ตอนที่ 234 พรสวรรค์เกิดแต่ฟ้า

พันธกานต์ปราณอัคคี

ไม่ว่าจะพูดเช่นไรมั่วชิงเฉินก็เดินทางตามลำพังผ่านสถานที่มาไม่น้อย ต่อให้กลางดึกกลางดื่นจู่ๆ มีสตรีชุดขาวพลิ้วไหวโผล่มาเปลือยเท้าลอยอยู่กลางอากาศ ก็ไม่ถึงกับตกใจสะดุ้งโหยง เพียงแต่สภาพการณ์เช่นนี้ออกจะประหลาดไปสักหน่อยจริงๆ จึงกลั้นหายใจจ้องสตรีกลางอากาศตาไม่กะพริบ

 

 

ลองดูอย่างละเอียด มั่วชิงเฉินหรี่ตาขึ้นมา

 

 

สตรีชุดขาวนี่ลอยอยู่กลางอากาศ ราวกับไม่มีน้ำหนักเลยสักนิด ดูเหมือนลมพัดมาระลอกหนึ่งก็จะถูกพัดกระจายไปได้อย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าจะดูเช่นไรก็ไม่เหมือนมนุษย์

 

 

เพียงแต่หากจะบอกว่านางเป็นวิญญาณ ก็ไม่ค่อยเหมือนอีก

 

 

นี่…ตกลงเป็นตัวอะไรกันแน่?

 

 

มั่วชิงเฉินเข้าใจว่าตนเองความรู้ยังน้อยนิดนัก ต่อให้เป็นความรู้บางอย่างเกี่ยวกับทางผียังเพราะเรื่องของท่านปู่จึงไปพลิกคัมภีร์ทั่วเขาป่าไผ่ถึงได้รู้เรื่องบ้างเล็กน้อย

 

 

น่าเสียดายที่หอคัมภีร์ของเหยากวงมีเพียงชั้นสามลงมาที่เปิดให้ศิษย์ระดับสร้างรากฐาน สถานที่เก็บวิชายุทธ์ชั้นสูงและม้วนคัมภีร์หยกที่บันทึกเกี่ยวกับวิชานอกลู่นอกทางล้วนอยู่ชั้นสามขึ้นไป ด้วยตบะในยามนี้ของนางต่อให้เป็นศิษย์ก้นกุฏิของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็ไม่มีคุณสมบัติขึ้นไป ว่ากันว่ากฎเกณฑ์ข้อนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้บำเพ็ญเพียรบางคนที่จิตใจไม่แน่วแน่พอสัมผัสกับวิชานอกลู่นอกทางเร็วเกินไปจนเกินเดินทางผิด

 

 

มั่วชิงเฉินเดาไม่ออกว่าสตรีชุดขาวที่รูปร่างเหมือนคนนี้คืออะไรกันแน่ จึงได้แต่หลบดูอยู่ข้างๆ แม้แต่หายใจก็ไม่กล้าหายใจแรง ได้เพียงหวังว่าชายชุดดำนี้จะรีบไปโดยเร็ว ตนจะได้ออกไปได้

 

 

ส่วนอะไรกุญแจลับ สำนักลั่วสยาจนถึงแดนไท่ไป๋ ตกลงสามสิ่งนี้เกี่ยวข้องกันเช่นไรนางไม่สนใจ พูดถึงที่สุดแล้วก็คือเรื่องแย่งชิงผลประโยชน์กันเท่านั้น

 

 

บัดนี้ตนโอสถเพียงพอ ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรค่อนข้างเร็ว อีกทั้งได้สมบัติวิเศษเช่นไหมเกล็ดน้ำแข็งอีก บำเพ็ญเพียรจนหมดความอดทนใจร้อนยังสามารถท่องเที่ยวฝึกตนไปทั่ว การชิงผลประโยชน์ระหว่างเต๋าและมารเช่นนี้นอกจากสติไม่ดีถึงเอาตัวไปแปดเปื้อนด้วย

 

 

ก็ได้เพียงแต่บอกว่าดวงของมั่วชิงเฉินบางทีก็ไม่ค่อยดีจริงๆ ในใจนางภาวนาให้ชายชุดดำรีบไปโดยเร็ว ใครจะรู้ว่าคนนั้นกลับดูเหมือนนึกสนุกขึ้นมา ร่ายรำกระบี่ยาวต่อหน้าแสงจันทร์กระจ่างขึ้นมา เข้าสู่เขตแดนลืมตัวตนเสียแล้ว

 

 

ด้วยความจำใจ มั่วชิงเฉินจึงตั้งใจดูชายชุดดำฝึกกระบี่ขึ้นมาให้รู้แล้วรู้รอดไป

 

