ตอนที่ 235 ตกสู่แดนไร้วิญญาณ

พันธกานต์ปราณอัคคี

ในครั้งนี้ มั่วชิงเฉินสัมผัสได้อย่างชัดเจนแล้วว่าความแตกต่างของตบะช่างยากจะก้าวข้ามเพียงใด

 

 

การ ‘เยือนสำนัก’ ก่อนหน้านี้นางชนะคนของนิกายเหอฮวนรวดเดียวเจ็ดคน ต่อให้อาจารย์จะเคยเตือนผ่านๆ ว่าวิชายุทธ์ของนิกายเหอฮวนมีผลต่อการพิชิตผู้ชาย ต่อสตรีละก็ยากจะสำแดงฤทธิ์เดช ทว่าต่อมาการประลองกันหลายครั้งในโถงแสดงยุทธ์ นางยังคงไม่แพ้เลยสักครั้ง กวาดผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันจนราบเรียบ แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายก็เคยชนะมาก่อน

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ในจิตใต้สำนึกของมั่วชิงเฉินการประลองข้ามขั้นจึงไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้อะไร นางมั่นใจว่าสามารถต่อกรกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายได้

 

 

ทว่าเจอชายชุดดำนี้ถึงเข้าใจ ชัยชนะก่อนหน้านี้เป็นเพราะยังไม่เคยเตะถูกของแข็ง ยามใดที่พบกับผู้ที่โดดเด่นในระดับสร้างรากฐานระยะปลาย ความแตกต่างของตบะก็จะกลายเป็นช่องว่างที่ยากจะก้าวข้ามได้

 

 

กระบี่ยาวใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในขณะนี้ มั่วชิงเฉินประจักษ์แล้วว่าอะไรคืออับจนหนทาง

 

 

‘สวบ’ ดังขึ้นเสียงหนึ่ง คือเสียงปลายกระบี่แทงทะลุเสื้อผ้า ทว่าต่อจากนั้นก็เห็นที่หน้าอกของมั่วชิงเฉินเปล่งแสงเจิดจ้า กระบี่ยาวถูกดีดกลับไปทั้งอย่างนั้น

 

 

ในยามที่ชายชุดดำกำลังงงงัน ระเบิดสะท้านฟ้าสามลูกปรากฏขึ้นในมือมั่วชิงเฉิน แล้วโยนไปที่ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ลังเล

 

 

เห็นชัดว่าชายชุดดำประสบการณ์สู้รบล้นหลาม ความงงงันในชั่วพริบตาไม่มีผลต่อการตัดสินใจของเขาแต่อย่างใด ท่ามกลางเสียงดังสนั่นเขาสองเท้าแตะพื้นลอยถอยหลังไปดุจสายลม ขณะเดียวกันก็ตวัดกระบี่ สตรีชุดขาวที่ยืนอยู่บนปลายกระบี่ลอยเบาๆ พุ่งเข้าไปในควันหนาอย่างประหลาด

 

 

สตรีชุดขาวราวกับไม่ได้รับผลกระทบจากควันหนาที่เกิดจากการระเบิดของระเบิดสะท้านฟ้าแม้แต่น้อย กางแขนสองข้างออกทะลุควันหนาเข้าไปทั้งตัว โถมไปบนตัวมั่วชิงเฉินโดยตรง

 

 

หากมีผู้ยืนดูก็จะเห็นด้วยความตะลึงว่า ยามที่สตรีชุดขาวโถมไปถึงตัวมั่วชิงเฉิน นางดูเหมือนล่องหนได้หายเข้าไปในกายมั่วชิงเฉินทั้งตัว จากนั้นมุดออกจากหลังมั่วชิงเฉิน ค่อยๆ รวมเป็นร่างคนอีกครั้ง

 

 

ในชั่วพริบตานั้นมั่วชิงเฉินรู้สึกถึงความหนาวเย็นทะลุกระดูก โชคดีที่ยามที่ปล่อยระเบิดสะท้านฟ้าออกมานางได้ส่งเพลิงแก้วใจกระจ่างหย่อมหนึ่งออกมาลอยอยู่บนปลายนิ้วเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด เมื่อหลังจากที่สตรีชุดขาวเหมือนควันเขียวที่จับต้องไม่ได้ลอยผ่านไปนางก็ขยับเขยื้อนไม่ได้ไปทั้งตัว มีเพียงมือที่มีเพลิงแก้วใจกระจ่างที่ปล่อยออกมายังสามารถขยับได้

 

 

มือข้างหนึ่งยังสามารถขยับได้ นั่นก็เพียงพอแล้ว!

