เล่มที่ 6 บทที่ 164 เซียวยวี่กลับบ้าน

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

ในที่สุดเซียวยวี่ก็สอบเสร็จแล้ว หลังออกจากสนามสอบ เก็บข้าวของสัมภาระ ก็ร้อนใจอยากรีบกลับบ้าน

จังหวัดจิ้นชางอยู่ห่างจากเมืองโยวหลันกว่าร้อยลี้ รถม้าทั่วไปยังต้องใช้เวลาเดินทางสี่ถึงห้าวัน ดังนั้นราคาจึงไม่ถูก

เซียวยวี่ไม่อยากนั่งรถม้าไปตลอดทาง จึงเดินเองก่อน หากเดินไม่ไหวแล้ว ถ้าพบเจอรถม้าระหว่างทางค่อยนั่งรถม้า เช่นนี้จะประหยัดเงินได้ไม่น้อย

เซียวยวี่เดินเองหนึ่งวัน ค้างแรมในวัดร้างข้างทางหนึ่งคืน เช้าวันต่อมา ขณะกำลังจะออกเดินทางก็พบกับรถม้าที่กำลังวิ่งไปทิศเดียวกับอำเภอกว่างชางพอดี แต่รถม้าจะไปไม่ถึงอำเภอกว่างชาง คิดเงินสามสิบอีแปะ

เพื่อให้ได้พบกับน้องชายน้องสาวของตนเองโดยเร็ว เซียวยวี่กัดฟันให้เงินสามสิบอีแปะ ขึ้นรถม้าไป

บนรถม้ามีบัณฑิตร่วมทางอีกไม่น้อย ต่างไม่กล่าวอะไร นั่งพิงในรถม้าที่โยกโคลงเคลงถือตำราอ่านอย่างใจจดใจจ่อ

เซียวยวี่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร หลับตาพักผ่อนเล็กน้อย

“เจ้าว่าบนโลกใบนี้ เหตุใดถึงมีผู้ที่เขียนเรื่องราวได้น่าตื่นตาตื่นใจเช่นนี้ได้ แต่ตอนนี้เพิ่งมีแค่เล่มแรก ไม่ได้อ่านเรื่องราวหลังจากนั้น เฮ้อ เหมือนเห็นเนื้อน่ากินแต่กินไม่ได้ รู้สึกกระวนกระวายใจเหลือเกิน! “

“นั่นสิ! หากตอนพวกเราสอบซิ่วไฉมีสมาธิสักกึ่งหนึ่งของตอนที่พวกเราอ่านตำราเล่มนี้ พวกเราคงได้เป็นซิ่วไฉนานแล้ว! “

“ไม่รู้ว่าคุณชายหลัวยวี่ผู้นี้เป็นคนเช่นไร ถือเป็นผู้มีความสามารถเหลือล้นจริงๆ ! หากมีโอกาส ข้าต้องทำความรู้จักกับคุณชายผู้นี้ดีๆ เสียหน่อย ได้เป็นสหายกับบุคคลเช่นนี้ ชีวิตนี้ก็ถือว่ามีเกียรติแล้ว! “

คนผู้หนึ่งที่มีท่าทางคล้ายอาจารย์กล่าวอย่างได้ใจ “ตำราเล่มนี้พิมพ์จากอำเภอกว่างชาง คุณชายหลัวยวี่น่าจะเป็นคนจากอำเภอกว่างชางของเรา! “

คุณชายหลัวยวี่?

เซียวยวี่ลืมตาขึ้น มองดูตำราในมือพวกเขา เห็นเพียงหน้าปก

บนปกเขียนตัวอักษร ซีโหยวจี้ สามตัว ลายมือสง่าดุจมังกรเหินหงส์ร่ายรำ พอจะเห็นถึงทักษะความสามารถและภูมิหลังของผู้เขียน

คนที่อ่านตำราต่างกระซิบพูดคุยกัน ทุกประโยคล้วนแต่กล่าวชื่นชมว่าตำราเล่มนี้น่าอ่าน และตัวหนังสือสง่าดูสุนทรีย์

“ในต้าเยว่ของเรายังไม่เคยมีคนเขียนตัวหนังสือแบบนี้มาก่อน พวกเจ้าดูสิ ลายมือเช่นนี้ เกรงว่าหากไม่ได้ฝึกเขียนมายี่สิบถึงสามสิบปี คงเขียนตัวหนังสือด้วยลายมือสวยขนาดนี้ออกมาไม่ได้! “

