บทที่ 143 ลมฝนกำลังมา (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 143 ลมฝนกำลังมา (1)
โครม

บนหลังม้าที่วิ่งไวปานลมกรด

หลิ่วไฉ่อวิ๋นร่วงตกลงบนพื้นโคลนสีดำ นางกลิ้งสิบกว่าตลบค่อยหยุดลง จากนั้นครวญครางอย่างเจ็บปวด ไร้เรี่ยวแรงดิ้นรน

“รีบไป!” หลิ่วไฉ่อวิ๋นสุดท้ายมองพี่สาวกับหลี่ซุ่นซีที่ควบม้าอยู่ด้านหน้า กัดริมฝีปาก สายตาค่อยๆ พร่ามัว

ฟิ้ว!

เงาคนสีเทาสายหนึ่งพลันพุ่งผ่านนางจากด้านข้าง เงาที่สองและเงาที่สามตามไปติดๆ

“คนบนพื้นจะจัดการอย่างไร”

“ของของนางถูกโอนถ่ายไปแล้ว ไม่มีคุณค่าอีก ฆ่าเลย” เสียงหนึ่งตอบ

หลิ่วไฉ่อวิ๋นเบิกสองตา ไม่ทันส่งเสียง ท้ายทอยปวดแปลบ สติพลันหายไป

“ไม่!”

หลิ่วฉินบนหลังม้าด้านหน้า ตอนนี้พบว่าน้องสาวตกลงจากหลังม้า ร้องขึ้นอย่างเจ็บปวด น้ำตาไหลลง ทำให้สายตาพร่าเลือน

หลี่ซุ่นซีขอบตาแดง ยังคงจับมือหลิ่วฉินไว้

“ไป! พวกเรารอดจึงค่อยแก้แค้นให้ไฉ่อวิ๋นได้!” เขาตวาดเฉียบขาด

“ไฉ่อวิ๋น!” หลิ่วฉินกรีดร้องอย่างรวดร้าว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดิ้นหลุดจากมือหลี่ซุ่นซี

แสงรุ้งที่พร่ามัวกลุ่มหนึ่งขยายจากบนร่างนาง ห่อหุ้มหลี่ซุ่นซีเข้าไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวสองคนหายไปในป่า ไม่เห็นโดยสิ้นเชิง

“หายไปแล้ว! เป็นหยกลี้ลับ!” เงาสีเทาหลายสายหยุดอยู่บริเวณที่พวกเขาหายไป

“หยกลี้ลับของตระกูลหลิ่วอยู่บนตัวพวกเขาจริงๆ ทั้งยังถูกกระตุ้นแล้ว!” เงาสีเทาสายหนึ่งเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ

“ด้วยขุมกำลังและจำนวนคนของพวกเรา คิดจะล้อมจับพวกเขาโดยสมบูรณ์ ยากเย็นยิ่ง” อีกคนหนึ่งตอบ

“เหตุใดไม่จับสตรีคนเมื่อครู่มาข่มขู่พวกเขา” คนหนึ่งถามอย่างไม่เกรงใจ

“เปล่าประโยชน์ คนของตระกูลหลิ่วไม่รับการข่มขู่ เรื่องแบบนี้พวกเราทำไม่ต่ำกว่าสิบครั้งแล้ว”

“ผู้ประกอบพิธีของที่นี่เกิดเรื่อง ไม่อาจบุกเข้าไปอย่างเปิดเผย”

“เช่นนั้นทำอย่างไร”

“หาจัตุรัสแดงเพื่อขอความร่วมมือ ผู้คุมจัตุรัสแดงยังไม่กลับมา ภูตผีในมือรองผู้คุมจัตุรัสแดงถนัดด้านความเร็วมากที่สุด ขอแค่เจอร่องรอยพวกเขาก็พอ”

ติ๋ง… ติ๋ง… ติ๋ง…

หยดน้ำที่เย็นเฉียบตกใส่ริมฝีปากของหลิ่วฉิน ความรู้สึกชุ่มฉ่ำทำให้นางค่อยๆ ได้สติหลังจากสลบไป

