บทที่ 144 ลมฝนกำลังมา (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 144 ลมฝนกำลังมา (2)
ลู่เซิ่งหมดคำพูด นี่เป็นการย้ายความรู้สึกพ่ายแพ้อันอับจนไปให้คนอื่น เป็นวิธีการจัดการที่หงหมิงจือว่า

“เช่นนั้นสมควรแลกเปลี่ยนกับพรรคใด” เขาซัก

“พรรควาฬแดงเป็นพรรคใหญ่อันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ ตอนนี้แดนเหนือเริ่มเปลี่ยวร้าง พวกเราไปไกลหน่อยก็ได้ ใกล้อาณาเขตจงหยวน ทุ่งหญ้าที่ลุ่มต่ำกว้างใหญ่ของที่นั่นมีป้อมปราการเมืองหลายแห่งที่พรรคแม่น้ำขาวดูแล พวกเราไปแลกเปลี่ยนที่นั่นได้” หงหมิงจือกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“พรรคแม่น้ำขาวหรือ”

“ใช่ เป็นพรรคใหญ่ที่ผงาดขึ้นมาไม่เกินสามสิบกว่าปี สวีเทียนเฟิงประมุขพรรคกับข้าเคยคบหากัน ติดต่อกันได้” หงหมิงจืออธิบายต่อ

“ก็ดี อีกฝ่ายเป็นพรรคใหญ่ที่ดูแลอาณาเขตหนึ่งเช่นกัน แม้ขนาดจะเล็กกว่าพรรควาฬแดงไปบ้าง แต่ก็อยู่ในระดับเดียวกัน แลกเปลี่ยนยังนับว่าไม่เลว” ลู่เซิ่งพยักหน้าตกลง “ข้าจะหมั้นหมายทันที จากนั้นค่อยไปแลกเปลี่ยน”

“หมั้นตอนนี้?!” หงหมิงจือตะลึงงัน “ประมุขพรรคการหมั้นหมายเป็นเรื่องใหญ่!”

“ไม่ ข้าไม่ต้องการเปิดเผย ยิ่งเงียบยิ่งดี” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ถึงตอนนั้นเชิญพวกท่านไม่กี่คนมารวมตัวก็พอ”

เฉินอวิ๋นซีเป็นคนธรรมดา ยิ่งใหญ่โต ยิ่งทำให้คนรู้ว่านางสำคัญกับตน นางจะมีอันตรายมากขึ้น

ตอนแรกตระกูลลู่เกือบเป็นบ่อปลาถูกไฟลาม ลู่เซิ่งไม่ต้องการให้ตนมีวันหนึ่งไปด้านนอก รอกลับมาก็พบว่าครอบครัวของเฉินอวิ๋นซีเสียชีวิตหมด

นอกจากนี้ หลังจากรับบาดเจ็บแล้วไม่มีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับการรักษา คนรักและครอบครัวก็ไม่มีสถานที่ปลอดภัยสำหรับรับความคุ้มครองเช่นกัน

ตอนนี้ลู่เซิ่งคิดจะบ่มเพาะขุมกำลังของตนมากกว่าเดิม อาศัยแค่เขาคนเดียว สุดท้ายก็ไม่ใช่คู่มือของตระกูลขุนนางและภูตผีปีศาจ

วางเรื่องพลังไว้ด้านข้างก่อน คนจะต้องมีเวลาผ่อนคลาย มีวันเวลาที่คิดปล่อยวาง เวลานี้จำเป็นต้องให้ขุมกำลังอื่นๆ มาปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยของตัวเอง

“ก็ดี” หงหมิงจือเข้าใจความคิดของลู่เซิ่ง “เตรียมตัวเสร็จแล้วอย่าลืมแจ้งข้า”

“ได้”

ลู่เซิ่งพยักหน้า

หลังจากจัดการภารกิจพรรคเสร็จ เขาก็แช่โอสถกินยาตามปกติ ก่อนจะออกไปท่องเที่ยวทุกวันกับเฉินอวิ๋นซี ทางด้านหลี่ซุ่นซีได้ส่งคนไปจับตาดูตลอดเวลา ขอแค่แดนเหนือปรากฏเงาร่างของเขา จะรายงานได้ทันที

