บทที่ 142 เดินทางเข้าเมืองหลวง

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

หนึ่งร้อยสี่สิบสอง

เดินทางเข้าเมืองหลวง

เมื่อพริกสุกหมดแล้ว หลังจากเก็บเกี่ยวแล้วตากให้แห้ง เสวี่ยเจียเยว่ก็ขายเมล็ดพริกทั้งหมดในราคาสูง และเก็บสัมภาระเตรียมตัวเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกับเสวี่ยหยวนจิ้ง

เธอคิดไตร่ตรองแล้ว ทุกสิ้นปีขุนนางที่อยู่ในเมืองอื่นๆ จะเข้าไปในเมืองหลวงเพื่อรายงานตัว เมื่อถึงตอนนั้นบางคนจะถูกส่งตัวออกไปยังเมืองอื่น บางคนก็ได้อยู่ที่เมืองหลวง คนอยู่เมืองอื่นๆ ก็คงไม่เป็นไร แต่คนที่อยู่ในเมืองหลวงต้องซื้อหรือเช่าเรือน ยังมีผู้คนจากทั่วสารทิศเดินทางเข้าไปสอบในเมืองหลวงอีก พวกเขาก็ต้องเช่าเรือนเช่นกัน ด้วยเหตุนั้นเสวี่ยเจียเยว่จึงตัดสินใจว่าจะเข้าไปในเมืองหลวงปีนี้ เพื่อเตรียมการก่อนวันสอบของเสวี่ยหยวนจิ้งในปีหน้า

เธอคิดจะซื้อเรือนที่เมืองหลวง โดยจ่ายเงินที่มีในมือออกไป แล้วค่อยขายต่อหรือไม่ก็ปล่อยให้เช่า เพื่อเติมเต็มความฝันอันยิ่งใหญ่ในภพที่จากมา นั่นคือการได้เป็นเจ้าของบ้าน

ด้วยความปรารถนาสูงสุด เสวี่ยเจียเยว่จึงกระตือรือร้นในการเก็บสัมภาระเพื่อตามเสวี่ยหยวนจิ้งเข้าเมืองหลวง

ยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง เข้าสู่ต้นฤดูหนาว และเนื่องจากต้องเดินทางทางน้ำ พวกเขาจึงได้เห็นสถานที่ที่ไม่เคยพบมาก่อน จนกระทั่งมาถึงเมืองหลวง ทั้งสองคนก็หาโรงเตี๊ยมเพื่อพักตั้งหลักเป็นอันดับแรก จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่จึงไปหาผู้ปล่อยเช่าเรือนอยู่หลายแห่ง โดยมีเสวี่ยหยวนจิ้งตามไปด้วย

ภาพในอุดมคตินั้นย่อมสวยงาม แต่ความจริงแล้วกลับแห้งเหี่ยวยิ่งนัก หลังจากสอบถามอยู่นาน ก็รู้ว่าค่าเช่าเรือนในเมืองหลวงนั้นสูงนัก แต่เงินเดือนขั้นพื้นฐานของขุนนางขั้นหนึ่ง[1] ได้เพียงหนึ่งร้อยแปดสิบตำลึง หากหักลบพวกค่าใช้จ่ายในชีวิตประวันแล้ว รวมรายรับในหนึ่งปีก็ได้เพียงสามสี่ร้อยตำลึงเท่านั้น ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงขุนนางคนอื่น สามารถพูดได้ว่าขุนนางขั้นหกถึงขั้นเจ็ด หากอาศัยเพียงเงินเดือนของตน ก็คงไม่พอกินพอใช้ ต้องใช้เวลาหลายสิบปีจึงจะซื้อเรือนหนึ่งหลังได้ ทั้งยังซื้อได้เพียงเรือนหลังเล็กๆ เท่านั้น

ราคาซื้อขายเรือนในต้นปีนี้เพิ่มสูงขึ้นเป็นสองเท่า ตอนนี้เงินในมือเธอมีอยู่อย่างจำกัด หากจะใช้ทั้งหมดซื้อเรือน ก็คงซื้อได้ไม่กี่หลัง ถ้าปล่อยเช่าคงไม่คุ้มค่า

เมื่อเห็นว่าการซื้อขายเรือนไม่ใช่หนทางรวย เสวี่ยเจียเยว่จึงทำได้เพียงปัดความคิดนี้ทิ้งไปชั่วคราว

