เพราะในใจรู้ว่า ‘เขา’ รู้สึกสิ่งใดกับตน ดังนั้นขณะที่ดีใจ เขาจึงไม่แสดงออกมา
และยิ่ง ‘เขา’ ใส่ใจ เขายิ่งคิดทำเรื่องที่ทำให้ ‘เขา’ สนใจ คล้ายการหมักสุราที่ยิ่งหมักบ่มนาน ยิ่งหอมหวาน!
ทว่าหลังจากเขาอุ้มเหนียนซูหลานส่งขึ้นรถม้า ความจริงในใจเขาก็เริ่มคิดถึง ‘เขา’ ขึ้นมา
ดังนั้นหลังจากส่งเหนียนซูหลานกลับวังเสร็จแล้ว เขาจึงปฏิเสธคำเชิญเข้าไปดื่มน้ำชาของเธอ รีบร้อนตรงมาที่โรงเตี๊ยมหลูอวี้ คิดไม่ถึงจะเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้
เห็น ‘เขา’ ดื่มจนเมามาย อยู่ในอ้อมกอดของชายอื่น ภาพนั้นทำให้เขาตกตะลึง และก็ทำให้เขาปวดใจอย่างหนัก
น่าตายนัก!เขาจากไปเพียงไม่นาน ‘เขา’ กลับไปอยู่ในอ้อมกอดของชายอื่น และยังดื่มสุรามากมาย หรือว่า ‘เขา’ ไม่รู้ว่าสุราไม่ดีต่อสุขภาพ!
เห็นเช่นนั้น ในใจเหลิ่งจวิ้นอวี๋ทั้งโมโหและสับสน อยากหวด ‘เขา’ แรงๆ สักครั้ง แต่กลับกลัว ‘เขา’ จะเจ็บปวด
โดยเฉพาะเมื่อเห็น ‘เขา’ หลับอย่างสงบหวานชื่นอยู่ในอ้อมกอดของตน แม้เดิมทีในใจจะโมโหอย่างหนัก ทว่าพลันสูญหายไป
สุดท้าย เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่รับตัวเล่อเหยาเหยาที่หลับสนิทมา กวาดสายตาเย็นชามองหนานกงจวิ้นซีที่เมาล้มอยู่ด้านข้าง ยังไม่ทันเอ่ยสิ่งใด ตงฟางไป๋พลันเข้าใจความหมายของเขาทันที จึงเอ่ยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ว่า
“ประเดี๋ยวข้าจะให้คนส่งจวิ้นซีกลับไป”
“อืม เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน”
เมื่อได้ยิน เหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่รั้งรอ อุ้มคนตัวเล็กบอบบางนั้นขึ้น จากนั้นก็หมุนตัวก้าวเดินจากไป
กระทั่งเงาร่างของเขาค่อยๆ หายลับไป ตงฟางไป๋จึงค่อยๆ ดึงสายตากลับมา ก่อนหลุบตามองสุราชั้นดีบนโต๊ะของตน ยื่นมือหยิบมันขึ้นมา ภายในแววตาปิดบังความผิดหวังเสียใจไว้ไม่ได้
“ที่แท้เธอชอบอวี๋”
…
กลางดึกไร้ผู้คน ถนนใหญ่ในเมืองหลวงก็เงียบสงัด
ดวงดาวบนฟ้าเปล่งประกาย พระจันทร์คล้อยเอียงทางทิศตะวันตก แสงจันทร์เย็นตานั้น สาดส่องลงมาบนพื้นดิน ต้นไม้และหลังคาปรากฎเป็นเงาหลากสีสันออกมา
เวลานี้บนถนนหลวงกลับมีรถม้าโออ่ากว้างใหญ่คันหนึ่ง กำลังวิ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
เสียงเกือกม้าและล้อหมุนของรถ ในคืนอันเงียบสงบนั้นจึงดังกังวานเป็นพิเศษ ขณะเดียวกันมีเสียงบ่นพึมพำดังออกมาจากรถม้า
เวลานี้เหลิ่งจวิ้นอวี๋จนใจและปวดศีรษะอย่างยิ่ง เพราะตอนนี้เขาเพิ่งพบว่าคนเมาช่างน่ากลัวเช่นนี้
