บทที่ 165 ศึกสามด้าน

เว่ยฉิงเชินไม่คิดว่าหลินฟานจะกล้าลงมือกับเธอ

-หรือความจริงแล้วหลินฟานแกร่งกว่าข้ากันนะ-

-ไม่อย่างนั้นแล้วด้วยระดับการบ่มเพาะของข้าที่มาถึงระดับขั้นสูงนี่แล้วทำไมถึงยังกล้าที่จะสู้กันล่ะ-

“เว่ยฉิงเชิน ไม่ใช่ว่าเจ้านั้นต้องการแต้มคะแนนของข้าอย่างนั้นหรอกรึ ให้ข้าบอกเจ้าตรงๆเลยนะว่าข้านั้นมีแต้มคะแนนกว่าห้าหมื่นหกพันแต้ม เป็นไง เจ้าสนใจรึเปล่า”

“หากว่าเจ้าสนใจล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นก็เข้ามา ข้าจะรอให้เจ้าเข้ามาหาอย่างไม่แหนงหนี”

“เจ้านั้นเป็นถึงระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงเลยนา รึเจ้านั้นกลัวข้ากันหนอ”

เมื่อได้ยินคำพูดยั่วยุเว่ยฉิงเชินแบบนี้แล้ว เฉินเฉียงเองก็อดรนทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม หากว่าเขาบังคับให้เธอออกไปจากมิติประลองแห่งนี้ ฉิงเชินต้องเกลียดเขาแหงๆ เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว เขาก็ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ให้กลายเป็นหลิวหลางแห่งเกาะเทียนลี่ในทันที พร้อมธนูดำที่อยู่ในมือ

เป็นตอนนี้ที่เว่ยฉิงเชินผู้ซึ่งได้สดับรับฟังคำพูดยั่วเย้าของหลินฟานจึงทำให้เธอนั้นโกรธขึ้นมาจนได้ในที่สุด

เว่ยฉิงเชินผู้ซึ่งเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักวิหคอสนีบาต ด้วยการที่เธอนั้นแข็งแกร่งกว่าศิษย์คนใดในมิติแห่งนี้ มีหรือที่เธอจะปล่อยให้หลินฟานมาพูดปากดีกับเธอแล้วเธอจะปล่อยมันไป

“หลินฟาน เจ้า…. สม ควร ตายยยย”

ด้วยการที่เธอนั้นมั่นใจตัวเองอย่างมาก เธอจึงเป็นฝ่ายเปิดก่อน

ในที่สุดหลินฟานก็ทำได้สำเร็จ

เมื่อเห็นว่าคนอื่นที่อยู่กับเว่ยฉิงเชินออกจากมิติประลองไปหมดแล้ว เขานั้นเพียงต้องทำให้เธอนั้นอ่อนแรงลงเพียงเล็กน้อย นั่นก็เพียงพอที่เขานั้นจะฝังแผ่นแก่นพลังงานใส่หัวของเว่ยฉิงเชินในขณะที่สู้กันในระยะประชิด เพียงเท่านี้ ภารกิจของเขาก็จะลุล่วง

เมื่อเห็นว่าผ้าไหมแดงในมื่อของเว่ยฉิงเชินสะบัดมาที่ตนอย่างโหดร้ายพร้อมกับพลังแห่งสายลมและสายฟ้า หลินฟานได้หัวเราะอย่างบ้าคลั่งและโจนทะยานขึ้นไปด้านบนพร้อมทั้งดาบในมืออย่างไม่แหนงหนี และสับลงไปบนแขนของฉิงเชินในทันที

ฉากนี้เฉินเฉียงเห็นมามากมายหลายครั้งแล้ว

หลินฟานนั้นต้องการตัดทางหนีของเว่ยฉิงเชินก่อนจึงจะบังคับใส่แผ่นแก่นพลังงานบนหัวของเธอ