แต่เธอรู้ดีว่าเสวี่ยหยวนจิ้งต้องสอบผ่านได้เป็นขุนนางตำแหน่งจิ้นซื่ออย่างแน่นอน เช่นนั้นต่อไปพวกเขาก็ต้องอยู่ที่เมืองหลวงอีกนาน จะให้เช่าอยู่ในโรงเตี๊ยมไปตลอดได้อย่างไร ดังนั้นเธอจึงหารือกับชายหนุ่ม ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจว่าจะซื้อเรือนที่มีทางเข้าสองทาง

พอเสวี่ยเจียเยว่ได้ถือแผ่นกระดาษที่มีชื่อตนเขียนอยู่บนนั้นก็รู้สึกมีความสุขยิ่งนัก

แน่นอนว่าเรือนที่อยู่ในหมู่บ้านซิ่วเฟิงนั้นเธอไม่เคยเห็นว่าเป็นเรือนของตนมาก่อน ส่วนเรือนของป้าหยางที่อาศัยในเมืองผิงหยาง โต๊ะกับเก้าอี้ทุกตัวเธอล้วนซื้อมาเอง แม้จะคิดว่านั่นคือเรือนของตน แต่อย่างไรเสียมันก็คือเรือนที่ต้องเช่า ไม่ใช่ของตัวเอง ทว่าตอนนี้พอยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ของเรือนสองทางเข้า เสวี่ยเจียเยว่ก็ยิ้มไม่หยุด

ในที่สุดเธอก็มีเรือนเป็นของตัวเองแล้ว

ต่อไปไม่ว่าจะไปที่ไหน เธอก็จะรู้เสมอว่าที่นี่คือเรือนของตัวเอง จะไม่มีความรู้สึกไร้ที่ไปเหมือนจอกแหนที่ไร้รากอีกต่อไป

เจ้าของเรือนคนเดิมคือขุนนางจากสำนักบัณฑิตหลวง เขาได้รับคำสั่งให้ไปรับตำแหน่งขุนนางที่นอกเมืองหลวง และจะเดินทางไปในอีกไม่กี่วัน เนื่องจากคนในครอบครัวของเขาจะติดตามไปด้วย อีกอย่าง… เขากลัวว่าจะไม่มีเงินใช้เมื่อเดินทางไปแล้ว จึงต้องขายเรือนหลังนี้

เพราะเขารีบร้อนอยากขาย ราคาเรือนจึงไม่สูงมาก อีกทั้งเครื่องเรือนต่างๆ เขาก็นำไปด้วยไม่ได้ ทำได้เพียงทิ้งไว้ให้เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่เท่านั้น หลังจากซื้อขายเรียบร้อยและทำความสะอาดจนเสร็จสรรพ พวกเขาก็เข้ามาอยู่ได้เลย

กระนั้นก็มีของใช้จำเป็นอีกเล็กน้อยที่ต้องซื้อ ด้วยเหตุนี้เสวี่ยเจียเยว่จึงอาศัยวันที่อากาศอบอุ่นชวนเสวี่ยหยวนจิ้งไปเลือกซื้อของที่ตลาด ระหว่างนั้นพวกเขาจะได้ทำความคุ้นเคยกับเมืองหลวงไปด้วย

หลังจากเดินสำรวจอยู่นาน เสวี่ยเจียเยว่พบว่าเรือนส่วนใหญ่หันหน้าเข้าหาถนน ส่วนหลังของเรือนใช้เป็นที่อยู่อาศัย และส่วนหน้าของเรือนจะเปิดเป็นร้านค้า

แน่นอนว่าร้านค้าแต่ละร้านนั้นขายของที่แตกต่างกัน หากต้องการซื้อของหลายอย่าง ไม่แน่ว่าอาจต้องวิ่งไปหาซื้อหลายร้าน

ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งกินอาหารนั้นก็ได้สอบถามลูกจ้างในร้าน จึงได้รู้ว่าทุกวันที่สิบห้าของทุกเดือน วัดต้าเซียงกั๋วที่นอกเมืองหลวงจะมีตลาด ไม่ว่าสิ่งของใดที่ต้องการก็สามารถไปหาซื้อได้ที่นั่น หากมีเทศกาล อย่างเช่นเทศกาลโคมไฟ เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง เทศกาลไหว้พระจันทร์ ก็จะมีตลาดที่นอกเมืองหลวงเช่นกัน

หลังจากเดินเตร็ดเตร่ไปตลอดทาง ทั้งสองก็ได้ของมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นจึงเดินทางกลับ

เรือนที่พวกเขาซื้อนั้นมีบรรยากาศเงียบสงบเพราะไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่ ทางเข้าเรือนเป็นตรอกแคบๆ ด้านข้างก็มีเรือนของคนอื่นตั้งอยู่