 

นางไม่คิดจะรีบร้อนจากไปแล้ว เมื่อสงบใจลงดูกลับดูเงื่อนงำออกเล็กน้อย

 

 

สภาพรอบๆ ชายชุดดำดูเหมือนต่างจากที่อื่นเสียแล้ว เหมือนสามารถเปลี่ยนไปตามเพลงกระบี่ของเขาได้

 

 

ยามที่กระบี่ยาวร่ายรำรวดเร็วแสงเย็นวิบวับ สภาพรอบๆ ดูเหมือนจะหยุดนิ่งตาม ราวกับถูกน้ำแข็งแช่แข็งไว้ก็ไม่ปาน หลังจากกระบี่ยาวช้าลงลมเย็นพัดพระจันทร์หนาว สรรพสิ่งไร้เสียง สภาพรอบข้างเปลี่ยนตามอีกครั้ง

 

 

กระบี่ยาวในมือชายชุดดำราวกับปกคลุมผืนดินนี้ไว้ภายใต้แสงกระบี่ ต้นไม้ใบหญ้า ภูเขาก้อนหินรอบๆ ล้วนอยู่ในกำมือของเจ้าของกระบี่

 

 

ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินก็นึกถึงการสู้ครั้งสุดท้ายกับผู้บำเพ็ญเพียรนิกายเหอฮวนยาม ‘เยือนสำนัก’ ยามนั้นตนดูเหมือนเข้าสู่แดนมหัศจรรย์ที่ไม่อาจพรรณนาด้วยคำพูดได้ ความรู้สึกในยามนั้นก็เป็นเช่นนี้ ราวกับทุกสิ่งรอบๆ ล้วนอยู่ในการควบคุม ไม่ก็ร้อยบุปผาร่วงโรย ไม่ก็ร้อยบุปผาสะพรั่ง ภายใต้แสงกระบี่ปกคลุมตนก็คือคนที่สามารถกุมชะตาฟ้าดิน

 

 

นึกได้ดังนั้นมั่วชิงเฉินหน้าถอดสี ทันใดนั้นไม่ทันได้สนใจการปิดซ่อนอีกแล้ว อัญเชิญไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมาแล้วบินขึ้นฟ้าไปอย่างไม่ลังเล

 

 

นางเพิ่งออกไป แสงกระบี่สายหนึ่งก็ฟาดลงที่ที่ซ่อนตัวตามคาด จากนั้นชั้นวางดอกไม้พังลงทันที

 

 

“คนถ่อยที่ไหน?” ชายชุดดำตะโกนเสียงเย็นชาพลางกระโดดตามขึ้นไป

 

 

มั่วชิงเฉินด้านหนึ่งใช้พลังวิญญาณเร่งไหมเกล็ดน้ำแข็งทะยานอย่างบ้าคลั่งในอากาศ ด้านหนึ่งแอบคิดว่าตนเดาไว้ไม่ผิดจริงๆ ยามที่ชายชุดดำฝึกกระบี่ไม่คิดเลยว่าจะผสานจิตกระบี่ กลายเป็นพลัง สำหรับสภาพรอบกายที่ถูกปกคลุมภายใต้จิตกระบี่ทุกอย่างล้วนกระจ่างแก่ใจ ต่อให้สิ่งที่ตนใช้คือยันต์ซ่อนวิญญาณที่สามารถปิดบังผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็ไร้ประโยชน์

 

 

โชคดีที่ตนตัดสินใจเด็ดขาด มิเช่นนั้นคนนั้นกำลังอยู่ในสภาพลืมตน ในยามที่ร่างกายและกระบี่รวมกันเป็นหนึ่ง แสงกระบี่ที่ปล่อยออกมาต้องพอให้ตนลนลานจนทำอะไรไม่ถูกแน่นอน ถ้าดึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนนั้นมาอีกก็ดับดิ้นตรงนั้นแล้ว

 

 

ส่วนบัดนี้ ต่อให้คนคนนั้นอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลาย ตนมีไหมเกล็ดน้ำแข็งในมือก็ไม่กังวลว่าจะสลัดเขาไม่หลุด

 

 

สองคนหนึ่งหน้าหนึ่งหลังโฉบผ่านกลางอากาศอย่างเร็ว ลากแสงยาวๆ ออกมาสองสาย

 

 

เมืองลั่วหยางเดิมก็ไม่ใหญ่อยู่แล้ว ความเคลื่อนไหวนี้จึงรบกวนผู้บำเพ็ญเพียรไม่น้อยทันที

 

 

“ท่านอา ท่านดูบนฟ้า!” โอวหยางไห่ที่ใส่ชุดสีน้ำเงินเงยหน้าอยู่ พอดีเห็นลำแสงสองสายวาดผ่านอากาศเหมือนดาวตก หนึ่งเขียวหนึ่งมรกต เจิดจรัสวิจิตรยิ่งนัก

 

 

โอวหยางเยี่ยนซานที่อยู่ข้างๆ สีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน พึมพำว่า “วิชายุทธ์ธาตุลม?”