การหมั้นหมายจัดอย่างเรียบง่าย

ลู่เซิ่งจัดอยู่ที่บ้านตนเอง ขอให้บิดากับมารดารองเป็นเจ้าภาพ จัดงานเลี้ยงสุราเรียบๆ

จากนั้นจัดงานเลี้ยงสุราลับๆ ในกิจการแห่งหนึ่งของพรรควาฬแดง ให้บิดาลู่เฉวียนอันกับเฉินเต้าเจ่าเจอกัน นับว่าคนที่บ้านพบปะกันแล้ว

ญาติที่มาร่วมมีไม่มาก สหายก็มีแต่สหายสนิทที่ลู่เฉวียนอันกับลุงใหญ่ลู่ผิงอัน ตระกูลลู่คบหาใหม่ๆ

ความสัมพันธ์กับเฉินอวิ๋นซีนับว่ากำหนดแล้ว

นอกจากนี้ เขาก็ไปหาซ่งเจิ้นกั๋ว พัฒนาการของคุณชายบ้านรวยที่หลังจากได้เคล็ดสนหนึ่งสำนึกไป ก็ฝึกฝนอย่างหนักผู้นี้ ทำให้ลู่เซิ่งหมดคำพูด

นอกเมืองไม่ไกลจากป้อมทหารกองทัพเฟยเหลียน ซ่งเจิ้นกั๋วเช่าลานฝึกอยู่ที่นี่ ทุกๆ วันขี่ม้ามาฝึกฝนทักษะต่อสู้อย่างหนัก

ตอนลู่เซิ่งหาเขาเจอ เขาถือแม่กุญแจหิน เหวี่ยงขึ้นลง หมุนควงในมือ ฝึกพละกำลัง

ฤดูสารทคิมหันต์ อากาศเย็นขึ้น ซ่งเจิ้นกั๋วใส่เสื้อเพียงตัวเดียว ไอร้อนลอยโขมง เลือดลมพลุ่งพล่าน

ด้านข้างยังมีหญิงรับใช้ข้างกายคอยปรนนิบัติเขาคนหนึ่ง

“อาจารย์ลู่!”

เห็นลู่เซิ่งมาถึง ซ่งเจิ้นกั๋วงงงัน จากนั้นก็ยินดี โยนแม่กุญแจหินทิ้ง รีบเดินมาหาเขา “ในที่สุดอาจารย์ลู่ก็มาแล้ว ข้ารอไปรอมาไม่มีข่าวมาโดยตลอด ไม่ทราบว่าตนเองฝึกถูกต้องหรือไม่ ถ้าท่านไม่มาอีก ข้าได้แต่ไปหาอาจารย์สอนวรยุทธ์คนอื่นๆ ถามรายละเอียดข้อห้ามแล้ว”

ลู่เซิ่งใส่เสื้อดำหมวกดำ แต่งกายเหมือนเฮยอู๋ฉาง[1] เขาพิจารณามองซ่งเจิ้นกั๋ว

ไม่เจอกันนาน บัณฑิตอ่อนแอในตอนแรกผู้นี้ ยามนี้กล้ามเนื้อแน่น ผิวเป็นสีทองแดงอ่อนๆ ค่อนข้างแข็งแรง

“วิชากำลังภายในของท่านเป็นขั้นเบื้องต้นแล้วหรือยัง” ลู่เซิ่งถามอย่างประหลาดใจ

“ไม่ ยังทำให้รากฐานมั่นคงอยู่ แต่ว่าปริมาณอาหารกับแรงเพิ่มขึ้นไม่น้อย แข็งแรงกว่าก่อนหน้านี้มาก” ซ่งเจิ้นกั๋วกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ลู่เซิ่งพยักหน้า นี่เป็นระดับมาตรฐานของคนธรรมดาที่ฝึกฝนวิชากำลังภายใน ต่อให้เป็นอัจฉริยะอย่างซ่งเจิ้นกั๋ว สัมผัสความรู้สึกถึงปราณได้ในวันเดียว ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามปี จึงจะเข้าสู่ระดับแรกได้อย่างมั่นคง

วิชากำลังภายในไม่ได้ฝึกง่ายนัก

“นับตั้งแต่ครั้งก่อนที่อาจารย์ลู่ถ่ายทอดวิชาแก่ข้า จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ข้าคลำทางดูเอง และเรียนหัตถ์พลิกคลื่นจากยอดคนคนหนึ่งที่เจอโดยบังเอิญ ขอให้อาจารย์ลู่ตัดสิน!”