เดิมทีในโรงเตี๊ยมหลูอวี้ คนในอ้อมกอดยังหลับสนิท คล้ายแมวน้อยแสนน่ารักฝันหวาน อันน่ารักเป็นที่สุด คิดไม่ถึง หลังขึ้นรถม้าไม่รู้เป็นเพราะรถม้าโคลงเคลง จนทำให้ ‘เขา’ตกใจหรือไม่ หลัง‘เขา’ตื่นขึ้นมาเริ่มอ้อแอ้
ไม่เพียงเอ่ยว่าร้อนรุ่ม ร่างกายก็ขยับยุกยิกไม่หยุด
โชคดีที่รถม้ากว้างขวางมากพอ จึงทำให้‘เขา’พลิกตัวยุกยิกไปมาได้
ในใจรู้ว่าเล่อเหยาเหยาเสียสติหลังเมามาย ดังนั้นเหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงให้คนรถขับกลับวังให้เร็วที่สุด
คนขับรถม้าไม่กล้าล่าช้า ดังนั้นจึงยกแส้ยาวฟาดให้ม้าวิ่งทะยานไม่หยุด ไม่ถึงสิบห้านาที ก็กลับถึงวังรุ่ยอ๋องอย่างรวดเร็ว
และเวลานี้หัวหน้าขันทีลี่ ได้รอรับใช้อยู่หน้าประตู เมื่อได้ยินเสียงโวยวายจากในรถม้ามาแต่ไกล ในใจกำลังสงสัยว่าภายในรถม้าท่านอ๋องมีผู้ใดกำลังเอะอะโวยวาย กระทั่งหลังจากรถม้าหยุดลง จึงเห็นเงาร่างสูงใหญ่นั้นของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ลงจากรถอย่างรวดเร็ว โดยไม่รอให้หัวหน้าขันทีลี่ เอ่ยถามว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
ก็เห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋เดินผ่านข้างกายเขาไปอย่างรวดเร็วดุจสายลม จากนั้นเสียงทุ้มต่ำของเขาก็ดังขึ้นตามมา
“ไปต้มชาสร่างเมามา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หัวหน้าขันทีลี่ได้ยินพลันตอบรับ
ถึงแม้ตอนนี้จะดึกอย่างมาก และเขาก็แก่ชราแล้ว แต่สายตากลับยังดี
เมื่อเห็นคนตัวเล็กในอ้อมกอดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ใบหน้าชราตะลึงงันชั่วขณะ สายตาคล้ายกำลังคิดบางอย่างในใจปรากฏขึ้นมา
…
หลังกลับมาถึงตำหนักหย่าเฟิงอย่างรวดเร็ว เหลิ่งจวิ้นอวี๋ทิ้งตัวเล่อเหยาเหยาที่ดิ้นรนอย่างอึดอัดในอ้อมกอดไม่หยุดลงบนเตียงของตน
แม้จะพูดว่าโยน แต่เขาทราบถึงน้ำหนักอย่างดี รวมทั้งบนเตียงยังปูด้วยเบาะนอน!
ส่วนเล่อเหยาเหยาหลังถูกโยนลงบนเตียง ก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด และยังคิดว่าน่าสนุก จึงกลิ้งไปมาพลางหัวเราะอยู่บนเตียงไม่หยุด
“ฮ่าๆ สนุกจัง คล้ายนั่งบนรถไฟเหาะเลย จะเล่นอีก เล่นอีกรอบ”
“เฮ้อ”
เมื่อเห็นคนตัวเล็กกลิ้งจากหัวเตียงไปยังปลายเตียง คล้ายเด็กน้อยดื้อรั้น ทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋มองอย่างจนใจ
เพราะสำหรับเขา มีวิธีทำให้คนมีสติเสมอ
เขาเพียงถลึงตาชั่วขณะ ผู้อื่นคงตกใจจนปัสสาวะราด ไม่กล้าเอ่ยปาก แต่คนตัวเล็กตอนนี้เมามาย เกรงว่ากระทั่งตนอยู่ที่ใด คือผู้ใดต่างลืมเลือน
หากเขาดุด่า ‘เขา’สิ่งใด เกรงว่า‘เขา’คงฟังไม่เข้าใจ!
พอคิดถึงตรงนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋อดใจไม่ได้ จึงเอ่ยกับคนด้านนอกว่า
“ผู้ใดอยู่ด้านนอก ชาสร่างเมาเสร็จหรือยัง”
“ทูลท่านอ๋อง เสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ขันทีน้อยผู้หนึ่งยกชาสร่างเมาเดินเข้ามาอย่างนอบน้อม
เห็นเพียงชาสร่างเมาในชามยังร้อนจนมีควันออกมา เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นเช่นนั้นก็โบกมือไปมา ก่อนเอ่ยกับขันทีน้อยนั้นว่า
“เจ้าออกไปก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีน้อยนั้นได้ยิน พลันวางน้ำชาสร่างเมาลงบนโต๊ะ ก่อนรีบถอยหลังออกไป
เมื่อเห็นชาสร่างเมานั้นยังคงร้อนจนมีควันขึ้นมา เหลิ่งจวิ้นอวี๋กวาดดวงตาเย็นชาครู่หนึ่ง ก่อนมองเล่อเหยาเหยาอีกครั้ง
เห็นเล่อเหยาเหยาเวลานี้ ยังตะโกนโวยวายบางอย่างอยู่ตรงนั้นไม่หยุด และเสื้อผ้าบนร่างกายก็สะบัดไปมาตามเธออยู่บนเตียง ยุ่งเหยิงอย่างมาก
สุดท้ายกระทั่งหมวกขันทีบนร่างของเธอ ก็ถูกเธอถอดลงมา
ทันใดนั้น ผมยาวดำเงางามนั้น ก็เอียงลงมาอย่างรวดเร็ว กระจายไปทั่วไหล่สองข้าง
ทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่มองอยู่ด้านข้าง ดวงตาเย็นชาอดเป็นประกายชั่วขณะไม่ได้
เห็นเพียงคนตัวเล็กบนเตียง ร่างกายสวยพริ้ง สองแก้มแดงก่ำ งดงามดุจดอกเหมย
ใต้คิ้วเข้มโก่งงอ คือดวงตาคู่งามสดใส เป็นประกายระยิบระยับ เพราะดื่มสุราจนเมามาย ภายในดวงตาคู่งามดูพร่าเลือนดำขลับ ทำให้รูปลักษณ์เธอดุจแพรไหม พลันงามเพริศพริ้งยิ่งขึ้น!
ใต้จมูกเล็กนั้น คือริมฝีปากแดงคู่งาม รอยยิ้มงดงาม ดึงดูดใจคนเป็นที่สุด!
เล่อเหยาเหยาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย และท่าทางยั่วยวนต่างๆ นานาเช่นนี้ เป็นสิ่งที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่เคยเห็นมาก่อน ดังนั้นเวลานี้เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงลุ่มหลงอย่างถึงที่สุด
ในใจคล้ายถูกบางสิ่งเข้าจู่โจมจนเต้นรัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
เสียงหัวใจเต้น ‘ตึกตักตึกตัก’อย่างรุนแรงเช่นนี้ ดูราวกับกระโดดออกมาจากหน้าอกได้
และใจที่คิดประสงค์ร้ายนั้น ถูกใบหน้าเล็กงดงามมีเสน่ห์ตรงหน้าสะกดเอาไว้ ทำให้ภายในใจเขาเกิดความร้อนรนอย่างรุนแรงขึ้น คิดเพียงอยากเอาแต่ใจกับคนในอ้อมกอด นั่นคือจุมพิต ‘เขา’
ความปรารถนานี้รุนแรงยิ่งนัก คล้ายสัตว์ร้ายที่หลับลึกมาพันปี แล้วตื่นขึ้นมาอย่างหิวโซ คิดเพียงต้องกลืนกินเหยื่อตรงหน้าลงไปในท้องเท่านั้น
น่าเสียดายที่เล่อเหยาเหยากลับไม่รู้แม้แต่นิดเดียวว่า ตนอยู่ในสภาพเหยื่อที่ถูกคนจ้องตะครุบ เธอรู้เพียงว่าตนวิงเวียนศีรษะ เมื่อมองสิ่งของล้วนหมุนวนไปมาไม่หยุด
คล้ายเพิ่งผ่านการนั่งรถไฟเหาะที่สนุกและตื่นเต้น
ถึงอย่างไรก็ตาม ขณะเธอวิงเวียนศีรษะ ด้านหน้าพลันปรากฏใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพเซียนขึ้นมา
ใบหน้านี้ อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าดูเด็ดเดี่ยวสุขุม ดุจถูกสร้างและแกะสลักขึ้นอย่างประณีตละเอียดอ่อน
คิ้วกระบี่โค้งงอ จมูกโด่ง ดวงตาเย็นชา ริมฝีปากกระจับบางเฉียบ
ใบหน้าหล่อเหลามีชีวิตชีวาเช่นนี้ คือรูปโฉมที่หาได้ยากบนโลกใบนี้
แต่อย่างไร ภายในความหล่อเหลานั้น ยังมีกลิ่นอายอันสูงส่งสง่างามที่รังสรรค์ขึ้นโดยธรรมชาติ และสีหน้าน่าเกรงขาม เปี่ยมด้วยพลังที่สยบทุกสิ่ง ทำให้ผู้คนไม่กล้าดูแคลน!
เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่คุ้นตาตรงหน้า เล่อเหยาเหยาตะลึงชั่วขณะ ก่อนพลันหัวเราะเบาๆ ออกมา
เพราะชายหล่อเหลาผู้นี้ ส่ายไปมาในสายตาและสมองเธอไม่หยุด ทำให้เธอรู้สึกสนใจเป็นที่สุด
แต่เธอกลับไม่รู้ตัว ความจริงนี้เป็นเพราะศีรษะของตนโอนเอนไปมาไม่หยุด
เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเตียงนอน
บนใบหน้าเผยท่าทางเมามายออกมา ยิ้มสดใสดุจดอกเหมย
“ฮิฮิ ท่านน่าสนใจเสียจริง ใบหน้าท่านเหตุใดจึงมักขยับไปมาเช่นนี้ ฮิฮิ”
“เอ่อ”
เมื่อได้ยินคำพูดของคนเมาอย่างเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋พลันทำตัวไม่ถูก
แต่ขณะเดียวกัน สายตาที่มองเล่อเหยาเหยากลับยิ่งลึกล้ำและร้อนแรงมากขึ้น
เห็นเพียงเส้นผมงามดุจแพรไหมของคนตัวเล็กตรงหน้า เวลานี้ทั้งหมดร่วงตกอยู่บนไหล่
เพราะการเกลือกกลิ้งเมื่อครู่ ผมมวยนั้นจึงยุ่งเหยิง แต่กลับไม่กระทบต่อความงดงามของ ‘เขา’เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับทำให้‘เขา’ดูงดงามดึงดูดใจยิ่งขึ้น
เห็นเช่นนั้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋อดกลืนน้ำลายครู่หนึ่งไม่ได้ สายตาที่มองเล่อเหยาเหยา คล้ายสัตว์ร้ายที่หิวโซ กำลังจ้องมองเหยื่อของตน
ทว่าเขาตอนนี้ หิวจริงๆ แล้ว
เขาหิวมากจนอยากกลืนคนตัวเล็กที่งดงามดึงดูดใจตรงหน้าลงท้อง
ขณะที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋กำลังคิดในใจ เล่อเหยาเหยาค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียง ร่างกายและศีรษะโอนเอนไปมาไม่หยุด แต่ดวงตาคู่งามที่เมามายนั้น กลับไม่ละไปจากใบหน้าของเหลิ่งจวิ้นอวี๋เลย
เธอเห็นใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้าส่ายไปมาไม่หยุด จนเธอวิงเวียนศีรษะ ดังนั้นเธอจึงไม่ไตร่ตรองสิ่งใด รีบยื่นมือออกไปประคองใบหน้าของชายหนุ่มไว้อย่างแน่นหนา
“ฮ่า ๆ ข้าจับท่านได้แล้ว”
เล่อเหยาเหยาหัวเราะเบาๆ สองมือสัมผัสใบหน้าหล่อเหลาเด็ดเดี่ยวนั้น ก่อนรู้สึกเพียงสนุกอย่างยิ่ง จากนั้นก็ย่ำยีผิวอมชมพูนั้นไม่หยุด
“ฮ่า ๆ สนุกจริง”
สำหรับการกระทำของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงนิ่งเงียบ ทว่าสายตาที่มองเล่อเหยาเหยา กลับเป็นประกาย ก่อนเผยอริมฝีปากเอ่ยขึ้น
“เจ้ากำลังเล่นกับไฟรู้ตัวหรือไม่”
……………………………………