เมื่อเห็นฉากนี้ ธนูพลังงานของเฉินเฉียงที่ง้างไว้อยู่นานแล้วได้พุ่งตรงไปประดุจดั่งประกายสายฟ้าและตัดไปที่ปลายดาบของหลินฟานในทันที

ด้วยการที่มันเกิดขึ้นเร็วมาก หลินฟานทำได้เพียงมองมายังทิศทางที่เฉินเฉียงโจมตีออกมาด้วยสายตาเย็นยะเยียบ

ในตอนนี้ เฉินเฉียงไม่ต้องหลบซ่อนตัวอีกต่อไป เขานั้นปรากฏกายอยู่ห่างจากคนทั้งสองเพียงสิบเมตรในชั่วพริบตา

หลินฟางมองไปยังเฉินเฉียงด้วยสายตาเย็นยะเยียบ หลังจากนั้นก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ไอ้หนู เจ้ามาจากสำนักไหนกัน เจ้าต้องเป็นคนที่คอยตามข้ามาอยู่ตลอดในช่วงนี้ใช่รึเปล่าล่ะ”

“กับลูกหมาระดับนายพลวิญญาณขั้นต้นเช่นเจ้านั้นกล้ามาจากไหนถึงกล้าขัดขวางแผนการของข้า”

เฉินเฉียงได้แกว่งไกวธนูไปมือไปมาก่อนที่จะหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย “หลินฟาน เจ้านั้นคืออัจฉริยะแห่งสำนักเสือขาวนี่นา เจ้านั้นต้องมีแต้มคะแนนอยู่มากมายเป็นแน่ใช่ไหมล่ะ”

“ข้าขอบอกเจ้าตรงๆเลยนะว่าข้าเองก็เล็งแต้มคะแนนของเว่ยฉิงเชินไว้เหมือนกัน”

“อีกไม่นานการประลองก็จะสิ้นสุดลงแล้ว ข้าว่าข้าสมควรจะเป็นคนได้แต้มของนางไปนะ เจ้าคิดว่ายังไง”

เว่ยฉินเชิงนั้นได้จ้องมองไปยังธนูสีดำในมือเฉินเฉียงอย่างคลับคล้ายคลับคลา

ธนูในมือของชายที่พึ่งออกมานั้นเหมือนกับธนูดำของเฉินเฉียงอย่างมาก

แต่ถึงกระนั้น เมื่อเธอมองไปที่รูปลักษณ์ของชายตรงหน้า เธอก็ได้ส่ายหัวไปมา

แต่เมื่อเธอได้ยินคำว่าชายคนนี้เองก็หมายตาแต้มคะแนนของเธอเช่นเดียวกัน นี่ทำให้เธอโกรธยิ่งกว่าเดิม

“ไอ้พวกตัวตะบอนไม่รู้จักอะไรดีอะไรชั่ว ในเมื่อพวกเจ้านั้นต้องการแต้มคะแนนของข้า งั้นก็เข้ามาพร้อมกันเนี่ยแหละ”

นี่คือสิ่งที่หลินฟานต้องการอย่างที่สุด

ตราบใดที่เขานั้นปล่อยให้สองคนนี้ตีกันแล้วเมื่อได้โอกาส เขามั่นใจว่าจะสามารถฝังแผ่นแก่นพลังงานในร่างของเว่ยฉิงเชินได้อย่างแน่นอน

“น้องชาย เจ้าคิดว่ายังไง” หลินฟานได้เอ่ยถาม

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่เอาด้วยหรอกโว้ย” เฉินเฉียงตอบ

เฉินเฉียงนั้นรู้ดีว่าหลินฟางนั้นต้องการอะไร เขาได้กล่าวสบถออกมา “ข้าไม่ต้องจะเสียชื่อเสียงด้วยการรุมรังแกผู้หญิงแบบนี้ หลินฟาน หากเจ้าไม่มียางอายล่ะก็ เจ้าจะทำอะไรก็ทำไปแล้วกัน”

