บทที่ 164 ฉิงเชินอยู่ในอันตราย

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 164 ฉิงเชินอยู่ในอันตราย

เมื่อจ้าวฮั่นพบการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย เขาไม่ได้มีท่าทีต่อต้านอย่างชุนเต๋าหรือฟางยี่แต่อย่างใด ดูเหมือนว่าเขานั้นค่อนข้างจะดีใจด้วยซ้ำ

“ฮี่ฮี่ฮี่ จ้าวฮั่น เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมข้านั้นถึงยอมเปลี่ยนขยะเช่นเจ้า”

จ้าวฮั่นทำความคุ้นเคยกับทักษะใหม่อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “ก็คงจะหนีไม่พ้นการที่ข้าคือหลานสุดที่รักของจ้าวหยางสินะ ไม่ใช่ว่าพวกมนุษย์กลายพันธุ์ต้องการข้อมูลของพวกมนุษย์มาตลอดไม่ใช่รึไงกัน”

“ด้วยสถานะของข้า ข้าสามารถหาข้อมูลดีๆให้เจ้าได้ใช่ไหมล่ะ”

ท่าทางของจ้าวฮั่นนั้นได้สร้างความประหลาดใจให้หลินฟานอย่างมาก

แต่เขาก็ไม่อาจจะปฏิเสธคำพูดเหล่านี้ได้

“จ้าวฮั่น ในเมื่อเจ้ารู้แล้วก็ดี ตอนนี้เหลือเพียงแค่ครึ่งเดือนเพียงเท่านั้น และเมื่อถึงเวลานั้นพวกเราจะถูกดีดออกจากที่นี่”

“ตอนนี้ ข้าขอมอบภารกิจให้เจ้าหาเฉินเฉียงที่อยู่ในสำนักเจ้าและเว่ยฉิงเชินแห่งสำนักวิหคอสนีบาตอย่างสุดความสามารถ หลังจากนั้นข้าจะเปลี่ยนหนึ่งในพวกมันกลายเป็นพวกของเรา”

“เจ้าเข้าใจหรือไม่”

“โฮ่ เฉินเฉียงเหรอ” จ้าวฮั่นตาเป็นประกายในทันที “เยี่ยม ข้ายอมรับภารกิจนี้”

หลินฟานค่อนข้างจะแปลกใจท่าทางของจ้าวฮั่นไม่น้อย แต่กระนั้น เขาก็ได้ผายมือไล่จ้าวฮั่นในทันที

เมื่อเห็นท่าทางของจ้าวฮั่นนี้ เฉินเฉียงนั้นบ่งบอกได้เลยว่าเขาไม่เพียงจะไม่ปฏิเสธมนุษย์กลายพันธุ์ ออกจะภูมิอกภูมิใจเสียด้วยซ้ำ

และที่น่าจงเกลียดจงชังยิ่งกว่าสิ่งใดคือเขายินดีที่จะช่วยหลินฟานอย่างเต็มใจ คนคนนี้คืออาชญากรของมนุษยชาติอย่างแท้จริง

สายตาของเฉินเฉียงเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยียบในขณะที่มองจ้าวฮั่นจากไป ความจริงแล้วเขานั้นต้องการที่จะเข้าไปฆ่าจ้าวฮั่นเสียตอนนี้เลยด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะไม่ทำ

นั่นก็เพราะหากเขาเคลื่อนไหวมากไปอาจสร้างความสงสัยให้กับหลินฟานได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือเขานั้นยังต้องติดตามหลินฟานก่อน

ตอนนี้ยังเหลืออีกสิบกว่าวันกว่างานประลองจะจบสิ้น ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ศิษย์สี่สำนักกว่าครึ่งถูกขับออกจากมิติประลอง และแต้มคะแนนส่วนใหญ่ในตอนนี้ตกอยู่ในมือของเหล่านักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณขั้นกลาง

แต่คะแนนของเฉินเฉียงนั้นไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

เว่ยหยวนตี้และเฉียนฝู่ถอนลมหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ นั่นก็เพราะพวกเขาได้เห็นว่าอันดับของเฉินเฉียงนั้นหลุดจากผังอันดับสิบตำแหน่งแรก

“พี่เฉียน การประลองนี้ใกล้จะจบลงแล้ว ดูเหมือนว่าเฉินเฉียงจะไม่อาจรั้งตำแหน่งหนึ่งในสิบไว้ได้”

“ที่ทำได้คงเพียงหวังว่าเฉินเฉียงจะออกจากมิติประลองเท่านั้น”

“ไม่อย่างนั้นละก็ ข้ากลัวว่าเขานั้นจะไม่อาจอยู่ถึงหมดเวลาประลอง และเขาจะได้เพียงแค่ศูนย์แต้มคะแนนเท่านั้น”

