บทที่ 141 ความโกรธของหญิงงาม

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

หนึ่งร้อยสี่สิบเอ็ด

ความโกรธของหญิงงาม

เสวี่ยเจียเยว่คิดไม่ถึงเลยว่าเวลาเช่นนี้เสวี่ยหยวนจิ้งยังพูดหยอกเธอได้ ในขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น เธอก็เห็นแม่นางที่ออกมาจากเกี้ยวเมื่อครู่ถูกสาวใช้ประคองแขนเดินเข้ามา

เธอรีบเดินไปต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “แม่นาง…”

เฉินอ๋าวเหมยมองพิจารณาเด็กสาวตั้งแต่ศีรษะจดเท้า ทว่าไม่ได้กล่าวทักทายอันใด เพียงเกาะแขนสาวใช้แล้วเดินต่อไป

รอยยิ้มบางบนใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่หายไปทันที เธอรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าสตรีนางนี้มองเธอด้วยแววตาดูถูกเหยียดหยามเป็นอย่างมาก

แต่เมื่อคิดว่าถึงอย่างไรนางก็คือลูกค้า เสวี่ยเจียเยว่จึงเข้าไปหยิบสมุดภาพบนโต๊ะคิดเงิน และปั้นยิ้มเดินตามหลังแม่นางผู้นั้นไป พร้อมชี้ไปที่ชุดและเครื่องประดับบนตัวหุ่น

“นอกจากชุดและเครื่องประดับเหล่านี้ ร้านของเรายังมีชุดและเครื่องประดับแบบใหม่อีกมากมายให้เลือก แม่นางอยากจะดูหรือไม่”

ในขณะที่กล่าวนั้น เธอก็คิดจะกางสมุดภาพแบบชุดและแบบเครื่องประดับในมือ

ทว่าเฉินอ๋าวเหมยกลับไม่ชายตามองสมุดภาพแบบชุดในมือของเสวี่ยเจียเยว่ นางเดินไปดูเครื่องประดับบนศีรษะของหุ่นที่อยู่ข้างๆ ให้เด็กสาวมองเห็นเพียงแผ่นหลังที่หยิ่งทะนงเท่านั้น ราวกับว่าการพูดคุยกับเธอนั้นไม่มีค่าอันใด

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยากจะอดทน เสวี่ยเจียเยว่จึงกำสมุดภาพในมือแน่น

เสวี่ยหยวนจิ้งยืนมองอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินและเรียกขึ้น “เยว่เอ๋อร์ มานี่”

เสวี่ยเจียเยว่คร้านจะต้อนรับสตรีผู้นี้แล้วเช่นกัน เธอทำการค้าและต้องยิ้มต้อนรับแขก หากแม่นางผู้นี้ไม่พูดด้วยก็ไม่เป็นไร แต่สายตาที่มองมานั้นดูถูกเหยียดหยามกันยิ่งนัก ถ้าดูถูกร้านของเธอ แล้วจะเดินเข้ามาทำไม เดินเข้ามาดูว่าตนจะทำหน้าเช่นไรให้เธอดูอย่างนั้นหรือ

เธอตัดสินใจหยิบสมุดภาพแบบชุดเดินไปด้านหลังโต๊ะคิดเงิน แล้วพูดคุยกับเสวี่ยหยวนจิ้ง แต่หางตายังคงคอยมองสตรีผู้นั้น

แม่นางผู้นั้นยืนอยู่กับที่ครู่หนึ่ง คงรู้สึกเหมือนมีใครกำลังมองไปที่นาง แต่ก็ไม่เห็นมีคนเดินเข้าไปต้อนรับ สุดท้ายนางก็เอื้อมมือไปหยิบปิ่นปักผมที่อยู่บนมวยผมของหุ่นออกมาหนึ่งชิ้นและเดินไปที่หน้าโต๊ะคิดเงิน

ดูท่าแล้วนางคงอยากซื้อปิ่นปักผมชิ้นนี้ เสวี่ยเจียเยว่จึงคิดจะเงยหน้าขึ้นมาพูดคุยกับนาง แต่กลับถูกเสวี่ยหยวนจิ้งกุมมือเอาไว้และเขย่าเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมา

เสวี่ยเจียเยว่เชื่อฟังเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นที่สุด เพราะรู้ว่าเขาฉลาดกว่าเธอมาก เรื่องที่เขาคิดต้องเป็นเรื่องที่เธอคิดไม่ถึง ดังนั้นเธอจึงเชื่อฟังเขา และใช้นิ้วเรียวเล็กลูบไล้พู่กันบนโต๊ะคิดเงินเล่น

เสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นเช่นกัน เพียงนั่งฝนหมึกแล้วขอให้เสวี่ยเจียเยว่เขียนตัวอักษรให้เขาดูสักสองสามตัว

แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะเขียนตัวอักษรด้วยพู่กันให้ประณีตเรียบร้อยเพียงใด แต่เสวี่ยหยวนจิ้งไม่เคยพอใจสักครั้ง ตอนที่ไม่มีอะไรให้ทำ เขาก็จะสอนให้เธอฝึกเขียนตัวอักษร ทำให้เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกทุกข์ทรมานกับเรื่องนี้ไม่น้อย

เธอไม่ได้คิดจะไปสอบชิงตำแหน่งจอหงวน และไม่อยากเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียนพู่กัน เพียงอยากเขียนตัวอักษรที่คนอื่นรู้จักกันออกมาให้ได้เท่านั้น เขายังคิดจะให้เธอเขียนออกมาให้ดีอีกหรือ ด้วยความไม่พอใจเช่นนี้ เธอจึงคิดหาเหตุผลต่างๆ นานามาปฏิเสธการฝึกเขียนตัวอักษร เสวี่ยหยวนจิ้งเองก็ทำใจไม่ได้หากต้องดุเด็กสาวจริงๆ จึงถูกอีกฝ่ายทำให้สับสนกับคำพูดตลกๆ ของเจ้าตัวอยู่ร่ำไป

ตอนนี้แน่นอนว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่อยากจะฝึกเขียนตัวอักษร จึงแอบส่งสายตามองเสวี่ยหยวนจิ้ง จากนั้นก็ไม่เล่นพู่กันอีก แต่หันไปด้านข้างแล้วปักลายดอกอวี้หลัน[1] ที่ตนร่างเอาไว้บนผ้า

อากาศเย็นลงแล้ว จำเป็นต้องใช้เตาอุ่นมือ เธอจึงอยากจะทำถุงผ้าห่อเตาอุ่นมือสักใบ

เสวี่ยหยวนจิ้งได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ จากนั้นก็หยิบตำราเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดอ่าน

เฉินอ๋าวเหมยเคยชินกับการหยิ่งทะนงมาตลอด ไหนเลยจะเคยถูกคนอื่นเพิกเฉยเช่นนี้ เมื่อเห็นว่าคนในร้านทำธุระของตนแต่ไม่สนใจนาง ราวกับว่าในร้านนี้มีเพียงพวกเขาสองคน ไม่มีใครอื่นอยู่ด้วย นางจึงรู้สึกโกรธและกระอักกระอ่วนไม่น้อย

นางมองไปที่สาวใช้ข้างกาย สาวใช้ผู้นั้นเข้าใจความหมายดี จึงเดินเข้าไปสองก้าวแล้วเอื้อมมือเคาะโต๊ะคิดเงินพร้อมกล่าว

“คุณหนูของข้าอยากซื้อเครื่องประดับ”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่เงยหน้าขึ้นมอง ยังคงปักลายดอกอวี้หลันของเธออย่างไม่เร่งรีบ

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ให้เธอเงยหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาอยากจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ถึงอย่างไรความรู้สึกด้านดีที่เธอมีต่อสตรีผู้นี้ก็เสียไปแล้ว จึงปล่อยให้เขาจัดการเป็นดีที่สุด

เสียงของสาวใช้เงียบลงครู่หนึ่ง เธอถึงได้เห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งปิดตำราแล้วเงยหน้าขึ้นมา

ตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงลู่หมิง หัวใจของเฉินอ๋าวเหมยเต้นแรงเมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้ง ตอนนั้นนางมองเขาอยู่ห่างๆ ยังใจเต้นแรงขนาดนั้น หลังจากกลับไปถึงเรือนนางก็คิดถึงเขาอยู่หลายวันหลายคืน ไม่สามารถลืมใบหน้าของเขาได้ เมื่อสาวใช้สืบเรื่องของเสวี่ยหยวนจิ้งจนชัดเจน นางไตร่ตรองอยู่หลายวัน สุดท้ายก็ต้องมาที่ร้านซู่ยวี่เซวียนอย่างห้ามใจไม่ได้

และเมื่อได้มองเสวี่ยหยวนจิ้งในระยะใกล้เช่นนี้ ความรู้สึกที่เคยมีก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

แม้หัวใจของเฉินอ๋าวเหมยจะเต้นแรงราวกวางน้อยกำลังกระโดดโลดเต้นอยู่ภายใน แต่สีหน้ายังคงหยิ่งยโสเช่นเดิม นางก้มหน้าลงพูดข้างหูสาวใช้

จากนั้นสาวใช้ของนางก็เอ่ยถามเสวี่ยหยวนจิ้ง “คุณหนูของข้าชอบปิ่นปักผมชิ้นนี้จึงอยากจะซื้อ ไม่ทราบว่าเถ้าแก่ขายเท่าไรหรือ”