พวกเขาเดินเข้าไปในตรอก ก่อนที่จะเดินไปถึงประตูเรือน ก็เห็นประตูสีดำบานใหญ่ของเรือนตรงข้ามเปิดอยู่จึงเดินเข้าไปใกล้ และเห็นว่ามีคนกำลังทำความสะอาดอยู่ด้านใน จากนั้นได้ยินคนผู้หนึ่งกล่าวขึ้น

“เมื่อไม่กี่วันก่อนนายท่านเพิ่งส่งจดหมายมาแจ้งว่า อีกไม่กี่วันคุณชายจะเดินทางเข้ามาสอบในเมืองหลวง พวกเจ้ารีบซ่อมแซมราวบันไดและหน้าต่างที่ผุพังเหล่านี้ให้ดี และทำความสะอาดให้เรียบร้อยทั้งด้านในและด้านนอก คุณชายเป็นคนรักความสะอาด ไม่อย่างนั้นหากเขามาถึงแล้วพบว่าตรงไหนบกพร่อง พวกเจ้าทุกคนเดือดร้อนแน่”

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้น ก็หันไปเอ่ยกับเสวี่ยหยวนจิ้ง “ท่านพี่ ดูเหมือนว่าเจ้าของเรือนหลังนั้นจะเป็นเหมือนกับท่านเลย เข้ามาสอบในเมืองหลวงเช่นกัน”

เธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยเห็นประตูเรือนฝั่งตรงข้ามเปิดเลย กำแพงเรือนหลังนั้นสูงมาก ลานเรือนกว้างขวาง ต้องเป็นของครอบครัวที่ร่ำรวยอย่างแน่นอน แต่เสวี่ยเจียเยว่คิดไม่ถึงว่าด้านในเรือนนั้นจะไม่มีเจ้าของอาศัยอยู่

เสวี่ยหยวนจิ้งเพียงส่งเสียงเป็นคำว่า ‘อือ’ จากนั้นก็มองประตูเรือนฝั่งตรงข้ามครู่หนึ่ง แล้วจูงมือเสวี่ยเจียเยว่เดินเข้าไปในเรือนของตน

อันที่จริงแล้วเรือนขนาดสองส่วนซึ่งมีเรือนหลักและเรือนบริวาร สำหรับเมืองหลวงก็ไม่ถือว่าเป็นเรือนเล็กแต่อย่างใด

เมื่อเดินเข้าประตูใหญ่ก็จะเห็นกำแพงหินสลักลายดอกบัวและใบบัว ทั้งยังมีปลาจิ๋นหลี่[2]อีกคู่หนึ่ง ซึ่งมีความหมายว่ามีกินมีใช้ตลอดทั้งปี และเมื่อเดินผ่านประตูกลางก็จะพบเรือนด้านใน มีเรือนฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก

เรือนหลักมีสามห้อง ห้องหนึ่งสว่าง อีกสองห้องมืด ส่วนเรือนฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกมีหลังละสามห้อง โชคดีที่เรือนสร้างขึ้นติดกัน แม้ว่าฝนหรือหิมะจะตกก็ไม่ต้องใช้ร่มหรือสวมรองเท้ากันฝนตอนที่เดินอยู่ในบริเวณเรือนทุกหลัง

เสวี่ยหยวนจิ้งเองก็พอใจเป็นอย่างมาก เขาจึงเอ่ยกับเสวี่ยเจียเยว่ด้วยรอยยิ้ม “เรือนนี้ไม่เล็กเลย หลังจากที่เราแต่งงานกันแล้ว เจ้าอยากมีลูกกี่คน เรือนนี้ก็เพียงพอต่อการอาศัย”

ช่วงนี้ชายหนุ่มไม่ได้ถามว่าเสวี่ยเจียเยว่อยากจะแต่งงานกับเขาเมื่อไร หลังจากสอบระดับมณฑลเสร็จแล้ว เขาก็อยากสอบระดับเมืองหลวงให้ผ่าน เมื่อเขาได้รับตำแหน่งขุนนางแล้วค่อยพูดเรื่องนี้กับเสวี่ยเจียเยว่อีกครั้ง พอถึงตอนนั้นอีกฝ่ายก็ถึงวัยปักปิ่นแล้ว คงหาข้ออ้างมาปฏิเสธเขาไม่ได้

เสวี่ยเจียเยว่คิดไม่ถึงเลยว่าอยู่ดีๆ เสวี่ยหยวนจิ้งจะเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา เธอไม่ตอบในทันที ได้แต่มองเขาอย่างตะลึงงันเช่นนั้น

เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเช่นนั้น ก็อดยื่นหน้าไปหอมแก้มขาวเนียนไม่ได้ ก่อนจะกล่าวพร้อมยิ้มบาง “เอาเถอะ เรื่องนี้พักเอาไว้ก่อนชั่วคราว ตอนนี้ในสายตาข้า เจ้ายังเด็กอยู่ ขอให้ข้าได้เลี้ยงเจ้าอีกสักปี”

ในที่สุดตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่ก็ได้สติกลับมา เธอจึงเขินอายและโกรธไม่น้อย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะโต้แย้งเขาอย่างไร หลังจากถลึงตามองเขาครู่หนึ่งจึงถือของในมือเข้าไปในเรือน

ตอนนี้พวกเขายังไม่ได้แต่งงานกัน ดังนั้นแม้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะใกล้ชิดกับเสวี่ยเจียเยว่ แต่พวกเขาก็ไม่ได้นอนในห้องเดียวกันในเรือนหลัก เสวี่ยเจียเยว่อยู่ในห้องทางทิศตะวันออก ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ในห้องทางทิศตะวันตก สองวันก่อนเธอจัดการทำความสะอาดห้องทางทิศตะวันตกแล้วก็จัดตำราของชายหนุ่มด้วย ทั้งยังทำความสะอาดห้องทางทิศตะวันออกให้ตัวเอง

แม้ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่จะอยู่ในเมืองหลวง แต่ก็มักจะคิดแบบชุดและเครื่องประดับใหม่ๆ อยู่เสมอ จากนั้นก็จ้างคนนำไปส่งให้ป้าเฝิงที่เมืองผิงหยาง เพื่อให้นางทำชุดและเครื่องประดับตามแบบที่ร่างไว้

หลังจากเข้าเมืองหลวงเธอก็ใช้ชีวิตสบายๆ ไม่ต้องไปที่ร้านทุกวันเหมือนตอนที่อยู่ในเมืองผิงหยางแล้ว หากต้องการตื่นสายจนตะวันโด่งก็ยังได้ แต่เธอไม่อยากทำตัวขี้เกียจเช่นนั้น จึงหางานเล็กๆ น้อยๆ ทำเสมอ

ช่วงนี้ผู้ที่ช่วยหาเรือนเช่าซึ่งเธอเคยพูดคุยด้วยในตอนแรกมาหาถึงเรือน และพูดคุยถึงเรือนที่พวกเธอเคยไปสอบถามเหล่านั้น เสวี่ยเจียเยว่เชิญพวกนางเข้ามาในเรือนอย่างสุภาพและสนทนากับพวกนาง ด้วยคิดว่าพอจะหาโอกาสในการทำการค้าจากคำพูดพวกนางได้หรือไม่

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ถึงวันที่สิบห้าเดือนสิบเอ็ด

เสวี่ยเจียเยว่เคยได้ยินคนเอ่ยว่า ทุกวันที่สิบห้าของทุกเดือน วัดต้าเซียงกั๋วจะมีตลาด พ่อค้าแม่ค้าจำนวนมากจะนำของออกไปขาย และผู้คนจำนวนมากที่อยู่ในเมืองหลวงก็ออกไปจับจ่ายซื้อของ วันนี้เธอจึงตื่นแต่เช้า และคิดจะออกไปเดินเล่นที่วัดต้าเซียงกั๋ว

เมื่อเธอเปิดประตูออกมาก็เห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งตื่นแต่เช้าเพื่อฝึกวรยุทธ์ และตอนนี้เขากำลังฝึกอยู่กลางลานเรือน

ตอนที่พวกเขาอยู่ในเมืองผิงหยาง เสวี่ยหยวนจิ้งตื่นแต่เช้าเพื่อฝึกวรยุทธ์ในลานเรือนเป็นครั้งคราว แต่ตอนนั้นมีครอบครัวของป้าเฝิงอยู่ร่วมลานเรือนเดียวกัน เขาจึงไม่สามารถทำอะไรตามใจได้ ซึ่งแตกต่างจากตอนนี้ที่มีเพียงพวกเขาสองคน เขาไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป

เสวี่ยเจียเยว่ไม่คิดจะเข้าไปรบกวน แต่พิงเสาระเบียงทางเดินมองดูเขาฝึกวรยุทธ์เท่านั้น

ที่เขาฝึกนั้นน่าจะเป็นเพลงดาบ เพราะในมือถือไม้ไผ่ไม่ยาวมากหนึ่งลำ การเคลื่อนไหวของเขาราบรื่นราวกับน้ำไหล สุดท้ายเขาก็ขว้างไม้ไผ่นั้นลงพื้น ทั้งที่มันเป็นเพียงไม้ไผ่ธรรมดา แต่กลับเสียบลงพื้นลึกหลายฉื่อ