เฉียนฝู่สบถออกมาเบาๆ “ไอ้เด็กนี่ ข้าอุตส่าห์ฝากความหวังไว้ เฮ้อข้าอยากจะรู้จริงๆว่าในช่วงสามเดือนนี่เด็กนั่นทำอะไรกันแน่”

“ฮี่ฮี่ฮี่ พี่เฉียนอย่าพึ่งรีบถอดใจไป พี่ไม่เห็นหรือว่ามีศิษย์มากมายที่ออกมาจากมิติประลองน่ะ แม้แต่อันดับหนึ่งแห่งสำนักมังกรอาชูร่าอย่างเจิ้งยี่ยังโดนดีดออกมาเลย ข้าว่าเฉินเฉียงน่าจะคอยหลบและหาโอกาสแย่งชิงแต้มคะแนนมากกว่า”

หลัวเฟิง ผอ.แห่งสำนักเสือขาวได้แสดงออกมาด้วยท่าทางยืดอกและกระหยิ่มยิ้มย่อง

นั่นก็เพราะอันดับหนึ่งในตารางอันดับนั้น ตอนนี้คือหลินฟานแห่งสำนักเสือขาว

ถึงแม้ว่าเจิ้งยี่แห่งสำนักมังกรอาชูร่าจะออกมาจากมิติประลองแล้วก็ตาม แต่เขานั้นยังคงรักษาอันดับสองเอาไว้ได้และยังอยู่ห่างจากอันดับสามอย่างเว่ยฉิงเชินอยู่ถึงสามพันแต้มคะแนน

หากไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมาย เมื่อจบการประลองแล้ว เจิ้งยี่สมควรจะได้ที่สองในการแข่งครั้งนี้

ในตอนนี้ ซุนไค ผอ.แห่งสำนักมังกรอาชูร่าได้มีสีหน้าที่บึ้งตึง

เมื่อตอนที่เจิ้งยี่ออกมาจากมิติประลองเมื่อสองวันก่อน ไม่ว่าซุนไคจะถามอะไรไปมากมายไปขนาดไหนก็ตามเขาก็ไม่ได้คำตอบอะไรมา แถมเจิ้งยี่นั้นราวกับเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน เขานั้นทำเพียงมองชื่อหลินฟานที่อยู่อันดับหนึ่งบนจอแสดงผลเพียงเท่านั้น และเขาก็จ้องมองมันด้วยสายตาที่ว่างเปล่า

เมื่อเห็นฉากนี้แล้ว ซุนไคไม่คิดจะโทษเจิ้งยี่อีกต่อไป เขานั้นเปลี่ยนเป็นกล่าวชมเจิ้งยี่แทนเสียด้วยซ้ำ

แต่ถึงกระนั้น เจิ้งยี่ก็ไม่ตอบโต้อะไรเขาเลยสักคำ

หากเป็นแบบนี้แต่ไปละก็…คงไม่ใช่ว่าอัจฉริยะอันดับหนึ่งของรุ่นแห่งสำนักมังกรอาชูร่าจะจบสิ้นแล้วหรอกนะ

เมื่อเหล่าผู้บริหารแต่ละสำนักเห็นศิษย์ในสำนักตนทยอยออกมาทีละคนสองคน พวกเขาต่างก็ส่ายหัวและถอดถอนลมหายใจออกมา

“เฮ้อ เท่าที่ดูนี่ข้าว่าก่อนที่จะประลองสี่สำนักจะจบลง ศิษย์สี่สำนักคงจะออกมาจากมิติหมดก่อนซะกระมัง”

“ท่านเว่ยอย่าได้กังวล ข้าได้ยินมาว่าศิษย์จำนวนมากที่หนีออกมานั้นเป็นเพราะถูกไล่ตามโดยสัตว์ประหลาดระดับนายพลขั้นสูงสองตัวนั่น มันจะดีกว่าหากว่าพวกเรานั้นไม่รีบด่วนตัดสินใจไป”

ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่นั้นจะถูกหลินฟานแห่งสำนักเสือขาวฆ่ามาก็ตาม หลินฟานคนนี้ดูเหมือนจะมีความสามารถที่สูงล้ำ แม้แต่ระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางด้วยกันก็ยังต้องยอมทิ้งอาวุธและยอมแพ้ด้วยตัวเอง

“ไม่เช่นนั้นเหตุการณ์นี้ก็คงไม่เป็นแบบนี้”

“อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าในตอนนี้ยังมีศิษย์อยู่ในมิติอีกห้าร้อยกว่าคนเลยนา”

“ข้าก็หวังเป็นเช่นนั้น” เว่ยหยวนตี้ได้มองไปที่คะแนนของเฉินเฉียง หากว่าเขานั้นไม่สามารถทำคะแนนอีกสองร้ายกว่าแต้ม เขาจะอยู่เพียงแค่อันดับที่สิบเอ็ดเพียงเท่านั้นถึงจะพอจะติดหนึ่งในสิบได้