ซ่งเจิ้นกั๋วคล้ายกับมีความกระตือรือร้นสนใจต่อวรยุทธ์ ยังหาเรียนวรยุทธ์จากคนอื่นเอง

“ยอดคนหรือ ท่านลองแสดงดู” ลู่เซิ่งสนใจ ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หลีกทางให้

“ได้”

ซ่งเจิ้นกั๋วถอยหลังไปหลายก้าว สองมือตั้งท่า แสดงท่ามือก่อน เหมือนกับท่วงท่าตามแบบฉบับในเรื่องหวงเฟยหง

ลู่เซิ่งหมดคำพูด ไม่ส่งเสียง

ฮ่า!

ทันใดนั้นเสียงกึกก้องดังขึ้น ซ่งเจิ้นกั๋วกระตุ้นแรงทั่วร่าง ตะโกนออกมา หวดฝ่ามือข้างหนึ่งไปด้านหน้าบังเกิดเสียงดังเพียะๆ

ย๊ากๆๆๆ! ย่าห์ๆๆๆ!

ไม่เกินสิบลมหายใจ ซ่งเจิ้นกั๋วหอบหายใจ หยุดลงพร้อมอาการหน้าแดงหูแดง

“เพื่อวิทยายุทธ์ที่ประสานการใช้เสียงกับวิชาฝ่ามือด้วยกันนี้ ข้าจ่ายเงินสองร้อยตำลึงแลกมาจากยอดคน อาจารย์ลู่รู้สึกอย่างไร ทรงอานุภาพหรือไม่” เขาถามอย่างกระตือรือร้น

“…” ลู่เซิ่งไร้คำพูดจะโต้ตอบ

“น่าเสียดายหลังจากยอดคนผู้นั้นถ่ายทอดวิทยายุทธ์วิชานี้ให้ ก็พลิ้วกายจากไป ไม่ทราบร่องรอย…” ซ่งเจิ้นกั๋วกล่าวอย่างผิดหวัง

ถ้าเขายังไม่รีบไป หลังท่านทราบความจริง ยังไม่ถูกทุบตีตายหรือ

ลู่เซิ่งจนปัญญา ผ่อนคลายเล็กน้อย ศิษย์เพียงคนเดียวที่ตนรับกลับพัฒนากลายเป็นแบบนี้

“ชักนำวิชากำลังภายในของท่านมาบนมือ จากนั้นผลักใส่มือข้า” เขายื่นมือขวาออกมา กล่าวเสียงทุ้ม “ส่วนหัตถ์พลิกคลื่นอะไรของท่านนั่นไม่ต้องใช้แล้ว ทุบเบาๆ ก็พอ”

ซ่งเจิ้นกั๋วเองก็ไม่ใช่คนโง่ ได้ยินคำพูดนี้ พลันเข้าใจว่าตัวเองโดนหลอก เบิกตาโพลง หน้ากลายเป็นสีแดงเลือดหมูอย่างรวดเร็ว

“เร็วหน่อย” ลู่เซิ่งเร่ง

ซ่งเจิ้นกั๋วค่อยสูดหายใจลึกๆ โคจรเคล็ดสนหนึ่งสำนึก แล้วผลักใส่มือลู่เซิ่งเบาๆ

‘ยังขาดอีกส่วนหนึ่งถึงจะเป็นขั้นเบื้องต้น ปราณภายในบกพร่องไม่มั่นคง’ ลู่เซิ่งสัมผัสดู ทราบระดับของซ่งเจิ้นกั๋วในทันที

“เป็นอย่างไร” ซ่งเจิ้นกั๋วมองลู่เซิ่งอย่างคาดหวังอยู่บ้าง

ลู่เซิ่งฉุกใจนึกถึงผลพิเศษของปราณหยินหยางขวดสมบัติเมื่อก่อนหน้า: ถ่ายปราณ

เขาใช้ความคิดควบคุมปราณหยินหยางขวดสมบัติสายหนึ่ง พลิกมือจับแขนของซ่งเจิ้นกั๋ว แล้วค่อยๆ ส่งไปให้