โขลกๆๆ…

หลิ่วฉินเพิ่งฟื้นตื่นขึ้นมา ก็เอียงศีรษะไอหลายครั้ง

“เป็นอย่างไร ไหวอยู่กระมัง” หลี่ซุ่นซีมองนางอย่างเป็นห่วง ประคองชามกระเบื้องสีเขียวที่แหว่งไปแล้วอยู่

สภาพแวดล้อมรอบๆ เหมือนเป็นถ้ำ กองไฟส่งเสียงดังเพียะพะ ความอบอุ่นจางๆ กระจายในถ้ำอย่างต่อเนื่อง

“ไฉ่อวิ๋น… หลิ่วฉินพอตื่นขึ้นมา ก็นึกถึงน้องสาวของตัวเอง ตระกูลหลิ่วเหลือแค่นางกับน้องสาว กลับคิดไม่ถึงว่ามารร้ายจากจวนอู๋โยวจะไล่ตามทัน สุดท้ายตายในป่าเขาเปลี่ยวร้าง แม้แต่กระดูกก็ไม่เหลือนำเข้าเนินหลุมศพของตระกูล

พอคิดถึงวันเวลาที่พึ่งพากันเอาตัวรอด หลิ่วฉินโศกเศร้า ไม่อาจข่มน้ำตา ไหลลงมาตามหางตา

“จวนอู๋โยว! ข้าหลิ่วฉินขอสาบาน จะต้องตัดรากถอนโคนพวกเจ้าให้จงได้!” หลิ่วฉินกัดฟัน ตะโกนประโยคนี้ด้วยแรงทั้งหมด

หลี่ซุ่นซีที่อยู่ด้านข้างใบหน้าหม่นหมอง

“จวนอู๋โยวทำร้ายตระกูลข้าจนคนตกตาย ถ้าแก้แค้นได้จริงๆ ข้าจะต้องไม่ยอมพลาด น่าเสียดาย… อาศัยพลังของพวกเรา จะเทียบกับขุมกำลังยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้อย่างไร”

“ท่านจะยอมแพ้หรือ!?” หลิ่วฉินขมวดคิ้วจ้องมองหลี่ซุ่นซี เอ่ยเสียงดุดัน

“ไม่ ข้าไม่อยากยอมแพ้ แต่ข้าเป็นแค่คนธรรมดา ทำไม่ได้อยู่แล้ว ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง…” หลี่ซุ่นซีก้มหน้ากำหมัดแน่นอย่างเจ็บใจอยู่บ้าง

“ไม่… บนตัวท่านมีของที่ไฉ๋อวิ๋นมอบให้แก่ท่าน ของที่นางรักถนอมมากที่สุด… ท่านไม่ใช่คนธรรมดามานานแล้ว” หลิ่วฉินเอ่ยอย่างเย็นชา

“สิ่งของอันใด” หลี่ซุ่นซีตะลึงงัน เงยหน้าขึ้น

“นั่นเป็นอาวุธเทพระดับสุดยอดที่ตระกูลหลิ่วเราครอบครอง หยกลี้ลับ” หลิ่วฉินค่อยๆ ใจเย็น “ข้ากับน้องมีหยกลี้ลับคนละครึ่ง ขอแค่พวกเราร่วมมือกัน ก็จะกระตุ้นความสามารถได้ เห็นสิ่งที่คนธรรมดามองไม่เห็น

ท่านคิดว่าข้ากับไฉ่อวิ๋นสองคนหนีออกจากแคว้นเมฆามาถึงที่นี่ได้อย่างไร ท่านคิดว่าทำไมจวนอู๋โยวจึงไล่ล่าพวกเรามาโดยตลอด ตอนนี้หยกครึ่งหนึ่งอยู่บนตัวท่าน ภายหลังท่านก็เหมือนกับพวกเรา ถูกไล่ล่าไม่หยุดเช่นกัน”

