บทที่ 143 วัดต้าเซียงกั๋ว

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

หนึ่งร้อยสี่สิบสาม

วัดต้าเซียงกั๋ว

เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งหยอกเย้ากันอยู่พักหนึ่งจึงไปกินข้าวเช้า เมื่อกินเสร็จแล้วทั้งสองคนก็เดินทางไปยังวัดต้าเซียงกั๋ว

ไม่นานมานี้เสวี่ยเจียเยว่เคยได้ยินคนอื่นพูดว่า วัดต้าเซียงกั๋วเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง และเหล่าเชื้อพระวงศ์จะเข้ามาสักการบูชา ตอนนี้ยังเดินไปไม่ถึงตัววัด เธอก็เห็นกำแพงสีแดงตั้งตระหง่าน ด้านในเป็นหลังคากระเบื้องขนาดใหญ่ เป็นประกายระยิบระยับอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็พบประตูวัดขนาดใหญ่ ลานกว้างหน้าวัดตอนนี้เต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่มารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก เธอเห็นเพิงขายของที่ตั้งเสร็จก่อน มีผ้าไหม ผ้าแพร เครื่องประดับ เครื่องประทินโฉม เพชร พลอย หิน หยก ตำราใหม่ ตำราโบราณ กระทั่งเครื่องหอมจากต่างแดน รวมทั้งผ้าห่ม และพรมสักหลาดที่ปูอยู่บนพื้น มีลูกค้ากำลังต่อรองราคาสินค้ากับพ่อค้าแม่ค้าเหล่านั้น ช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก

เสวี่ยเจียเยว่ไม่เคยเห็นภาพเช่นนี้มาก่อนจึงประหลาดใจเป็นอย่างมาก

เมื่อหายจากอาการตกตะลึง เธอก็ชวนเสวี่ยหยวนจิ้งเดินต่อ หากเจอของที่ชอบก็จะซื้อเอาไว้

ในขณะที่เธอกำลังซื้อปิ่นหยกขาวหนึ่งอัน ก็ได้ยินลูกค้าคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าเพิงขายใบชากำลังคุยกับเจ้าของร้าน

“ใบชาของร้านเจ้ามีแต่ดีๆ ทั้งนั้น คราวที่แล้วญาติของข้ามาเยี่ยมก็ได้ลั่นวาจาไว้อย่างดีว่าอยากซื้ออะไรกลับไปฝากคนที่เรือน แต่ก็ต้องรอจนถึงวันที่สิบห้าของทุกเดือนถึงจะได้มาหาเจ้าเพื่อซื้อใบชา ญาติข้าผู้นั้นต้องกลับไปอย่างเสียดาย หากเจ้ามีร้านของตัวเองก็คงจะดี ข้าคงได้พาญาติของข้ามาซื้อจากร้านเจ้าได้โดยตรง”

“ข้าเองก็อยากมีร้านของตัวเอง” พ่อค้าผู้นั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แต่เจ้าก็รู้ ห้องหนึ่งในเมืองหลวงมีขนาดใหญ่เท่าไร ค่าเช่าก็ต้องสูงลิ่วเช่นกัน กิจการของข้าเล็กเช่นนี้ จะไปมีปัญญาเช่าห้องราคาขนาดนั้นได้อย่างไร ทำได้แค่รอให้วัดต้าเซียงกั๋วเปิดตลาดในทุกวันที่สิบห้าของเดือนเท่านั้น หากเปิดทุกวันก็คงจะดี”

ทั้งสองพูดคุยกันต่อสักพัก เมื่อลูกค้าคนนั้นซื้อใบชาแล้วก็เดินจากไป

เสวี่ยหยวนจิ้งชวนเสวี่ยเจียเยว่เดินต่อไป คนที่มาตลาดเริ่มเยอะขึ้นจนเดินเบียดเสียดกัน ชายหนุ่มไม่ชอบงานรื่นเริงหรือสถานที่ที่มีคนมากเช่นนี้ จึงขอให้เสวี่ยเจียเยว่เดินเข้าไปด้านในวัดต้าเซียงกั๋ว

คนที่มาเดินตลาดล้วนเป็นคนในเมืองหลวง จะมาที่วัดต้าเซียงกั๋วเมื่อไรก็ย่อมได้ และตอนนี้ผู้คนยังเดินซื้อของที่ตลาดบนลานวัด ดังนั้นในวัดจึงมีคนน้อยกว่า

มีแม่ค้าขายธูปอยู่หน้าประตูวัด เสวี่ยเจียเยว่จึงซื้อธูปสองสามอีแปะ ก่อนจะชวนเสวี่ยหยวนจิ้งเดินเข้าไปด้านใน

ห้องโถงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในสายตาเป็นอันดับแรก ต่อมาก็เป็นกระถางธูปขนาดใหญ่สองใบอยู่ตรงหน้า ในนั้นเต็มไปด้วยธูปที่มีควันลอยคลุ้งไปทั่วบริเวณ ด้านข้างยังมีคนพนมมือถือธูปอีกสองสามคน พวกเขาหลับตาลงและโค้งคำนับไปทั้งสี่ทิศ ก่อนจะก้มคำนับสามครั้งเมื่อวนกลับมาตรงหน้ากระถางธูป

ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังมองดูรอบๆ นั้น เสวี่ยหยวนจิ้งก็หยิบธูปออกไปจุดไฟด้านข้าง จากนั้นจึงเดินกลับมาแล้วแบ่งธูปให้เด็กสาวสามดอก ส่วนตนก็ถือธูปสามดอกเอาไว้และประสานมือ หันไปทางทิศตะวันออกแล้วยืนนิ่ง

เสวี่ยเจียเยว่เห็นดวงตาคู่นั้นของเขาปิดลง ผ่านไปสักพักถึงได้เห็นเขาก้มคำนับ และทำเช่นนี้กับอีกสามทิศที่เหลือ เธอเห็นเขายืนก่อนสักพัก จากนั้นก็โค้งคำนับสามครั้งตรงหน้ากระถางธูป คงจะเป็นเพราะเมื่อครู่นี้เขายืนหลับตาอธิษฐานในใจอยู่

หลังจากคำนับทุกทิศทางแล้ว เขาถึงได้นำธูปสามดอกในมือปักลงในกระถางธูปขนาดใหญ่ใบหนึ่งที่ตั้งอยู่ข้างๆ

เมื่อหันกลับมาเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่ยังยืนถือธูปอยู่ตรงนั้น เขาจึงเอ่ยถาม “เหตุใดไม่คำนับเล่า”

เสวี่ยเจียเยว่มองเขาด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ ท่านก็เชื่อในเทพเจ้าด้วยหรือเจ้าคะ”

เธอคิดว่าคนอย่างเขาคงไม่มีทางเชื่อในเรื่องเหล่านี้ หากจะเชื่อก็คงเชื่อการพึ่งพาตัวเองดีกว่าไปอาศัยคนอื่น เพราะชีวิตเป็นของเขา เขาย่อมกำหนดเองได้ ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับลิขิตฟ้า แต่ดูท่าทางของเขาตอนนี้แล้วกลับเหมือนคนที่เลื่อมใสเป็นอย่างมาก…

เสวี่ยหยวนจิ้งกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ก็ต้องเชื่อแน่นอนอยู่แล้ว”

จากนั้นเขาก็เร่งเร้าเธอ เสวี่ยเจียเยว่จึงได้แต่ทำตามท่าทางของเขาเมื่อครู่นี้ ก่อนจะนำธูปไปปักลงในกระถางธูปใบใหญ่

เมื่อหันกลับมาก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งเอามือไพล่หลัง และมองไปยังเทียนหนึ่งแถวที่ส่องสว่างบนแท่นวางด้านข้าง ลมพัดโชยเข้ามาพาให้ชายเสื้อคลุมปลิวไสว ยามนี้เขาสง่างามราวกับเทพเซียนก็ไม่ปาน

เสวี่ยเจียเยว่อยากรู้อยากเห็นจนทนไม่ไหวจึงเดินไปถามเขา “ท่านพี่ เมื่อครู่นี้ท่านอธิษฐานอะไรหรือเจ้าคะ”

เขามีสิ่งใดอยากจะขอหรือ ถึงได้เชื่อและคำนับเทพเจ้า เธอยังจำตอนที่อยู่ในหมู่บ้านซิ่วเฟิงได้ ตอนนั้นเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวายังอยู่ ครั้งหนึ่งที่เธอเอ่ยถึงกฎแห่งกรรม บาปบุญคุณโทษ ซึ่งไม่ใช่ไม่มี แต่ยังไม่ถึงเวลาที่คนชั่วจะได้รับกรรม เสวี่ยหยวนจิ้งก็เอ่ยด้วยความเย็นชา

“ข้าไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้ หากมีเทพเจ้าจริงๆ เหตุใดถึงได้ปล่อยให้พวกคนชั่วลอยนวล แต่คนดีกลับถูกลงโทษ หากมีเทพเจ้าอยู่จริง นั่นก็คงเป็นเทพที่ไม่รู้จักแยกแยะความดีความชั่ว จะไปมีประโยชน์อันใด”

แต่ตอนนี้…

เสวี่ยหยวนจิ้งมองเด็กสาวครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยด้วยท่าทีนิ่งสงบ “ก็ต้องอธิษฐานขอให้เทพเจ้าดลใจเจ้าให้ตอบตกลงแต่งงานกับข้าโดยเร็ว”

เสวี่ยเจียเยว่คิดไม่ถึงว่าเขาจะตอบเช่นนี้ จึงตะลึงงันไปชั่วครู่ ได้แต่จับจ้องไปที่เขาอย่างพูดอะไรไม่ออก