 

 

มั่วชิงเฉินตัดสินใจเป็นไงเป็นกัน ระเบิดสะท้านฟ้าปรากฏขึ้นในมือไม่ได้ขาด ขอเพียงปรากฏขึ้นก็โยนไปที่ที่มีควันหนานั่นทันที

 

 

ชายชุดดำที่มั่นใจเต็มเปี่ยมเสมอมาภายใต้อานุภาพแรงระเบิดของระเบิดสะท้านฟ้าในที่สุดก็ทุลักทุเลขึ้นมาเล็กน้อย ขยับตัวหลบหลีกการโจมตีไม่ได้หยุด

 

 

ที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ ควันหนาที่กระพือขึ้นเพราะการระเบิดติดๆ กันไม่ได้กระจายไปแม้สักนาทีเดียวชัดๆ กระทั่งยังมีทีท่ายิ่งนานยิ่งหนา แต่ระเบิดประหลาดที่หญิงที่อยู่ตรงข้ามโยนมากลับส่วนใหญ่ล้วนพุ่งมาที่ทิศทางที่เขาอยู่

 

 

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ หรือว่าตาของหญิงคนนั้นสามารถมองทะลุหมอกหนาได้?

 

 

ในระหว่างที่หลบหลีกไม่หยุด คำถามต่างๆ นานาพุ่งขึ้นในใจชายชุดดำ

 

 

‘ปัง’ เสียงหนึ่ง ชายชุดดำเพิ่งหลบระเบิดสะท้านฟ้าได้ลูกหนึ่ง ใครจะรู้ว่าที่ที่ร่อนลงปรากฏระเบิดสะท้านฟ้าขึ้นจากไหนก็ไม่รู้ลูกหนึ่งแล้วระเบิดออกทันที กระแสอากาศอันรุนแรงพุ่งเข้ามาดันเขาหงายหลังกับพื้น

 

 

“แค่กๆ” ชายชุดดำไอพลาง สีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมา

 

 

สมควรตาย ไม่คิดเลยว่าจะถูกระดับสร้างรากฐานระยะกลางคนหนึ่งทำร้ายบาดเจ็บ!

 

 

ชายชุดดำใช้กระบี่ยันตัวยืนขึ้นมา จากนั้นสองมือกอดกระบี่ไว้ที่หน้าอก ในปากร่ายไปสองสามประโยค

 

 

แล้วก็เห็นสตรีชุดขาวกลายเป็นควันสีขาวกลุ่มหนึ่งมุดเข้ากระบี่ กระบี่ยาวทั้งเล่มเปล่งแสงสีขาวจ้าขึ้นทันที กลายเป็นแสงเย็นนับไม่ถ้วนพุ่งทะลุหมอกหนาไปทางมั่วชิงเฉิน

 

 

เดิมทีมั่วชิงเฉินก็ขยับเขยื้อนไม่ได้อยู่แล้ว ได้แต่มองแสงเย็นนับไม่ถ้วนจู่โจมมาที่ตนตาปริบๆ

 

 

นางกัดฟันอย่างแรง ระเบิดสะท้านฟ้าสิบกว่าลูกปรากฏขึ้นในพริบตา เหมือนสายสร้อยที่ร้อยขึ้นแน่นขนัดขนาดมหึมา

 

 

“ไป!” มั่วชิงเฉินตะโกนเบาๆ เสียงหนึ่ง เปลวไฟสีฟ้าที่ปลายนิ้วหย่อมนั้นตามระเบิดสะท้านฟ้าสิบกว่าลูกบินไปฝั่งตรงข้าม หลังจากบินออกไปหลายจั้งเปลวไฟสีฟ้าก็จุดติดระเบิดสะท้านฟ้า

 

 

ไม่รู้เพราะมีเพลิงแก้วใจกระจ่างเป็นเชื้อเพลิงหรือเพราะจำนวนระเบิดสะท้านฟ้ามีมาก ครั้งนี้หุบเขาที่ทั้งสองคนอยู่เกิดเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหวสะเทือนฟ้าดินขึ้นระลอกหนึ่ง

 

 