“จวนอู๋โยวเป็นศัตรูคู่อาฆาตของข้าแต่แรก หาเป็นไรไม่ แต่ว่าหยกลี้ลับนี้เล่า เห็นสิ่งที่คนธรรมดามองไม่เห็นหรือ” หลี่ซุ่นซีมีใบหน้าหวาดหวั่น ถามอย่างสงสัย

“ท่านคิดว่ารูหนองทั่วร่างข้ากับน้องเกิดขึ้นอย่างไร บางสิ่งเมื่อเห็นมากไป สุดท้ายต้องจ่ายค่าตอบแทน” หลิ่วฉินสีหน้าเย็นชา “ตอนนี้ท่านครอบครองอาวุธเทพ แม้ไม่ใช่ลูกหลานของผู้ถืออาวุธและเป็นเจ้าของอาวุธ แต่การยืมพลังของอาวุธเทพอย่างเหมาะสมยังคงกระทำได้”

“เช่นนั้นมีประโยชน์อะไร” หลี่ซุ่นซีกล่าวอย่างไม่เข้าใจ ถ้าหากว่าหยกลี้ลับร้ายกาจเช่นนี้จริงๆ พวกนางสองพี่น้องคงไม่ถูกไล่ล่ามาตลอดทาง หนีมาถึงที่นี่ยังไม่มีวิธีจัดการจวนอู๋โยว

“ขอแค่ใช้สักครั้ง… ท่านจะเข้าใจโดยเร็ว…” หลิ่วฉินสีหน้าค่อยๆ สงบนิ่ง

“ใช้อย่างไร” หลี่ซุ่นซีเห็นอีกฝ่ายสีหน้าเคร่งขรึม จึงเอาจริงเอาจังขึ้น

กองไฟสาดเงาทั้งสองใส่ผนังถ้ำ เต้นระริกไม่หยุด เหมือนกับมารปีศาจ

“มา… เอามือท่านให้ข้า…” หลิ่วฉินมองหวังซุ่นซีพลางเอื้อมมือออกไปช้าๆ

หวังซุ่นซีทำตาม เอื้อมมือตนออกไปวางบนฝ่ามือที่มีแต่ตุ่มหนองของหลิ่วฉิน

“อย่าลืม… แก้แค้นจวนอู๋โยวให้ข้ากับน้อง…” หลิ่วฉินพลันยิ้มอย่างเฉิดฉันให้แก่หลี่ซุ่นซี

“จงอย่าลืม”

เปรี้ยง”

ร่างนางระเบิดอย่างฉับพลัน กลายเป็นหมอกเลือดกลุ่มใหญ่หลอมละลายสู่ร่างของหลี่ซุ่นซีอย่างรวดเร็ว

“หลิ่วฉิน!” หลี่ซุ่นซีตะลึงงัน รอเขารู้สึกตัว ทุกอย่างก็สายเสียแล้ว

น้ำตาทะลักออกจากเบ้า ขณะอยู่ร่วมกันในช่วงนี้ เขาค่อยๆ ชมชอบหลิ่วฉิน เพียงแต่เป็นเพราะหลิ่วไฉ่อวิ๋นชอบเขา จึงทำให้แม้ทั้งสองมีเยื่อใยต่อกัน กลับไม่อาจเข้าใกล้กันจริงๆ

เขามองออกว่าเดิมทีหลิ่วฉินไม่ได้มีหน้าตาเช่นนี้ สาบานในใจว่าจะต้องหาวิธีรักษาใบหน้านางให้ได้

แต่เหตุเปลี่ยนแปลงมาเร็วเกินไป

ตอนแรกในพันธมิตรบู๊ตรวจสอบคนทรยศ ทุกอย่างสับสนวุ่นวาย แต่ละคนต่างมีข้อสงสัยและมีอันตราย

จากนั้นมีคนเจอหลักฐานฆ่าคนที่เชื่อมโยงกันในที่อยู่ของเขา ถึงขั้นยังมีจดหมายที่แลกเปลี่ยนกับขุมกำลังลับด้านนอก