“นี่คือ… ปราณภายในล้ำลึกจริงๆ!” เพียงแค่ลมปราณเล็กเท่าเส้นผมผ่านไป ก็ทำให้ซ่งเจิ้นกั๋วแสดงสีหน้าตื่นตะลึง ยืนนิ่งกับที่

แสดงว่าเขารู้สึกได้ว่ามีปราณภายในเล็กๆ ที่เย็นฉ่ำอ่อนโยนสายหนึ่งมุดเข้าร่าง จุดที่ปราณภายในสายนี้ผ่าน เส้นลมปราณ หลอดเลือด เอ็นกระดูก เลือดเนื้อในตัวเขาสั่นไหวและปลอดโปร่ง คล้ายกับได้รับการผ่อนคลายและความสุข

ทว่าความรู้สึกของลู่เซิ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ปราณหยินหยางขวดสมบัติเพิ่งเข้าสู่ร่างซ่งเจิ้นกั๋ว ก็ปรากฏสถานการณ์ที่ทำให้เขาตื่นตกใจ

ปราณภายในสายนี้กลืนกินปราณภายในเคล็ดสนหนึ่งสำนึกที่ซ่งเจิ้นกั๋วฝึกฝนอย่างหนักหลายเดือนโดยสมบูรณ์ จากนั้นก็เลียนแบบแปลงสภาพเป็นปราณภายในของเคล็ดสนหนึ่งสำนึกอย่างรวดเร็ว

ถ้าหากมีแค่นี้ก็แล้วไป แต่เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ปราณภายในของตนเมื่ออยู่ในร่างซ่งเจิ้นกั๋ว ยังคงควบคุมและชักกลับได้ตลอดเวลา

นี่เหมือนกับการปลูกเมล็ดพันธุ์ในตัวซ่งเจิ้นกั๋ว

‘หรือนี่จะเป็นการถ่ายปราณและการกลืนกลายที่ว่า’ ลู่เซิ่งตกตะลึง นี่หมายความว่าเขาสามารถกลืนกินปราณภายในของยอดฝีมือวิชากำลังภายในที่อ่อนแอกว่าตัวเองได้ตามใจ

ทว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้ โลกใบนี้ต่อให้ยอดฝีมือกำลังภายในแข็งแกร่งกว่านี้ ก็อยู่แค่ระดับเดิมๆ

กระนั้นเขาพลันนึกถึงวิชาจิตเต๋าเมล็ดมารที่นิยายเรื่องหนึ่งซึ่งเขาเคยอ่านพูดถึง

“เจิ้นกั๋ว ท่านลองดูว่า ตอนนี้ควบคุมปราณภายในได้หรือไม่” ลู่เซิ่งถามเสียงขรึม

ซ่งเจิ้นกั๋วตอนนี้พบว่าปราณภายในของตนเองกลายเป็นเคล็ดสนหนึ่งสำนึกแล้ว

เขาลองใช้จิตสำนึกขยับดูสองสามรอบ ถึงกับเหมือนบังคับแขนได้ พลันยินดี

เคล็ดสนหนึ่งสำนึกหลังจากเปลี่ยนแปลง แข็งแกร่งกว่าปราณภายในอันน้อยนิดที่เขาลำบากฝึกฝนไม่รู้กี่เท่าตัว

“ควบคุมได้แล้ว!” เขารีบตอบด้วยสีหน้าดีใจ

ลู่เซิ่งสีหน้าขึงขัง คลายมือ ถอยไปด้านหลังหลายก้าว อยู่ห่างจากซ่งเจิ้นกั๋วหลายหมี่ แต่ยังสัมผัสได้ถึงปราณหยินหยางขวดสมบัติที่เหลือไว้ในร่างอีกฝ่าย เพียงแต่จางลงตามระยะห่าง ความรู้สึกถึงปราณภายในสายนั้นก็ลดลงมากเช่นกัน