ในหมู่นักเรียนที่ยังคงอยู่ในมิติประลองนั้นส่วนใหญ่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นกลาง สำหรับนายพลวิญญาณขั้นต้นนั้น ในตอนนี้ที่พอจะทำได้ก็มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

การซ่อนตัว

พวกเขานอกจากต้องหลบซ่อนตัวจากสัตว์ประหลาดระดับขุนพลขั้นกลางและสูงแล้ว ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ต้องหลบนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางที่จะโผล่มาเอาชีวิตเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ในความเป็นจริงแล้ว ตราบใดที่เหล่านักรบระดับนายพลวิญญาณขั้นต้นนั้นพบเจอศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าก็สามารถกดปุ่มบนบัตรประจำตัวเพื่อออกจากมิติประลองเมื่อไหร่ก็ได้

และในช่วงสิบกว่าวันที่เหลือนี้ต่อให้ต้องเจอสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่ง แต่ศิษย์เหล่านี้ก็ยังมีเพิ่มแต้มคะแนนให้กับสำนักของตนได้ไม่มากก็น้อย แต่ที่แน่ๆคือพวกเขานั้นจะสามารถมากรักษาคะแนนไว้ได้ ต่อให้ไม่ติดอันดับรวมแต่ก็ยังเป็นคะแนนให้กับสำนักได้อยู่ดี แล้วทำไมพวกเขาจะไม่ทำ

แน่นอนว่านี่ทำให้ระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางทุกคนออกมาแล้ว ยกเว้นก็เพียงเฉินเฉียงเพียงเท่านั้น

เฉินเฉียงนั้นเมื่อได้รับรู้มากเท่าไหร่ว่าเวลาเหลือน้อยเท่าไหร่ เขาก็ยังจับจ้องอยู่กับหลินฟานและยิ่งติดตามชนิดใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

แต่ในที่สุดแล้ว ฉากที่เขานั้นไม่อยากจะให้เกิดมากที่สุดก็ได้เกิดขึ้นในขณะที่เหลือเพียงแค่หกวันเพียงเท่านั้น

เว่ยฉิงเชินถูกพบว่าอยู่กับนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางคนอื่น

เธอนั้นเป็นนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงเพียงคนเดียวในมิติแห่งนี้

อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงนั้นรู้ดีว่าหากว่าเขานั้นลงมือ เขาสามารถทำให้เว่ยฉิงเชินออกจากมิติประลองได้ และเหลือเพียงหลินฟานไว้เพียงเท่านั้น

โดยเฉพาะด้วยเวลาที่เหลืออยู่ตอนนี้ หลินฟานนั้นยิ่งร้อนรนมากขึ้นเรื่อย เพราะเขานั้นยังมีแผ่นแก่นพลังงานที่ยังไม่ได้ใช้ และเขายังไม่พบเป้าหมายของเขา

ถึงแม้ว่าเขานั้นจะพบแล้วว่ามีใครบางคนติดตามเขาแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ

แต่ไม่คิดหวังว่าในที่สุดแล้ว เขาก็ได้พบกับเว่ยฉิงเชินอย่างคาดไม่ถึง

“ฮ่าฮ่าฮ่า”

ที่ระยะทางห่างจากเว่ยฉิงเชินไปร้อยเมตร หลินฟานหัวเราะออกมาอย่างหมดหัวใจ

เว่ยฉิงเชินนั้นไม่ได้เห็นหลินฟานอยู่ในสายตา เพราะว่าเธอนั้นมีระดับการบ่มเพาะที่มากกว่า

“หลินฟาน เจ้านั้นสมควรจะมีแต้มคะแนนอยู่มากโขเลยสินะ” เว่ยฉินเชิงได้เล่นผ้าไหมแดงในมือไปมาในขณะที่จ้องมองไปยังหลินฟานอย่างมีนัย พลางปลดปล่อยเกราะพลังงานสีฟ้าออกมาเคลือบร่างกายและปล่อยให้มันหมุนวนไปรอบตัว

“โฮ่… นายพลวิญญาณขั้นสูงงั้นเหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า สมแล้วที่มีร่างกายกระจ่างจิต ฮ่าฮ่าฮ่า ต่อให้ได้เจ้ามาคนเดียวก็เพียงพอที่จะทดแทนคนอื่นได้จนหมดแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า”

เมื่อเห็นระดับการบ่มเพาะของเว่ยฉิงเชินที่แสดงให้ดูนั้น ไม่เพียงหลินฟานจะไม่รู้สึกกลัว เขานั้นกลับหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งและมากขึ้นเรื่อยๆตามระดับ