่ ท่านชายหันบอกว่าท่านเคยเป็นพ่อครัวมาก่อน ไม่รู้ว่าท่านจะตกลงไหม” นางเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

สองสามีภรรยาหลี่ต้าเสาตกตะลึง

นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น

กำลังเป็นทุกข์กังวลเรื่องปากท้องของครอบครัวอยู่ จู่ๆ ก็มีคนหางานมาให้ทำถึงที่

ท่านชายหัน…

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะท่านชายหันต้องการช่วยเหลือพวกเรา จะหาพ่อครัวสักคนสำหรับเขาเป็นเรื่องยากเสียที่ไหน

“ขอบพระคุณยิ่งนัก” สองสามีภรรยาหลี่ต้าเสากล่าวเสียงสั่นเครือ ขอบตาแดงก่ำ พร้อมก้มคำนับในทันที

มีคนอุปถัมภ์ค้ำชูเช่นนี้ พวกเขาจะตอบแทนอย่างไรดี

หิมะตกโปรยปรายจากฟากฟ้าตั้งแต่ตอนที่สาวใช้ถูมือก้าวเข้าประตูเรือนแล้ว

ภายในห้องมีเสียงของเด็กผู้หญิงลอยออกมา

“เสียดายที่พี่สาวป่วย ไม่ได้ไปดูงานเทศกาลโคมไฟ ข้ากับท่านปู่ไปดูด้วยกันมา คึกคักมากเลย…”

สาวใช้ที่อยู่ด้านนอกเห็นนางเข้ามาก็รีบคำนับแล้วเปิดประตูให้

เฉินตันเหนียงกำลังถือโคมไฟดวงน้อยที่แสนประณีตงดงามยืนอยู่ในห้อง

“ดูสิ ข้าตั้งใจซื้อมาให้ท่านด้วยนะ ชอบไหม” นางเอ่ยถาม

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าพร้อมขานรับ

สาวใช้ขยับเข้ามาใกล้แล้วรับโคมดวงนั้นไว้

“สวยมากจริงๆ เจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยชม

แม่นมที่อยู่ด้านข้างเตือนเฉินตันเหนียงว่าควรกลับได้แล้ว ทว่าเฉินตันเหนียงยังไม่อยากกลับ แต่ก็นึกถึงคำที่คนในบ้านกำชับกับนางไว้จึงได้ลุกขึ้นแล้วออกจากห้องไป

“ถ้าพี่สาวหายดีแล้ว ไปเล่นที่เรือนข้ากัน” นางเอ่ย

“ข้าหายดีแล้ว อย่าได้เป็นห่วง” เฉิงเจียวเหนียงตอบกลับ

สาวใช้ออกไปส่งพวกนางด้วยตนเอง มองดูรถม้าจากไปแล้วถึงจะกลับเข้ามา

“นายหญิง ข้าไปดูมาแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” นางนั่งลงก่อนจะเอ่ยพลางยิ้ม “พวกท่านชายย้ายเข้าไปอยู่เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

พอพูดถึงเรื่องนี้นางก็อดจะบ่นออกมาไม่ได้

“โต้วซีผู้นั้นทำเกินไปจริงๆ ขนของออกจากร้านเสียจนหมดเกลี้ยง หากทำได้คงยกเสาออกไปด้วยแล้วกระมัง” นางเอ่ย

เฉิงเจียวเหนียงยกยิ้มมุมปาก

“ก็ไม่แปลก” นางกล่าว

“ช่างไม้ต่อเติมตามที่นายหญิงร้องขอแล้วเจ้าค่ะ ท่านชายสามบอกว่าวันที่สิบห้าเดือนสองก็น่าจะเสร็จแล้ว” สาวใช้พูด

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้ารับ

“หลี่ต้าเสาก็รับปากแล้ว ข้าไม่ได้ตามไปด้วย ข้าคิดว่าตอนนี้เขาคงไปพบพวกท่านชายแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้พูดต่อ

“ต้องทำอย่างไร เจ้าบอกกล่าวกับท่านชายสามแล้วใช่หรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงถาม

สาวใช้ขานรับ

“ข้าบอกตามคำของนายหญิงแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ยามพลบค่ำ รถม้าขบวนหนึ่งวิ่งเร็วปานลมกรดบนถนนใหญ่ พลขับที่บังคับม้าสองตัวหน้ามองไปยังข้างทางด้วยความแปลกใจ

“แปลกจริง หอจุ้ยเฟิ่งไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกหรือ” คนหนึ่งถามขึ้นพร้อมหันไปมองร้านอาหารที่ว่างเปล่าที่แม้แต่ประตูก็เปิดแง้มแค่ฟากเดียว

ไม่มีควันไฟ ไม่มีผู้คนครื้นเครง เงียบเหงาโหวงเหวง

“ปิดไปแล้ว” ชายชราที่จูงวัวผ่านมาได้ยินจึงตะโกนบอก

“ปิดไปแล้วอย่างนั้นหรือ” คนบนหลังม้าตกใจในทันที

“ย้ายไปอยู่ในเมืองหลวงแล้ว รวยแล้ว” ชายชราพูดต่อพลางมองพวกเขาหัวจรดเท้า “มีลูกค้าเป็นเศรษฐีมีเงินแบบพวกเจ้า จะไม่ให้รวยได้อย่างไร…”

เขาบ่นตัดพ้อพึมพำ ทั้งอิจฉาทั้งริษยาก่อนจะส่ายหน้าแล้วจูงวัวเดินจากไป

เป็นเช่นนี้นี่เอง ทั้งสองกลับลำม้า

“จวิ้นอ๋อง” พวกเขาควบม้ากลับก่อนจะหยุดที่หน้ารถม้าแล้วพูดว่า “หอจุ้ยเฟิ่งปิดแล้วขอรับ”

“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องแวะแล้ว เข้าเมืองเลย”

เสียงก้องกังวาลของเด็กหนุ่มลอยออกมาจากในรถ

รถม้าควบไปอย่างรวดเร็วบนถนนสายหลัก จนฝุ่นดินฟุ้งไปทั่ว

สวีปั้งฉุยเดินออกมาจากประตูแล้วมองไปรอบๆ จ้องมองขบวนรถม้าที่ผ่านไป

“ที่นี่ทำเลไม่เลว คนสัญจรไปมาไม่น้อย” เขาเอ่ย

หลี่ต้าเสาเดินตามออกมา ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าตาม

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ถึงจะอยู่ใกล้เมืองหลวง แต่ว่าใกล้หรือไกลนั้นไม่สำคัญนัก ขอแค่มีฐานลูกค้าดี” เขาเอ่ย แม้จะดูซีดเซียวไปบ้างเพราะเพิ่งหายป่วย แต่ทว่าสภาพจิตใจนั้นดีขึ้นมาก

“ที่สำคัญคืออาหารต้องอร่อย” สวีเม่าซิวพูดพลางมองหลี่ต้าเสาด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นแล้วต่อไปคงต้องรบกวนพ่อครัวใหญ่หลี่แล้วล่ะ พี่น้องพวกข้าไม่รู้เรื่องพวกนี้เอาเสียเลย”

หลี่ต้าเสารีบคำนับอย่างเกรงใจ

“นายท่าน ข้าจะตั้งใจทำสุดกำลังอย่างแน่นอน” เขาตอบ

สวีเม่าซิวพยักหน้ารับ

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง พูดไปข้าก็ละอายใจอยู่ไม่น้อย” จู่ๆ เขาก็เอ่ยปากขึ้นมา

ยังมีอะไรอีกอย่างนั้นหรือ

วันนี้เรื่องไม่คาดฝันยังเกิดขึ้นไม่พอหรือ

“นายท่านอย่าได้เกรงใจ ขอแค่เอ่ยปากมา” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม

สวีเม่าซิวไม่ยอมพูดแต่กลับชี้ไปที่ห้องโถงที่อยู่อีกฟากหนึ่ง

“มา เรามานั่งคุยกันดีกว่า” เขาเอ่ยขึ้น

เมื่อหลี่ต้าเสากลับถึงบ้านฟ้าก็มืดเสียแล้ว คนเป็นภรรยาอุ้มลูกชะเง้อคอรอเขาอยู่นาน