ปิ่นที่เฉินอ๋าวเหมยชอบนั้นถักด้วยด้ายสีทอง ด้านบนประดับด้วยโมราสีแดงดั่งเปลวเพลิง

เสวี่ยหยวนจิ้งมองปิ่นปักผมชิ้นนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “ปิ่นนี้พวกข้าไม่ขาย”

เสวี่ยเจียเยว่ที่กำลังถือเข็มปักผ้าพลันหยุดอย่างฉับพลัน แต่ไม่นานนักเธอก็ยกยิ้มมุมปาก จากนั้นจึงปักต่ออย่างไม่รีบร้อน

เฉินอ๋าวเหมยตะลึงงันไปครู่ใหญ่ สาวใช้ของนางก็ตะลึงงันเช่นกัน แต่ไม่นานนักนางก็เอ่ยถามขึ้นมาอีก

“เหตุใดถึงไม่ขายปิ่นนี้ หรือพวกเจ้าคิดว่าพวกเราไม่มีปัญญาซื้อ น่าขันนัก นายท่านของพวกข้าเป็นถึง…”

แต่นางยังพูดไม่จบ เฉินอ๋าวเหมยก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน “หลิวเอ๋อร์”

สาวใช้เม้มริมฝีปาก ก่อนจะก้มหน้าและถอยไปด้านข้าง

เฉินอ๋าวเหมยมองพิจารณาเสวี่ยหยวนจิ้งตั้งแต่ศีรษะจดเท้าครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยถามเสียงเบา“ข้าขอถามคุณชายได้หรือไม่ เหตุใดถึงไม่ขายปิ่นนี้”

บิดาของนางเป็นผู้ตรวจการตำแหน่งฉงเอ้อร์ผิ่น[2] เมื่อก่อนตอนที่นางเดินออกมาจากเรือนก็เคยชินกับการถูกผู้คนห้อมล้อมเอาใจ ใบหน้าของนางงดงามยิ่งนัก ความสามารถก็ล้ำเลิศ แน่นอนว่าต้องเป็นคนหยิ่งทะนง จึงมักจะเพิกเฉยต่อผู้อื่นและพูดคุยอย่างเย็นชาเป็นธรรมดา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเสวี่ยหยวนจิ้งในตอนนี้ นางไม่รู้ว่าตนเป็นอะไรไปถึงได้อ่อนโยนเช่นนี้

ทันใดนั้นก็มีสตรีนางหนึ่งเดินจูงมือแม่นางน้อยคนหนึ่งเข้ามาในร้าน เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเช่นนั้น เขาจึงมองเฉินอ๋าวเหมยด้วยแววตาเย็นชาแล้วเอ่ย

“ไม่มีเหตุผลอันใด แต่ร้านของพวกเราไม่อยากค้าขายกับแม่นาง ขอแม่นางออกไปเสียตอนนี้เถอะ ไม่อย่างนั้นจะเกะกะแขกท่านอื่นเอาได้”

การไล่แขกและความรำคาญในคำพูดนั้นเขาไม่ปิดบังสักนิด เฉินอ๋าวเหมยได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันที

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่สนใจนางอีกต่อไป เขาตามเสวี่ยเจียเยว่ออกไปต้อนรับสตรีและแม่นางน้อยที่เพิ่งเดินเข้ามาเมื่อครู่นี้

เฉินอ๋าวเหมยเห็นเขายิ้มให้สตรีและเด็กที่เข้ามาใหม่อย่างอ่อนโยน ไหนเลยจะเย็นชาเหมือนที่คุยกับนางเมื่อครู่นี้ นางจึงกำปิ่นเอาไว้แน่น

ไม่นานนักนางก็วางปิ่นที่บิดเบี้ยวไว้บนโต๊ะคิดเงินแล้วเดินออกไปจากร้าน หลังจากนั้นสาวใช้ของนางก็รีบวิ่งไปเลิกม่านบนเกี้ยวขึ้น

ตอนที่เฉินอ๋าวเหมยเดินผ่านเสวี่ยเจียเยว่ เธอเห็นว่าใบหน้าของนางแดงก่ำเพราะเดือดดาลเป็นอย่างมาก หลังจากเกี้ยวของนางห่างออกไปแล้ว เธอจึงเอ่ยกับเสวี่ยหยวนจิ้งเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ แม่นางผู้นั้นต้องโกรธท่านอยู่เป็นแน่”

แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่ในใจของเธอกลับรู้สึกมีความสุขยิ่งนักที่เสวี่ยหยวนจิ้งระบายความโกรธใส่สตรีผู้นั้น

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเด็กสาวยิ้มแย้ม เขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดสิ่งใดอยู่ได้อย่างไร