“ข้าเดาว่าคุณชายหลัวยวี่ผู้นี้น่าจะอายุสี่สิบถึงห้าสิบปีแล้ว ไม่อย่างนั้นคงเขียนตัวหนังสือสวยขนาดนี้ออกมาไม่ได้แน่”

“ใช่ใช่ใช่! “

หลังจากทุกคนอ่านตำราเสร็จก็พักผ่อน เซียวยวี่มองดูตำราที่วางอยู่ตรงหน้าพวกเขา คิดอยากเอ่ยปากขอยืมอ่านอยู่หลายหน สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว

เพราะรถม้าถูกคนเหล่านั้นเหมาไว้ เซียวยวี่ขึ้นมาในภายหลัง ย่อมได้แต่ลงจากรถม้าเมื่อถึงทางแยก

จากตรงนี้ถึงอำเภอกว่างชางใช้เวลาเดินทางเพียงหนึ่งวันเท่านั้น เซียวยวี่ไม่ได้นั่งรถม้าอีก พอถึงอำเภอกว่างชาง พระอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว

เซียวยวี่หาโรงเตี๊ยมพักหนึ่งคืน เช้าวันต่อมาฟ้ายังไม่สว่างก็ออกเดินทางสู่เมืองโยวหลันแล้ว

เขาเดินตลอดช่วงเช้า มาถึงตัวเมืองโยวหลันก่อนถึงเวลาเที่ยง

เซียวยวี่ซื้อหมั่นโถวสองลูกมากินกับน้ำเย็นเพื่อให้อิ่มท้อง แล้วจึงไปซื้อขนมที่ร้านขายขนม

เงินสิบห้าตำลึงที่เซียวเหลียงส่งไปคราวก่อน รวมกับเงินที่เขาพกติดตัวอีกสองตำลึง เขาใช้จ่ายอย่างประหยัด ใช้ไปเพียงครึ่งเดียว บัดนี้เขายังเหลือเงินอีกแปดตำลึงกว่า

ขนมกล่องหนึ่งเป็นเงินสิบกว่าอีแปะ ปกติแม้แต่ซาลาเปาไส้หมูลูกละหนึ่งอีแปะเขายังเสียดายไม่อยากกิน อย่างมากก็กินหมั่นโถวที่ทำจากแป้งหยาบ แต่เขาไม่ได้พบน้องชายน้องสาวนานแล้ว จึงคิดอยากนำของอร่อยไปให้เพื่อให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจ

ดังนั้น เซียวยวี่จึงยอมตัดใจซื้อขนมหนึ่งกล่อง ใส่ในหีบไม้ไผ่อย่างระมัดระวัง แล้วจึงกลับบ้าน

เมื่อผ่านร้านน้ำชาจำนวนหนึ่ง ก็ได้ยินคนจำนวนไม่น้อยต่างกำลังพูดคุยกันเรื่องซีโหยวจี้ บนถนนใหญ่และในตรอกซอกซอย แม้แต่เด็กๆ ก็คุยกันเรื่องซุนวู่คงอาละวาดตำหนักสวรรค์

ยังมีเด็กที่ซุกซนจำนวนหนึ่ง ถือกระบองไว้ในมือ โบกไปมาไม่หยุด พร้อมตะโกนเสียงดัง “ข้าก็คือฉีเทียนต้าเซิ่ง ซุนวู่คง…”

ฉีเทียนต้าเซิ่ง ซุนวู่คง?

ล้วนเป็นบุคคลในซีโหยวจี้งั้นหรือ?

เซียวยวี่ยังไม่ได้กลับบ้าน ไปร้านหนังสือซิงหลงก่อน

แต่แล้ว หาทั่วร้านหนังสือซิงหลง กลับไม่พบตำราที่เขาอยากได้

พอได้ยินว่าเซียวยวี่มาหาเรื่องซีโหยวจี้ สีหน้าลูกจ้างในร้านก็ดูไม่ดีเลย “ไปไปไป ที่นี่ไม่มีซีโหยวจี้”

ร้านหนังสือซิงหลงเป็นร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในเมืองโยวหลัน เหตุใดที่นี่ถึงไม่มีซีโหยวจี้?