“เป็นอย่างไรบ้าง เป็นเรื่องจริงใช่ไหม” นางรีบร้อนถาม

“ท่านชายหันผู้มีพระคุณเป็นคนแนะนำให้จะไม่จริงได้อย่างไร” หลี่ต้าเสาพูดพลางยื่นมือออกไปรับลูกมา “เจ้ารีบไปทำกับข้าวเถอะ กินข้าวก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

ภรรยาเองก็ไม่ได้พูดต่อก่อนจะรีบไปทำอาหารในทันใด แต่ก่อนฐานะของบ้านตระกูลหลี่ก็ถือว่าไม่เลวเลยเมื่ออยู่ในหมู่บ้านนี้ แต่พอเขาล้มป่วยบวกกับไม่มีงานทำ ทำให้ตอนนี้ลำบากยากแค้นนัก บนโต๊ะอาหารจึงมีเพียงแค่น้ำแกงผักที่ต้มรวมกับก้อนแป้ง

เหมือนกับครอบครัวอื่นๆ ที่ภรรยาไม่มีสิทธิ์ร่วมโต๊ะอาหาร ต้องรอสามีและแม่สามีกินให้เสร็จเสียก่อน ตัวเองก็ต้องป้อนข้าวให้ลูก จึงได้แต่รีบร้อนกินให้เสร็จในครัว

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ พวกเขาเป็นใครกัน จะเปิดร้านอาหารจริงๆ หรือ” นางจัดเก็บของเสร็จแล้วจึงเดินเข้าห้องมาถามในทันที

หลี่ต้าเสาที่นั่งอยู่ใต้ตะเกียง จ้องมองกระดาษในมือ

“นี่คือหนังสือหรือ” ภรรยาถาม

หลี่ต้าเสาพยักหน้ารับ

“มีตราประทับวิชาชีพ” เขาเอ่ยตอบ

ผู้เป็นภรรยาดีใจเป็นอย่างมาก ยกสองมือขึ้นประนมท่องพระธรรม

“แต่ว่าพวกเขาไม่เหมือนคนที่จะเปิดร้านอาหารเลย” หลี่ต้าเสาเอ่ยพลางส่ายหน้า “เหมือนทหารเสียมากกว่า”

“ก็ไม่แน่นะ พี่สาวคนนั้นบอกว่าพวกเขาเพิ่งกลับมาจากทางตะวันตกเฉียงเหนือไม่ใช่หรือ” ภรรยาตอบพลางดึงด้ายยาวแล้วเริ่มเย็บผ้า “พวกเขาซื้อร้านอาหาร ตั้งใจค้าขาย ท่านแค่ทำอาหารให้อร่อยก็พอแล้ว”

หลี่ต้าเสาพยักหน้า

“เมื่อไหร่จะเปิดร้าน” ภรรยาคลายกังวลลงไม่น้อย รู้สึกว่าชีวิตเริ่มมีหนทาง จะเย็บปักถักร้อยก็รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ

“กำลังต่อเติมร้านอยู่ อีกครึ่งเดือนก็เสร็จแล้ว” หลี่ต้าเสากล่าว “เท่าที่ข้าเห็นก็ดูลงแรงไปไม่น้อย เปลี่ยนใหม่หมดทุกอย่างเลย ในห้องก็มีลายดอกไม้ ไม่รู้ว่าดอกอะไรเหมือนกัน แต่ละห้องก็ลายไม่เหมือนกัน สวยมาก”

ภรรยาวางใจยิ่งกว่าเดิม

ภายในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง ภรรยาเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าชายหนุ่มยังคงจ้องมองหนังสือสัญญาในมือ

“จะดูอะไรอีก ท่านอ่านหนังสือออกที่ไหนกัน” นางยิ้มเอ่ย “ตัวอักษรท่านท่องจำได้หรือยัง”

“ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่สำหรับข้าหรอก” หลี่ต้าเสาพูด

………………………………………………………