ตามติดด้วยพื้นดินใต้เท้ามั่วชิงเฉินสั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง ตามด้วยเสียงก้อนหินยักษ์กลิ้งตก นกและสัตว์นับไม่ถ้วนร้องระงมวิ่งหนี

 

 

ท่ามกลางพื้นดินสะเทือนภูเขาสั่นไหว มั่วชิงเฉินที่ยังคงขยับตัวไม่ได้จู่ๆ ก็รู้สึกใต้เท้าว่างเปล่า คนทั้งคนตกลงไปข้างล่างทันที

 

 

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ฟื้นขึ้นมา ลืมตาขึ้นอย่างเปลืองแรง ความเจ็บปวดที่รุนแรงและความหนาวเย็นเกือบทำให้นางหมดสติอีกครั้ง

 

 

“เจ้าฟื้นแล้วหรือ?” เสียงเย็นๆ เสียงหนึ่งลอยมา

 

 

มั่วชิงเฉินสะดุ้งเฮือกทันที มองไปตามเสียง เห็นเพียงชายชุดดำที่สู้กันเอาเป็นเอาตายกับตนเอียงตัวพิงอยู่บนกำแพงหินไม่ไกลออกไป สายตาสอดส่องมาทางนี้

 

 

เห็นสีหน้าระแวงของสตรีตรงข้าม ชายชุดดำหัวเราะเย้ยเสียงหนึ่งว่า “วางใจได้ ข้ายังไม่ฆ่าเจ้าชั่วคราว”

 

 

มั่วชิงเฉินสอดส่ายสายตา กวาดมองชายชุดดำรอบหนึ่ง จากนั้นหัวเราะเบาๆ ว่า “เจ้าไม่มีปัญญาฆ่าข้ากระมัง?”

 

 

“เจ้า!” บนใบหน้าชายชุดดำฉายแววโกรธแวบหนึ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินขยับไม่ได้ เพียงแต่ใช้สายตากวาดไปรอบๆ ว่า “อย่าเปลืองแรงเลย บัดนี้พวกเราพอๆ กัน บอกมาดีกว่า ตกลงที่นี่เป็นสถานที่อะไรกันแน่?”

 

 

ชายชุดดำยิ้มเยาะทันทีว่า “สถานที่อะไร? นี่ยังไม่เพราะเรื่องดีที่เจ้าทำไว้หรอกหรือ!”

 

 

“หืม?” มั่วชิงเฉินกะพริบตาอย่างไม่เข้าใจ

 

 

แล้วก็ได้ยินชายชุดดำว่า “ที่เจ้าโยนมันของบ้าอะไรกันแน่ อานุภาพการระเบิดน่ากลัวถึงเพียงนั้น ข้าคาดว่าต้องเป็นการระเบิดครั้งสุดท้ายนั่นระเบิดพื้นผิวดินออกเป็นแน่ พวกเราตกลงมาใต้ดินแล้ว!”

 

 

มั่วชิงเฉินกลับจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมาว่า “เฮ้อ ดูท่าข้าทำได้ไม่เลวจริงๆ หากไม่เพราะเช่นนี้ เกรงว่ายามนี้คงไม่มีแม้แต่โอกาสให้ข้าพูดอยู่ที่นี่แล้ว”

 

 

“เจ้านึกว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปหรือ?” ชายชุดดำพูดชัดถ้อยชัดคำ

 

 

มั่วชิงเฉินเหลือกตาอย่างไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย “มีปัญญา เจ้าก็มาฆ่าข้าสิ!”

 

 

น้ำเสียงท้าทายของมั่วชิงเฉินทำให้สีหน้าของชายชุดดำยิ่งซีดเซียวขึ้น ดูแล้วอ่อนแอสุดจะทนพร้อมจะสลบได้ทุกเมื่อ คำพูดที่พูดออกมากลับรังสีอำมหิตคุกรุ่น “วันที่ออกไปจากที่นี่ ก็คือยามที่ข้าจะเอาชีวิตเจ้า”

 

 

มั่วชิงเฉินแสยะมุมปาก แล้วหลับตาให้รู้แล้วรู้รอดไป

 

 

บัดนี้การที่สองคนคุยกันเช่นนี้มีแต่เปลืองแรงเท่านั้น ไม่ว่าใครก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่เอาเป็นเอาตายกัน ทว่ายามนี้ทั้งสองคนอย่าว่าแต่ฆ่าคนเลย แม้แต่แรงจะขยับยังไม่มี