 

 

“ท่านอา?” โอวหยางไห่ไม่ค่อยเข้าใจ

 

 

โอวหยางเยี่ยนซานมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่กลับสู่ความสงบ ถอนใจว่า “ไห่เอ๋อร์ เมืองลั่วหยางเราตั้งอยู่ในสถานที่เล็กๆ หลายร้อยปีมานี้คลื่นลมสงบเสมอมา ใครจะรู้ว่าหลายสิบปีมานี้กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างคาดเดาไม่ได้ แม้แต่อาเองก็ดูไม่ค่อยเข้าใจแล้ว เจ้าเห็นสีของแสงสองสายเมื่อครู่หรือไม่?”

 

 

โอวหยางไห่พยักหน้า “ไห่เอ๋อร์เห็นแล้ว แสงด้านหน้าเป็นสีเขียว แสงด้านหลังเป็นสีมรกต ท่านอา แสงสีเขียนนั่นไห่เอ๋อร์เข้าใจ ผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นต้องบำเพ็ญเพียรวิชายุทธ์ธาตุไม้เป็นแน่ ส่วนแสงสีมรกต หลายปีถึงเพียงนี้กลับไม่เคยเห็นมาก่อน”

 

 

“แสงสีมรกต…” โอวหยางเยี่ยนซานครุ่นคิชั่วครู่ถึงว่า “มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรที่บำเพ็ญเพียรวิชายุทธ์ธาตุลมถึงเป็นสีมรกต และผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปจะตระหนักรู้คาถาธาตุลมสักคาถาหนึ่งก็ยากเย็นแสนสาหัส คิดบำเพ็ญเพียรวิชายุทธ์ธาตุลม แสดงว่าคนคนนี้ต้องมี…รากวิญญาณลมแน่นอน!”

 

 

“อะไรนะ รากวิญญาณลมแปรผัน?” โอวหยางไห่ตกใจร้องเสียงหลง

 

 

โอวหยางเยี่ยนซานทอดถอนใจว่า “ถูกต้อง นึกถึงปีนั้นเมืองลั่วหยางของเราปรากฏรากวิญญาณน้ำแข็งแปรผันขึ้นคนหนึ่ง ไม่คิดว่าวันนี้จะได้เห็นรากวิญญาณลม ไห่เอ๋อร์ ไม่รู้เจ้าสังเกตหรือไม่ พลานุภาพที่กระจายออกจากผู้บำเพ็ญเพียรสองคนนั้นเห็นชัดว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ผู้บำเพ็ญเพียรด้านหลังก็คือรากวิญญาณลม ไม่แปลกที่ความเร็วสามารถเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะต้น ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรข้างหน้าความเร็วไม่ด้อยกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะต้นเช่นกัน เช่นนั้นก็ค่อนข้างประหลาดแล้ว”

 

 

ความอิจฉาวาบผ่านตาโอวหยางไห่

 

 

โอวหยางเยี่ยนซานมองโอวหยางไห่ปราดหนึ่ง ถอนใจว่า “เมื่อผิดปกติย่อมต้องมีอะไรแน่ๆ ไห่เอ๋อร์ พรุ่งนี้เจ้าก็อ้างการท่องเที่ยวฝึกตน ไปจากเมืองลั่วหยางเถอะ”

 

 

“ท่านอา!” โอวหยางไห่แปลกใจ “ทว่ากลางวันวันนี้ไห่เอ๋อร์นัดแนะกับหลัวอวี้เฉิงแห่งตระกูลหลัวไว้แล้ว…”

 

 

ยังพูดไม่จบก็ถูกโอวหยางเยี่ยนซานพูดแทรก “เอาล่ะ เรื่องนี้ก็ฟังอาแล้วกัน เรื่องของตระกูลหลัวต่อไปก็ให้ข้าออกหน้าเอง”

 

 

เห็นโอวหยางไห่สีหน้าไม่ยินยอม โอวหยางเยี่ยนซานตบไหล่ของโอวหยางไห่ว่า “ไห่เอ๋อร์ อาในฐานะหัวหน้าตระกูลโอวหยาง อย่างไรก็ต้องเหลือผู้สืบสกุลไว้ให้ตระกูลโอวหยางเรา เจ้าอย่าลืมตระกูลมั่วในปีนั้น…”