ในภายหลังลองถามคนอื่น จึงได้รู้ว่าซีโหยวจี้นั้นห้องหนังสือซานเว่ยเป็นผู้รับผิดชอบจำหน่าย มีเพียงที่ห้องหนังสือซานเว่ยถึงจะมีขาย

เซียวยวี่รีบไปที่ห้องหนังสือซานเว่ย คิดจะซื้อซีโหยวจี้สักหนึ่งเล่ม

หลิ่วสวินเหมี่ยวเห็นคนที่มารูปร่างสูงโปร่ง อายุประมาณสิบหกถึงสิบเจ็ดปี บุคลิกกลับดูหนักแน่นสะกดอารมณ์ไว้ภายใน ท่าทางอิริยาบถเหมือนคุณชายตระกูลผู้ดี หากไม่ใช่เพราะเสื้อผ้าบนกายซักจนขาวซีดแล้ว ลักษณะคล้ายบัณฑิตยากจน เขาคงคิดว่าเป็นลูกหลานตระกูลมีชื่อ

หลิ่วสวินเหมี่ยวเพียงรู้สึกว่าคนผู้นี้ดูคุ้นตา แต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน แย้มรอยยิ้มบางพร้อมนำเล่มสุดท้ายออกมา “ท่านช่างมาได้ประจวบเหมาะ นี่เป็นเล่มสุดท้ายแล้ว”

เซียวยวี่รีบชำระเงิน

เขาเป็นคนที่รักตำราดุจชีวิต จะซื้อซาลาเปาไส้หมูสักหนึ่งลูกยังต้องคิดแล้วคิดอีก แต่หากเป็นตำรา ขอเพียงเขามีเงิน ก็จะไม่ตระหนี่ถี่เหนียวแม้แต่น้อย

หยิบเงินออกมาหลายสิบอีแปะ ซื้อตำราเล่มนั้นไว้

พลิกเปิดหน้าแรกอย่างอดรนทนไม่ไหว ทันใดนั้นก็รู้สึกตกตะลึงเพราะตัวหนังสือที่งดงามอ่อนช้อย

ตัวหนังสือที่งามสง่าดูสะอาดตาถึงเพียงนี้ ต้องฝึกฝนอย่างยากลำบากกี่ปี ถึงจะเขียนออกมาได้เช่นนี้

เรื่องราวด้านในก็น่าติดตาม เซียวยวี่อ่านติดต่อกันหลายหน้า รู้ว่าสายมากแล้ว จึงสะพายหีบไม้ไผ่ มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านสกุลเซียว

ระหว่างทาง ก็มีความปรารถนาอยากอ่านตำรา แต่ยิ่งเข้าใกล้บ้าน เขาก็ยิ่งรู้สึกหนักใจ

ออกจากบ้านมาสามเดือนกว่า ไม่รู้ว่าน้องชายน้องสาวเป็นอย่างไรบ้าง

เซี่ยยวี่หลัวทารุณพวกเขาสองคนหรือไม่?

นางด่าว่าทุบตี หรือลงโทษพวกเขาหรือไม่?

เงินห้าตำลึงที่เขามอบให้ก่อนออกเดินทาง พวกเขาฝากให้คนอื่นนำไปมอบให้ตนเอง ไม่มีเงิน เกรงว่าเด็กสองคนคงผอมลงมากกระมัง?

เดิมทีก็ผอมแห้งจนเหมือนไม้ฟืนอยู่แล้ว เขาไม่ได้อยู่ดูแลข้างกายสามเดือนกว่า เกรงว่าคงผอมลงกว่าเดิมจนเห็นแต่กระดูก

คาดหวังอะไรกับเซี่ยยวี่หลัวไม่ได้ หากครั้งนี้เขาสอบไม่ผ่าน นางก็จะไปแล้ว ไปก็ไปเถอะ เขาแต่งงานกับนางตามความต้องการของท่านตาของนาง แต่หากนางไม่ยินยอมจะอยู่ที่นี่ เขาก็คิดจะปล่อยนางไป

หากครั้งนี้สอบไม่ผ่านอีก เขาจะไม่เรียนหนังสืออีกต่อไป

ดูแลที่นาสองหมู่อย่างสงบใจ เลี้ยงดูอาเซวียนกับอาเมิ่งให้เติบใหญ่ เขาไม่เหลืออะไรแล้ว เหลือเพียงน้องชายน้องสาวสองคนที่มีสายเลือดเดียวกับเขา

เขาไม่เอาอะไรทั้งสิ้น แต่พวกเขาสองคน เขาจะปกป้องไปชั่วชีวิต

พอคิดได้ดังนี้ ฝีเท้าของเซียวยวี่ก็หนักหน่วงยิ่งขึ้น มองไปด้านหน้า ต้นหวายขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้านสกุลเซียวก็อยู่ข้างหน้าแล้ว เซียวยวี่กระชับหีบไม้ไผ่ สาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปยังปากทางเข้าหมู่บ้าน