แต่เขากระจ่างแจ้ง ขอแค่ยินยอม พอแตะตัว ก็จะชักนำปราณภายในทั้งหมดในตอนนี้ของซ่งเจิ้นกั๋วกลับมาได้

‘ปราณหยินหยางขวดสมบัตินี้… ชั่วร้ายอยู่บ้าง…’ ลู่เซิ่งกล่าวในใจ แต่เปลือกนอกไม่แสดงออก

“ระดับของท่านในปัจจุบัน นับว่าเป็นขั้นเบื้องต้นแล้ว ข้าจะไม่ช่วยท่านอีก กระบวนท่าที่ข้าให้ท่านกลับไปตั้งใจฝึกฝนเล่า ตอนนี้ฝึกเป็นอย่างไรบ้าง”

ตอนนั้นเขาถ่ายทอดกระบวนท่าหนึ่งที่ออกแบบเฉพาะตัวให้แก่ซ่งเจิ้นกั๋ว เพราะคิดทดลองดูว่า การฝึกแค่กระบวนท่าเดียวจะบรรลุถึงระดับไหน

“ฝึกฝนมาโดยตลอด” ซ่งเจิ้นกั๋วพยักหน้า ออกท่วงท้าช้าๆ จากนั้นก็ต่อยออกไปด้านหน้าหนึ่งหมัด

ควับ!

เขาต่อยหมัดออก เชี่ยวชาญช่ำชอง ดูเหมือนธรรมดาไม่มีความพิเศษ แม้จะตั้งใจฝึก แต่เวลาไม่กี่เดือนยังน้อยไป ฝึกถึงขั้นนี้ได้ก็ไม่เลวแล้ว

“ตั้งใจฝึกฝนต่อ จะมีผลลัพธ์เอง” ลู่เซิ่งให้กำลังใจ

“ทราบแล้ว!” ซ่งเจิ้นกั๋วฮึกเหิมกว่าเดิม

ลู่เซิ่งไม่ได้ดูดซับปราณหยินหยางขวดสมบัติสายนั้นกลับ แต่ว่าถ่ายทอดวิชาคว้าจับที่ใช้ได้จริงชุดหนึ่งให้ เป็นวรยุทธ์ไม่มีค่าใช้จ่ายในศาลาประกาศยุทธอยู่แล้ว

ถึงอย่างไรซ่งเจิ้นกั๋วก็เป็นศิษย์สำนักอาทิตย์ชาด เป็นคนของพรรควาฬแดง ไม่นับว่าละเมิดกฎ ยิ่งไปกว่านั้น ระดับพลังของเขาในตอนนี้เหนือกว่าอดีตมาก เขาจะทำอย่างไรก็ไม่ถึงรอบให้ยอดฝีมือในยุทธจักรคนอื่นๆ มาตำหนิสั่งสอน

ทางตระกูลขุนนางก็ไม่สนใจอยู่แล้วว่าจะถ่ายทอดวรยุทธ์หรือไม่

หลังจัดการเรื่องซ่งเจิ้นกั๋วเสร็จ อาการบาดเจ็บของลู่เซิ่งในที่สุดก็ทุเลาลงมากแล้ว

เรื่องแลกเปลี่ยนวรยุทธิ์ เขาได้เลือกยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งจากในพรรค ทั้งหมดสามสิบคน ทั้งหมดเป็นหัวกะทิในพรรค ผู้อาวุโสกับผู้จัดการภารกิจภายนอกอีกหลายคนที่เพิ่งเลื่อนระดับ ยังมีหัวหน้าและรองหัวหน้าสาขาจากแต่ละที่ ยอดฝีมือระดับเก้ามัจฉาที่เลือกออกมา อย่างแย่ที่สุดเป็นระดับสูงสุดของพลังปลอดโปร่ง จากนั้นเป็นยอดฝีมือระดับสำนึกปลอดโปร่งสี่คน

เสบียงอาหาร สัมภาระ ของขวัญ ลูกศิษย์องครักษ์ใกล้ชิด รวมกันแล้ว เป็นขบวนค้าขายขนาดย่อม ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังพรรคแม่น้ำขาว

……………………………………….

[1] เฮยอู๋ฉาง เป็นเทพที่มีหน้าที่รับวิญญาณคนตาย ใส่ชุดดำและหมวกสีดำ