 

 

โอวหยางไห่ได้ยิน ‘ตระกูลมั่ว’ สองคำแล้วหน้าถอดสีทันที เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ท่านอา ไห่เอ๋อร์เข้าใจแล้ว”

 

 

กลางอากาศ ลำแสงสองสายออกจากเขตเมืองลั่วหยางอย่างรวดเร็ว

 

 

อย่างไรเสียไหมเกล็ดน้ำแข็งก็เป็นสมบัติวิเศษ มั่วชิงเฉินฝืนเร่ง จึงค่อยๆ เหนื่อยล้าขึ้นมา

 

 

สัมผัสพลานุภาพที่เปล่งออกจากผู้บำเพ็ญเพียรที่ไล่ตามไม่ลดละข้างหลังพลาง มั่วชิงเฉินเกิดสงสัยขึ้นมา แปลกจริง ไยคนคนนั้นถึงมีความเร็วเช่นนี้ได้? คิดเช่นนี้พลางอดหันกลับไปมองปราดหนึ่งไม่ได้

 

 

เมื่อหันกลับไป มั่วชิงเฉินก็อดตกใจยกใหญ่ไม่ได้ ชายชุดดำคนนั้นไม่เพียงแต่ไม่ถูกนางสลัดทิ้งไปไกล ไม่คิดเลยว่ากลับมีทีท่าว่าจะไล่ขึ้นมาทัน

 

 

“แสงวิญญาณสีมรกต?” ระหว่างที่ใช้ความคิดอย่างรวดเร็วมั่วชิงเฉินหนักใจขึ้นมา จากนั้นยิ้มขึ้นมาอย่างขมขื่น

 

 

ชาติที่แล้วตนไปล่วงเกินสวรรค์ไว้เช่นไรล่ะนี่ ชาตินี้ท่านถึงเล่นตนเองเช่นนี้

 

 

เดิมทีแผนการหลบหนีที่มั่นใจ ไม่คิดว่าจะพบกับผู้บำเพ็ญเพียรรากวิญญาณลมแปรผัน นี่ นี่ต้องโชคร้ายปานใดถึงเจอล่ะนี่!

 

 

ปล่อยเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ ตนฝืนใช้ไหมเกล็ดน้ำแข็งผลาญพลังวิญญาณเร็วเกินไป รอพลังวิญญาณผลาญสิ้นถูกผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นไล่ทัน ก็มีเพียงทางตายทางเดียวเท่านั้นแล้ว

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้แลกกันสักตั้ง!

 

 

นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินก็พุ่งลงข้างล่างทันที ร่อนลงบนพื้นอย่างรีบร้อน

 

 

ชายชุดดำกลางอากาศเห็นคนที่ไล่ตามมาตลอดจู่ๆ ก็ร่อนลง จึงตามลงไปอย่างไม่ลังเล

 

 

ยานนี้สถานที่ที่ทั้งสองคนอยู่คือในหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง ทว่าไม่ว่าใครก็ไม่มีกะจิตกะใจพิจารณารอบด้าน สายตาต่างจ้องอีกฝ่ายเขม็ง

 

 

“เจ้าเป็นใคร?” ชายชุดดำเสียงเย็นดุจน้ำในฤดูใบไม้ผลิ ในใจกลับประหลาดใจเล็กน้อยไม่คิดว่าคนที่ไล่ตามจะเป็นสตรีอายุน้อยปานนี้

 

 

มั่วชิงเฉินรีบใช้ความคิด ปากเอ่ยว่า “ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่เดินทางผ่านเมืองลั่วหยาง บังเอิญได้ยินว่าในเมืองมีจวนหลัวอยู่แห่งหนึ่งกลางคืนมีผีอาละวาดจึงเกิดแปลกใจขึ้นมา ทนไม่ไหวจึงไปดูสักหน่อย”

 

 

“เจ้านึกว่าข้าจะเชื่อเช่นนั้นหรือ?” ชายชุดดำตาฉายแววเย้ยหยัน

 

 

มั่วชิงเฉินถอนใจว่า “สหายเต๋า ข้าเพียงแต่แปลกใจถึงไปดูจริงๆ หากเจ้าไม่เชื่อข้าก็ช่วยไม่ได้”

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินสีหน้าใจเย็นไม่เหมือนแสร้งทำ ชายชุดดำกลับกระดกมุมปากขึ้น หัวเราะนิ่งเรียบว่า “ไม่ว่าเจ้าจะตั้งใจหรือไม่ เจ้าต้องได้ยินการสนทนาของเราในคืนนี้แล้วเป็นแน่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เก็บเจ้าไว้ไม่ได้แล้ว”