ความจริงแล้วเฉินเฉียงต้องการเพียงยั่วยุหลินฟานเพียงเท่านั้น เขานั้นไม่คิดว่าหลินฟานจะไม่ใส่ใจคำพูดของเขาแล้วจ้องมองเฉินเฉียงที่ยืนอยู่โดยใช้มือไพล่หลัง ก่อนที่จะพุ่งตรงใส่เว่ยฉิงเชินในทันที

เมื่อเว่ยฉินเชิงเห็นว่าทั้งสองคนนี้ดูถูกเธอราวกับเป็นเสือสองตัวแย่งกระต่ายตัวน้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องต่อกรกับนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณขึ้นกลางแบบนี้ มีหรือที่เธอจะกลัว โดยเฉพาะกับอีกฝ่ายนั้นมีคนหนึ่งเป็นเพียงระดับนายพลวิญญาณขั้นต้นที่หน้าหนาอีกด้วย

หลังจากตะโกนออกมาสั้นๆ ผ้าไหมสีแดงในมือของเธอก็โอบรัดไปที่เอวของหลินฟาน

แต่เธอนั้นไม่คิดว่าท่าเท้าของหลินฟานจะลื่นไหลอย่างมาก เพียงเขาขยับเท้าเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เขานั้นหลุดออกจากผ้าไหมของเธอและตวัดดาบมาที่บั้นเอว

ด้วยการที่การโจมตีของหลินฟานนั้นรวดเร็วมากจนทำให้ผ้าไหมแดงของเว่ยฉิงเชินนั้นไม่อาจตอบสนองได้ทัน เมื่อเห็นดาบนี้เธอจึงรีบโยกตัวหลบ

แต่หลินฟานเองก็เหมือนจะคำนวณมาอย่างดีว่าเว่ยฉิงเชินจะก้าวถอยหลังออกไป นี่จึงทำให้เขานั้นบิดเท้าขึ้นหน้าไปอีกเล็กน้อย

เมื่ออยู่ในจังหวะวิกฤตแบบนี้ เฉินเฉียงจึงได้ลงมืออีกครั้ง

ลูกธนูสายเลือดไร้สีของเขาได้ถูกยิงพุ่งตรงไปที่คอของหลินฟาน

เป็นอีกครั้งที่เฉินเฉียงขัดขวางหลินฟานได้อีกครั้ง

ไม่เพียงจะหยุดแผนของหลินฟานที่จะทำให้เว่ยฉินเชิงไม่อาจหนีได้แล้ว เขายังยื่นมือเข้ามาขัดขวางหลินฟานในจังหวะแบบนี้ นี่จึงทำให้หลินฟานถอนดาบออกจากเว่ยฉินเชิงและตั้งท่าป้องกันที่เฉินเฉียงในทันที

“ไอ้หนู แกเป็นใครถึงได้กล้ามาขัดขวางข้าแบบนี้ บอกชื่อของเจ้ามาซะ”

“ฮี่ฮี่ฮี่ ข้าชื่อหลิวหลาง เป็นอะไรล่ะหลินฟาน เริ่มกลัวข้าขึ้นมารึยังไง”

ที่เฉินเฉียงกล้าเข้าไปสอดมือหลินฟางแบบนี้นั้นเป็นเพราะว่าด้วยวิธีการหลบหนีของเขานั้น เขาเชื่อว่าหลินฟานไม่อาจจะจับตัวเขาได้

แต่ด้วยการที่หลินฟานนั้นตั้งมั่นในเป้าหมายของตนไว้ตั้งแต่ก่อนเข้ามามิติประลองนี้แล้ว มีหรือที่เขานั้นจะยอมปล่อยเป้าหมายที่อยู่ตรงหน้าไปอย่างง่ายๆ

“หลิวหลาง ฮึ่ม ไอ้เด็กนี่ หากเจ้ามีกึ๋นพอก็เชิญสู้กับเว่ยฉิงเชินไปก็แล้วกัน”