 

 

ต่อให้ฟื้นฟูเรี่ยวแรงแล้ว ในสภาพแวดล้อมที่ไม่รู้จักก่อนจะเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างชัดเจนไม่ว่าใครก็ไม่มีทางทะเล่อทะล่าลงมือหรอก

 

 

ไม่ว่าอย่างไร ตนพลิกสถานการณ์ที่ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเป็นสถานการณ์เช่นยามนี้ก็นับว่าเป็นชัยชนะที่หายากแล้ว

 

 

อย่างนั้นคนคนนั้นต้องอัดอั้นกว่าตนมาก นึกถึงตรงนี้อารมณ์มั่วชิงเฉินก็อดดีขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้

 

 

นางลองโคจรพลังวิญญาณในกายกลับพบว่าพลังวิญญาณในกายหลังจากผ่านการสู้อย่างเอาเป็นเอาตายเมื่อครู่เกือบแห้งเหือดแล้ว จึงโคจรวิชายุทธ์รวบรวมปราณวิญญาณฟ้าดินรอบๆ ตัวเข้าร่างตามปกติ ทว่าหลังจากนั้นกลับลืมตาขึ้นด้วยความตกใจ

 

 

มันเรื่องอะไรกัน โคจรวิชายุทธ์แล้วกลับไม่อาจดึงปราณวิญญาณฟ้าดินเข้าร่างได้?

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว ไม่ถูก ไม่ใช่ไม่อาจดูดปราณวิญญาณได้ หากแต่ หากแต่รอบๆ นี้ไม่มีปราณวิญญาณฟ้าดิน!

 

 

ในยามนี้เองจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะฟู่เสียงหนึ่ง “เป็นอันใด เจ้าเพิ่งสังเกตหรือ?”

 

 

มั่วชิงเฉินมองไป เห็นในตาชายชุดดำฉายแววเยาะเย้ย จึงอดหัวเราะไม่ได้ว่า “เป็นอันใด เจ้าสังเกตได้ก่อนก้าวหนึ่งแล้วก็นึกวิธีอะไรออกมาได้หรืออย่างไร?”

 

 

ชายชุดดำชะงักงัน

 

 

แล้วก็ได้ยินมั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบว่า “หากไม่มี ยังไม่สู้ประหยัดแรงไว้คิดว่านี่มันเรื่องอะไรกัน พูดจาพิกลเช่นนี้มีความหมายอะไร? ข้ารู้ว่าเจ้าอยากกำจัดเข้าให้สิ้นเรื่องไป ทว่าอย่างไรเสียนั่นก็เป็นเรื่องภายหลัง แก้ปัญหาตรงหน้าก่อน รอออกไปแล้วค่อยสู้กันดีๆ อีกสักตั้งไม่สะใจกว่าที่เป็นอยู่เช่นนี้หรือ?”

 

 

ชายชุดดำนิ่งเงียบครู่หนึ่ง มองมั่วชิงเฉินตาไม่กะพริบ จากนั้นจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้น “เจ้าพูดได้ถูกต้อง” ครั้งนี้ ในตาไม่มีแววดูถูกเยาะเย้ยอีก

 

 

หลังจากนั้น ชายชุดดำพูดออกมาประโยคหนึ่งที่ทำให้มั่วชิงเฉินตกใจยกใหญ่ “เกรงว่าเจ้ายังไม่ได้ลอง ข้าลองแล้ว ถุงเก็บวัตถุเปิดไม่ออก”

 

 

ไม่ทันได้สนใจเรื่องพูดแล้ว มั่วชิงเฉินรีบเคลื่อนพลังวิญญาณที่บางเบาในกายไปเปิดถุงเก็บวัตถุ กลับพบว่าพลังวิญญาณเพิ่งปล่อยออกนอกกายก็สลายไปในพริบตา

 

 

มั่วชิงเฉินหน้าถอดสีทันที ถุงเก็บวัตถุเปิดไม่ได้ ก็หมายความว่าสวนสมุนไพรพกพาก็ใช้ไม่ได้ ระเบิดสะท้านฟ้าใช้หมดเกลี้ยงในการสู้เอาเป็นเอาตายเมื่อครู่แล้ว ไม่มีสุราเลิศรสจากขวดน้ำเต้าเซียนเร่งการงอก ในสวนสมุนไพรพุ่มไม้หนามที่เป็นพฤกษาหมื่นปีแล้วกลับไม่อาจงอกระเบิดสะท้านฟ้าออกมาได้อีกในทันที