 

 

เพิ่งสิ้นเสียงชายชุดดำ กระบี่ยาวในมือก็ตวัดขึ้นมา สตรีชุดขาวปรากฏขึ้นกลางอากาศ เปลือยเท้าลอยอยู่หลังผู้ชาย

 

 

กระบี่ชิงมู่ในมือมั่วชิงเฉินปรากฏขึ้น ร่ายเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ขึ้นเช่นกัน

 

 

บุปผามากมายบานสะพรั่งกลางอากาศ เพียงครู่เดียวกลับถูกจิตกระบี่เย็นยะเยือกของอีกฝ่ายกวนจนร่วงกราว ไอเย็นกระหน่ำจู่โจมมาที่นาง

 

 

แม้จะบอกว่าวันก่อนในโถงแสดงยุทธ์มั่วชิงเฉินยังชนะศิษย์พี่ระดับสร้างรากฐานระยะปลายคนหนึ่ง ทว่าชายตรงหน้าเห็นชัดว่าเป็นผู้ที่โดดเด่นในผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน ยามนี้ทั้งสองคนประมือกัน ความต่างของตบะก็กลายเป็นช่องว่างที่นางยากจะก้าวข้ามไปได้เสียแล้ว

 

 

ที่ยิ่งทำให้นางลำบากเหลือจะกล่าวก็คืออีกฝ่ายมีจิตกระบี่แล้ว ตามเคล็ดกระบี่ที่ร่ายออกมาตนได้รับผลกระทบกระเทือนจากจิตกระบี่ของอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด ส่วนเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ที่ใช้ออกมายามนี้กลับมีรูปแต่ไร้จิต อานุภาพเทียบไม่ได้กับยามที่สู้กับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวน

 

 

ประมือกันหลายกระบวนท่า มั่วชิงเฉินค่อยๆ รู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว

 

 

ชายชุดดำยิ้มเยาะ ปลายกระบี่ปล่อยปราณสีขาวออกมาพุ่งไปที่มั่วชิงเฉินทันที

 

 

ปราณสีขาวชนถูกตัวมั่วชิงเฉิน มั่วชิงเฉินสั่นเทิ้มในทันที ทั้งตัวเหมือนถูกราดด้วยน้ำเย็นจนทั่ว หากไม่เพราะนางอยู่ถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดมาระยะหนึ่ง ปราณสีขาวสายนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้นางเย็นจนแข็งแล้ว

 

 

ต่อให้มั่วชิงเฉินไม่ถึงกับขยับตัวไม่ได้ตามที่ชายชุดดำคาดไว้ ความเคลื่อนไหวกลับช้าลงอย่างเห็นได้ชัดแล้ว

 

 

แสงเย็นวาบผ่านตาชายชุดดำ กระบี่ยาวจู่โจมมาเงียบๆ

 

 

ในยามนี้ มั่วชิงเฉินกระทั่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความตาย ความกดดันแห่งความเป็นตายจู่โจมมา แล้วก็เห็นเพียงนางตวัดกระบี่ชิงมู่ บุปผามากมายออกมาขวางการโจมตีของกระบี่ยาวไว้ ท่ามกลางกลิ่นผกาอบอวลเสียงนกขับขาน กลิ่นอายเย็นเยียบวังเวงสายนั้นถูกกวาดสลายไปทันที ที่มาแทนคือความมีชีวิตชีวา

 

 

ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานในที่สุดมั่วชิงเฉินก็เข้าสู่สภาพของวันนั้น เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ที่มีจิตกระบี่มีชีวิตขึ้นมาทันที อานุภาพเพิ่มขึ้นมากมาย

 

 

ชายชุดดำนัยน์ตาฉายแววตะลึง บนใบหน้ากลับไม่แยแส

 

 

ในยามที่มั่วชิงเฉินประคองอย่างลำบากนั่นเอง จู่ๆ ก็เห็นสตรีชุดขาวที่ลอยอยู่ด้านหลังชายชุดดำร่อนลงบนปลายกระบี่ของเขา กระบี่ยาวปล่อยกลิ่นอายเย็นยะเยือกที่ไม่มีอะไรเทียบได้กลืนกินกลิ่นอายมีชีวิตชีวาสายนั้นจนหมด พริบตาเดียวก็ล้อมมั่วชิงเฉินไว้ภายใน

 

 

จากนั้น มั่วชิงเฉินที่ตะลึงว่าไม่สามารถขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อยมองกระบี่ยาวแทงมาที่ตนกับตา