แต่ก่อนที่เฉินเฉียงจะได้ทำอะไร เว่ยฉิงเชินนั้นกลับโกรธขึ้นมาซะอย่างงั้น

“หลินฟาง หลิวหลาง นี่พวกเจ้าคิดว่าข้าเป็นหัวหลักหัวตอรึไงกัน”

“ถ้าวันนี้ข้าฆ่าพวกเจ้าไม่ได้ ข้าคงไม่อาจปล่อยวางความเกลียดชังนี้ไปได้อย่างแน่นอน”

เมื่อพูดจบ เว่ยฉิงเชินได้โจมตีเฉินเฉียงก่อนเป็นคนแรกด้วยผ้าไหมแดงของเธอ

นี่ทำให้เฉินเฉียงไม่มีทางเลือกได้แต่ถอยร่นไปกว่ายี่สิบเมตรเพื่อหลบการโจมตีที่รุนแรงนี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นเป็นโอกาสอันดี หลินฟานเองก็เริ่มกวัดแกว่งดาบของเขาใส่เว่ยฉิงเชิน

เมื่อสัมผัสถึงภัยอันตราย เว่ยฉิงเชินได้เลิกไล่โจมตีเฉินเฉียงและทำการสะบัดมือตัวเองจนทำให้ผ้าไหมแดงที่พุ่งออกไปกลับมาป้องกันตัวเธอและใช้มันจับดาบของหลินฟานไว้และดึงให้หลินฟานเสียหลัก จนทำให้ดาบของเขาติดผ้าไหมแดงกลับมาด้วย

เมื่อเห็นว่าอาวุธของศัตรูตกอยู่ในมือ เธอมีท่าทางยิ้มกริ่มและโจมตีต่อในทันที

ท่าทางของหลินฟางเปลี่ยนไปในทันที เขามีท่าทางปัดป้องการโจมตีนี้อย่างลนลานพร้อมท่าทางราวกับถูกกดดันอย่างที่สุด

อย่างไรก็ตาม เมื่อเฉินเฉียงเห็นฉากนี้ เขานั้นกลับเป็นฝ่ายลนลานซะเอง

นั่นก็เพราะเขารู้ดีว่านี่เป็นแผนของหลินฟานที่จะล่อลวงให้ศัตรูโจมตี ยิ่งไปกว่านั้นคือไอ้ดาบนั่นมันเป็นเพียงตัวขัดขวางเขาเสียด้วยซ้ำ อาวุธที่แท้จริงของเขานั้นคือฝ่ามือนั่น

นั่นก็เพราะในฝ่ามือของหลินฟานในตอนนี้มีประกายแสงจ้าที่พร้อมจะฝังแก่นพลังงานไว้ในจุดตันเถียนลับที่กลางหัวของเว่ยฉิงเชินได้ทุกเมื่อ

“เว่ยฉิงเชิน ระวังฝ่ามือของหลินฟาน”

ด้วยความร้อนรนที่เห็นเว่ยฉิงเชินตกอยู่ในแผนของหลินฟาน แม้ว่าเขาจะยังคงดูเป็นหลิวหลาง แต่เสียงของเขานั้นกลับกลายเป็นเฉินเฉียง

เว่ยฉิงเชินที่ใจนั้นเอาแต่คิดถึงเฉินเฉียงอยู่แล้ว เป็นธรรมดาที่เธอจะคุ้นเคยกับเสียงนี้

และเป็นเพราะการเตือนของเฉินเฉียงนี้ทำให้เธอนั้นคิดไปเพียงว่าเธอนั้นเพียงแค่หลอนไปเพราะกำลังตกอยู่ในอันตราย

“พี่ใหญ่เฉินเฉียง…”

แต่ก่อนที่เธอจะได้เอ่ยคำออกมา เธอก็เห็นฝ่ามือขวาของหลินฟานได้ตบลงมาที่หัวของเธอ

————————
(ฉันรู้!ทุกคนรู้! ค้างกันไปสิ555 *หัวเราะแบบนางมารร้าย)