เขาอยากพบผู้นำทันที กลับถูกบอกว่าผู้นำปิดด่านไม่พบใคร จากนั้นกลางดึกคืนนั้น คนชุดดำกลุ่มหนึ่งทะลวงเข้ามาในที่อยู่ของเขา ทำร้ายหลิ่วไฉ่อวิ๋นสองพี่น้องจนบาดเจ็บสาหัสในชั่วพริบตา

องครักษ์ของพันธมิตรบู๊ไม่มีใครรู้สึกตัวเลย ไม่ทันครุ่นคิด พวกเขาก็ถูกกดดันออกจากพันธมิตรบู๊ หนีไปด้านนอก

ภายหลังควบม้าหนี จากนั้น ก็เป็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่…

“หลิ่วฉิน…” หลี่ซุ่นซีงอตัวอย่างเจ็บปวด คิดโอบกอดพื้นที่ว่างเปล่า ร่างกายของหลิ่วฉินเมื่อครู่ตอนนี้ไม่เหลืออยู่แม้แต่น้อย มีเพียงเศษเสื้อผ้าที่นางสวมใส่

“ข้าจะต้องแก้แค้นให้พวกเจ้า!” เขามองหมอกเลือดที่เกิดจากหลิ่วฉิน ไอหมอกสีแดงกำลังหลอมรวมบนมือเขาด้วยความเร็วสูง

ซู่…

ขณะตาลาย ทัศนวิสัยด้านหน้าก็เปลี่ยนแปลง

หลี่ซุ่นซีเบิกสองตาโต เห็นภาพมากมายที่ตนไม่เคยคิดถึงมาก่อน…

เวลาเคลื่อนคล้อยทีละนิดๆ ไม่ทันไร เหงื่อก็ผุดขึ้นบนหน้าผากของเขา

“ที่นั่นคือ… พรรคแม่น้ำขาว…” ขณะมองธงใหญ่ที่โบกสะบัดคันนั้น หวังซุ่นซีก็พึมพำตัวอักษรด้านบนออกมา

“เจอแล้ว! อยู่ใกล้ๆ นี้!” เสียงร้องมากมายดังมาจากนอกถ้ำ

หลังจากลู่เซิ่งกลับจากวัด ส่งเฉินอวิ๋นซีที่บ้าน ก็ไปยังหน่วยหลักพรรควาฬแดง

แล้วตามหาหงหมิงจือผู้เป็นศิษย์พี่ในคืนวันนั้น

“พันธมิตรบู๊ ศิษย์น้องจะไปหรือ” หงหมิงจือผู้เป็นศิษย์พี่แสดงว่ารู้จักพันธมิตรบู๊ สีหน้าไม่ประหลาดใจ

“ศิษย์พี่คิดว่าอย่างไร” ลู่เซิ่งถามกลับ

“เกรงว่าจะเป็นกลลวง เจ้าอยู่ในเรือวาฬแดง อยู่ในเมืองเลียบคีรี เป็นอาณาเขตของตระกูลซั่งหยาง แต่ถ้าออกจากที่นี่ ไปยังพันธมิตรบู๊ ตำแหน่งที่องค์กรลึกลับนั่นอยู่จะต้องเร้นลับสุดเปรียบปาน ต่อให้เจ้าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น คุณหนูจิ่วหลี่ก็หาเบาะแสไม่เจอ” หงหมิงจือลูบเครา กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าแนะนำให้เจ้าคอยดูการเปลี่ยนแปลงเงียบๆ เรื่องนี้ต้องมีผลพวง จดหมายขอความช่วยเหลือนั้นเผลอๆ ไม่ใช่เจ้าตัวเป็นคนเขียน ถ้าหากสหายผู้นั้นของเจ้าต้องการขอความช่วยเหลือจากเจ้าจริงๆ ต้องมาเมืองเลียบคีรีแน่”

ลู่เซิ่งนั่งในห้องหนังสือ พยักหน้าเช่นกัน

“ศิษย์พี่กล่าวถูกต้อง ข้าเองก็รู้สึกว่าจดหมายฉบับนี้ต้องมีเลศนัย ไม่ว่าจะเป็นหลี่ซุ่นซีหรือว่าพี่น้องตระกูลหลิ่ว ข้าเองก็เคยสัมผัสด้วยมาก่อน ส่วนที่น่าสงสัยที่สุดก็คือ พี่น้องตระกูลหลิ่วเดิมรู้จักข้าอยู่แล้ว ไม่มีทางใช้น้ำเสียงห่างเหินเช่นนี้ขอความช่วยเหลือข้าแทนหลี่ซุ่นซี”