เขาเอื้อมมือไปลูบศีรษะเสวี่ยเจียเยว่เบาๆ แต่ไม่ได้กล่าวคำใด เพียงหยิบปิ่นปักผมที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาแล้วเสียบไปที่มวยผมของอีกฝ่าย

เขาต้องปกป้องเสวี่ยเจียเยว่ จะไม่ให้ใครหน้าไหนมารังแกหรือทำให้แม่นางผู้นี้โมโหเป็นอันขาด

เฉินอ๋าวเหมยนั่งเกี้ยวกลับมาถึงเรือน หลังจากหลิวเอ๋อร์ประคองนางเดินเข้ามาในห้อง ใบหน้าของนางก็ยิ่งแดงก่ำมากขึ้น

หลิวเอ๋อร์รับใช้อยู่ข้างกายเฉินอ๋าวเหมยมาหลายปี แน่นอนว่านางต้องรู้ว่าคุณหนูไม่เคยโกรธใครเท่าวันนี้มาก่อน ดังนั้นนางจึงคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

“คุณหนู พวกเรานำเรื่องนี้ไปบอกนายท่านและฮูหยินดีหรือไม่เจ้าคะ ก็แค่ร้านตัดชุดเล็กๆ เท่านั้น หากนายท่านและฮูหยินอยากสร้างความลำบากให้พวกเขา ก็ไม่ใช่เรื่องยากใช่หรือไม่เจ้าคะ”

เฉินอ๋าวเหมยไม่กล่าวอันใด เมื่อครู่นางเพิ่งถูกเสวี่ยหยวนจิ้งทำให้โกรธตอนอยู่ในร้านซู่ยวี่เซวียน ตลอดทางนางมีแต่ความทุกข์เพราะอัดอั้นตันใจ นางอยากเชื่อคำที่หลิวเอ๋อร์พูด ให้คนไปสร้างความลำบากให้เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ แต่เมื่อคิดถึงท่าทางของเสวี่ยหยวนจิ้งที่นางเห็นในงานเลี้ยงลู่หมิงวันนั้น หญิงสาวก็ทำไม่ลง

นางเป็นคนทะนงตัว ไม่ว่าใครก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของนาง แต่บุรุษผู้นี้เป็นคนแรกที่สั่นไหวหัวใจเฉินอ๋าวเหมย ยามนี้เขากลับไม่เห็นนางอยู่ในสายตาอย่างนั้นหรือ เป็นเพราะนางทำตัวหยิ่งทะนงกับน้องสาวของเขาเมื่อครู่นี้ใช่หรือไม่

หลังจากคิดไปคิดมา สุดท้ายนางก็ถอนหายใจแล้วสั่งหลิวเอ๋อร์ “ช่างเถอะ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเอ่ยให้ท่านพ่อกับท่านแม่ได้ยิน”

เฉินอ๋าวเหมยคิดว่าบิดาของตนจะต้องเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อรับตำแหน่งขุนนางประจำที่นั่น และได้ยินว่าตำแหน่งจะสูงขึ้น ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งแม้ว่าจะทำให้นางหวั่นไหว แต่ตอนนี้ถึงอย่างไรก็ยังไม่มีอำนาจในมือ ปีหน้าจะสอบผ่านระดับเมืองหลวงหรือไม่ หรือแม้ว่าจะสอบได้ ครอบครัวของเขาก็ไม่มีอำนาจ คงเป็นเพียงขุนนางชั้นผู้น้อยเท่านั้น จะเหมาะสมกับนางได้อย่างไร ดังนั้นตอนนี้จึงได้แต่ปล่อยผ่านไปก่อน

หลิวเอ๋อร์ย่อมไม่กล้าขัดคำสั่งจึงตอบตกลงในทันที ก่อนเดินเข้าไปรินน้ำชาแล้วยกมาให้ผู้เป็นนาย “คุณหนู ดื่มชาสักหน่อยนะเจ้าคะ”

เฉินอ๋าวเหมยไม่ได้รับมา ตอนนี้นางรู้สึกว่าหัวใจของตนกลัดกลุ้มและว้าวุ่นไม่น้อย

ใจหนึ่งนางดูถูกเสวี่ยหยวนจิ้ง แต่อีกใจก็ไม่อาจลืมเลือนภาพของเขาในงานเลี้ยงครานั้น

ชายหนุ่มโดดเด่นเป็นสง่าท่ามกลางฝูงชน ท่าทางเช่นนั้นไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเทียมได้

ในใต้หล้านี้ยังมีชายใดที่สง่างามเช่นเขาอีกหรือ

[1] คือดอกแมกโนเลีย

[2] คือตำแหน่งผู้ตรวจการขั้นสอง รองจากตำแหน่งเจิ้งเอ้อร์ผิ่นซึ่งเป็นขั้นสูงสุด