 

 

ต้องรู้ว่าพุ่มไม้หนามอายุหมื่นปีแล้วแม้ไม่จำเป็นต้องรออีกหมื่นปีถึงงอกระเบิดสะท้านฟ้าได้อีกครั้ง แต่กลับร้อยปีงอกครั้งหนึ่ง ก็หมายความว่าในความเป็นจริงทุกหนึ่งร้อยวันนางถึงเก็บเกี่ยวระเบิดสะท้านฟ้าได้งวดหนึ่ง แต่ละงวดมีเพียงสิบลูกเท่านั้น

 

 

ไม่มีระเบิดสะท้านฟ้าเป็นวิธีรักษาชีวิต ยามที่หลุดออกจากที่นี่ได้นางควรรับมือคนตรงหน้าเช่นไรดีนะ?

 

 

ต่อให้ไม่คิดถึงเรื่องในวันหลัง บัดนี้พวกเขาก็ไม่อาจดูดซับปราณวิญญาณจากฟ้าดินได้ พลังวิญญาณในกายปล่อยออกนอกกายก็สลายไปทันทีอีก เช่นนั้นมิหมายความว่าพลังยุทธ์และพลังเวทมนตร์ทั้งหมดของพวกเขาล้วนหายไปหมด กลายเป็นคนธรรมที่มือปราศจากอาวุธหรอกหรือ?

 

 

“คาถาก็ร่ายไม่ได้ด้วยสินะ?” มั่วชิงเฉินถอนใจว่า

 

 

ในตาชายชุดดำวาบแววชื่นชมผ่านอย่างหาได้ยากว่า “สมองเจ้าหมุนเร็วดีนี่”

 

 

มั่วชิงเฉินหงุดหงิด คนคนนี้ต้องหลงตนเองปานใดกันแน่ นอกจากเขาแล้วผู้บำเพ็ญเพียรในใต้หล้าก็ล้วนเป็นคนโง่ใช่หรือไม่?

 

 

จากนั้นคิดถึงพรสวรรค์รากวิญญาณลมแปรผันของเขาก็รู้สึกว่าคนคนนี้มีนิสัยเช่นนี้ก็ไม่แปลก อย่างไรเสียเขาก็มาจากตระกูลบำเพ็ญเพียร ไม่ใช่สำนักใหญ่ที่อัจฉริยะบินเต็มฟ้า

 

 

ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป อย่าว่าแต่รากวิญญาณฟ้าและรากวิญญาณแปรผันเลย ต่อให้เป็นรากวิญญาณคู่ มีคนไหนไม่ถูกประคบประหงมบ้าง

 

 

“เจ้าคิดว่าบัดนี้สถานการณ์ของเราเป็นเช่นไร?” มั่วชิงเฉินถามหยั่งเชิง

 

 

ชายชุดดำครุ่นคิดครู่หนึ่งถึงว่า “ข้าเดาว่า เกรงว่าเราจะตกเข้ามาในแดนไร้วิญญาณแล้ว”

 

 

“แดนไร้วิญญาณ?” มั่วชิงเฉินบ่นพึมพำ

 

 

“ถูกต้อง เล่าลือกันว่าในแดนไร้วิญญาณ ในฟ้าดินไม่มีปราณวิญญาณเลยแม้แต่น้อย พลังวิญญาณภายในกายผู้บำเพ็ญเพียรเมื่อออกมาข้างนอกก็จะสลายไปเช่นกัน ดังนั้นคาถาฤทธิ์เดชทั้งหมดของผู้บำเพ็ญเพียรล้วนหายไปสิ้น กลายมาไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำเอ่ยช้าๆ

 

 

ไม่อาจเติมพลังวิญญาณ ไม่อาจใช้ถุงเก็บวัตถุ บาดแผลเต็มตัวไม่อาจขยับเขยื้อน สิ่งแวดล้อมที่อยู่ไม่รู้จะมีอันตรายอะไรที่ไม่รู้ปรากฏขึ้น คนที่อยู่เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวยังเตรียมพร้อมจะฆ่าตนเองได้ทุกเมื่อ

 

 

สวรรค์ ข้ายังโชคร้ายกว่านี้ได้อีกหรือไม่? มั่วชิงเฉินหลับตาแล้วคิดเงียบๆ