เสวี่ยเจียเยว่ตกใจจนยืนนิ่งอยู่กับที่ จากนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็เดินมาหาเธอ ในแววตาของเขาราวกับมีรอยยิ้มแห่งความอบอุ่นปรากฏขึ้นมา

“เจ้าตื่นแล้วหรือ”

ชายหนุ่มอายุยี่สิบปีส่วนสูงก็เพิ่มมากขึ้น เขาสวมชุดสีเขียว มีผ้ารัดไว้ที่เอว เดินมาหาเธอด้วยรอยยิ้มท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเช้า ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นภาพที่เพลินตาและมองได้ไม่เบื่อเลย

หากได้พาคนเช่นนี้ออกไปข้างนอกด้วยย่อมมีหน้ามีตาไม่น้อย อีกอย่าง… ในนิยายบอกว่าภายภาคหน้าเขาจะได้รับตำแหน่งเสนาบดี เรียกได้ว่าเป็นบุรุษที่ดีที่สุดในใต้หล้านี้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาทำดีกับเธอขนาดนี้ ราวกับว่าเทิดทูนเธอไว้ในส่วนที่ลึกสุดของหัวใจก็ไม่ปาน

ความไม่มั่นใจของเสวี่ยเจียเยว่หายไปในชั่วพริบตาเดียว

เธอยืดตัวตรงและมองเสวี่ยหยวนจิ้งเดินมาทีละก้าว จากนั้นเขาก็หยุดตรงหน้าแล้วก้มหน้าลงมองเธอ ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่น

พระอาทิตย์ที่กำลังลอยขึ้นบนขอบฟ้าในตอนนี้ ช่างงดงามในสายตาของเสวี่ยเจียเยว่เหลือเกิน ด้วยเหตุนี้เธอจึงยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้

เขาคงฝึกวรยุทธ์มาได้พักใหญ่แล้ว เสวี่ยเจียเยว่เห็นเม็ดเหงื่อผุดซึมบนหน้าผากของชายหนุ่ม แต่ตอนนี้เธอกลับไม่ได้กลิ่นเหงื่อแม้แต่น้อย ยังคงเป็นกลิ่นเหมือนต้นสนท่ามกลางหิมะขาวโพลนเช่นเดิม ทำให้เธอรู้สึกสบายใจยิ่งนักจนโผเข้าไปกอดชายหนุ่ม

ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่โผเข้ามากอดนั้น เสวี่ยหยวนจิ้งตัวแข็งทื่อไปทันที

เมื่อก่อนเสวี่ยเจียเยว่จะเข้ามากอดแขนเขาเป็นบางครั้ง แต่ไม่เคยเป็นฝ่ายโผเข้ามาในอ้อมกอดของเขาเอง หลังจากที่ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองชัดเจนขึ้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาเป็นเขาที่เข้าไปกวนเสวี่ยเจียเยว่ ส่วนเด็กสาวต้องจำใจยอมรับ แต่ตอนนี้จู่ๆ อีกฝ่ายก็โผเข้ามาเช่นนี้ เสวี่ยหยวนจิ้งจึงไม่กล้าจะเชื่อ

ชายหนุ่มวัยยี่สิบปีคือช่วงเวลาที่เปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา เมื่อก่อนตอนที่เสวี่ยเจียเยว่ไม่มายั่วโมโห เขาก็อยากกอดรั้งอีกฝ่ายไว้เช่นนี้ตลอดไป ตอนนี้เด็กสาวกลับเป็นฝ่ายเริ่มโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว เขาจึงตกใจเป็นอย่างมาก หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อความตกใจหายไป ก็กลายเป็นความยินดีเข้ามาแทนที่ ชายหนุ่มกอดกระชับร่างบางของแม่นางน้อยเอาไว้แน่น ก่อนจะก้มหน้าลงคิดจะจูบ

เสวี่ยเจียเยว่ยิ้มบางพลางคิดจะหลบ แต่เสวี่ยหยวนจิ้งดันตัวเธอให้แผ่นหลังติดกับเสาด้านข้าง แล้วขยับเข้าไปให้ร่างของตนแนบชิดกับเด็กสาว จากนั้นก็ยกมือทั้งสองขึ้นประคองแก้มเนียน แล้วก้มหน้าลงบรรจงจูบริมฝีปากอ่อนนุ่มของอีกฝ่ายโดยไม่ลังเล

[1] คือระดับมหาเสนาบดี ซึ่งเป็นขุนนางขั้นสูงสุด

[2] คือปลาคาร์ป