“ศิษย์น้องรู้สึกตัวก็ดีแล้ว แต่เรื่องนี้กลับระดมเส้นสายที่ไปปฏิบัติภารกิจด้านนอกส่วนหนึ่งของพรรคให้จับตาตลอดเวลาได้ ถ้าพบร่องรอยของหลี่ซุ่นซี ศิษย์น้องตัดสินใจว่าจะจัดการอย่างไรได้เอง พันธมิตรบู๊กับจวนอู๋โยวเป็นศัตรูคู่อาฆาต แต่เบื้องหลังพวกเราคือตระกูลซั่งหยาง จุดยืนอยู่ตรงกลางโดยธรรมชาติ ไม่ว่าจัดการอย่างไร ด้วยระดับพลังของศิษย์น้อง ขอแค่ไม่ชัดแจ้งหรือบังอาจเกินไป ก็ไม่มีปัญหา” หงหมิงจือเอ่ยเสียงทุ้ม

“ขอบคุณศิษย์พี่ที่ชี้แนะ” ลู่เซิ่งพยักหน้า เรื่องนี้ยังไม่ต้องสนใจ

ทั้งสองคนคุยกันไปคุยกันมา เริ่มพูดถึงเรื่องขยายสำนักอาทิตย์ชาด

“การประลองก่อนหน้านี้ถูกคนนอกบุกเข้ามา ระดับสูงในพรรคโดนเล่นงานในกระบวนท่าเดียว ศิษย์และพลพรรคระดับล่างได้รับความกระทบกระเทือนรุนแรง” หงหมิงจือย่นคิ้วเอ่ยอย่างจนปัญญา

“นี่เป็นเรื่องจนปัญญา ความแตกต่างระหว่างคนธรรมดากับมารปีศาจ นอกจากยอดฝีมือระดับสุดยอด คนทั่วไปแม้แต่เงยหน้ามองยังทำไม่ได้” ลู่เซิ่งสีหน้าสงบนิ่ง “ศิษย์พี่มีประสบการณ์มากมาย ในอดีตคงเคยเกิดสภาพคล้ายๆ กันกระมัง ควรจัดการอย่างไรดี”

หงหมิงจือลูบเครา

“ศิษย์ในพรรคจำเป็นต้องกำหนดตำแหน่งและพลังของตัวเองใหม่ พวกเขายากจะสู้กับภูตผีปีศาจ เวลาส่วนใหญ่อาศัยในขอบเขตทั่วไป ดังนั้น ขอแค่ดึงพวกเขากลับมาในสภาพแวดล้อมสำหรับใช้ชีวิตตามปกติ มองดูสถานการณ์ให้ชัดก็พอ”

“อ้อ? ความหมายของศิษย์พี่คือ…?” ลู่เซิ่งมองหงหมิงจืออย่างค่อนข้างเหนือความคาดหมาย พึ่งพาตัวเองก็บรรลุวิชาบริหารระดับนี้ คนเมื่อชราจะหลักแหลมจริงๆ

“แลกเปลี่ยน” หงหมิงจือยิ้ม “ก่อนหน้านี้พวกเราหาพรรคหรือสำนักอื่นๆ มาแลกเปลี่ยนวรยุทธ์กัน หาหลายๆ แห่ง เมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น เปรียบวรยุทธ์มากขึ้น พวกเขาจะเข้าใจเองว่า พรรควาฬแดงของพวกเราไม่ใช่ผู้อ่อนแอ ไม่เพียงไม่อ่อนแอ ทั้งยังแข็งแกร่งยิ่ง ความเชื่อมั่นย่อมมาจากความสำเร็จและชัยชนะไม่ใช่หรือ” เขาขยิบตาให้ลู่เซิ่ง

……………………………………….