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นท่าทางของอีกฝ่ายเช่นนั้น จึงยกมือขึ้นหยิกแก้มขาวเนียนอย่างห้ามใจไม่ได้“ตะลึงอันใดกัน พวกเราใช้โอกาสตอนที่คนในวัดยังมีไม่มาก ออกไปเดินเล่นดูรอบๆ กันเถอะ พอคนเดินซื้อของในตลาดที่ลานวัดเสร็จ ก็น่าจะพากันมาสักการะเทพเจ้า พอถึงตอนนั้นก็คงจะวุ่นวายมาก อยู่ที่นี่คงไม่สนุกแล้วละ”

เสวี่ยเจียเยว่ตอบตกลง และปล่อยให้เขากุมมือเธอเดินออกไป

ด้านนอกมีแม่นางผู้หนึ่งยืนถือธูปอยู่หน้ากระถางใบใหญ่ แผ่นหลังของนางแลดูงดงามไม่น้อย เสวี่ยเจียเยว่จ้องมองอยู่นาน นึกอยากจะเห็นใบหน้าของสตรีผู้นั้นว่าเป็นอย่างไร

หลังจากสตรีผู้นั้นคำนับเทพเจ้าเสร็จ ก็ส่งธูปให้สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะประคองมือสาวใช้อีกคนหมุนตัวกลับมา

ใบหน้างดงามสดใส แต่บึ้งตึงยิ่งนัก และเย็นชาดั่งน้ำแข็ง ช่างเป็นความงามที่ยากจะเข้าใกล้จริงๆ

ที่แท้ก็คือสตรีที่ไปร้านซู่ยวี่เซวียนเมื่อไม่นานมานี้ และนางก็ไม่พูดกับเสวี่ยเจียเยว่ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะบังเอิญมาพบกันในวัดต้าเซียงกั๋ว

เสวี่ยเจียเยว่ประหลาดใจยิ่งนัก จึงเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อของเสวี่ยหยวนจิ้ง แล้วเอนตัวไปกระซิบเสียงเบา “ท่านพี่ ดูแม่นางที่อยู่ข้างหน้านั่นสิเจ้าคะ”

ในขณะที่พูดนั้น เธอไม่ได้สนใจว่าตนกำลังเหยียบก้อนหินขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่นักจนข้อเท้าพลิก จากนั้นก็อุทานด้วยความเจ็บปวด

เสวี่ยหยวนจิ้งที่เดิมทีมองไปเบื้องหน้า และประหลาดใจยิ่งเมื่อเห็นเฉินอ๋าวเหมย แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอุทานด้วยความเจ็บปวดของเสวี่ยเจียเยว่ เขาก็รีบก้มหน้าลงมองและเอ่ยถามในทันที“เจ้าเป็นอันใดหรือ”

แม้จะรู้สึกเจ็บปวด แต่เธอก็พยายามเอ่ยตอบเขา “ข้อเท้าพลิกเจ้าค่ะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็รีบถามต่อ “พลิกข้างไหน เจ็บมากหรือไม่”

เขาอยากจะถอดถุงเท้าของเสวี่ยเจียเยว่ออกมาดูเสียตอนนี้ แต่มีบุรุษอยู่รอบด้านหลายคน เขาจึงทำได้เพียงปล่อยไปก่อนชั่วคราว

กระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่วางใจ ยังอยากจะดูว่าเสวี่ยเจียเยว่เจ็บมากหรือไม่ จึงหันหลังให้เด็กสาวแล้วคุกเข่าลง “ขึ้นมา”

นี่เขาถึงกับจะแบกเธอขึ้นหลังเชียวหรือ…

คนอื่นๆ มองมาทางนี้แล้ว สายตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความสงสัยและอยากรู้อยากเห็น

เสวี่ยเจียเยว่หน้าแดงเรื่อขณะเอ่ยเสียงเบา “ท่านพี่ ข้าไม่เป็นอะไร ท่านรีบลุกขึ้นมาเร็วเข้า ข้าไม่อยากให้ท่านแบกข้า”

แต่เสวี่ยหยวนจิ้งจะสนใจหรือว่าคนพวกนั้นมองเขาอย่างไร และยิ่งคนทั้งใต้หล้านี้ไม่มีใครเทียบเสวี่ยเจียเยว่เพียงคนเดียวได้ เขาจึงยืนกราน “ขึ้นมา”

เสวี่ยเจียเยว่จนปัญญาจะโต้แย้ง ได้แต่หน้าแดงและขึ้นคร่อมหลังเขา ก่อนจะยื่นแขนอันบอบบางทั้งสองข้างไปโอบรอบคอชายหนุ่มเบาๆ เธอรู้สึกเขินอายสายตาของคนรอบข้างที่จับจ้องมา จึงต้องทำเป็นไม่เห็นไม่ได้ยิน ซุกหน้าลงบนหลังของเสวี่ยหยวนจิ้ง ทำเช่นนี้เธอจะมองไม่เห็นใคร และคนอื่นจะได้มองเห็นหน้าเธอน้อยลง

การที่จะได้เห็นชายหนุ่มแบกสตรีไว้บนหลังนั้นมีไม่บ่อยนัก คนที่อยู่ในบริเวณนั้นจึงมองพวกเขาด้วยความสนใจ เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งแบกเสวี่ยเจียเยว่เดินจากไปไกลแล้ว ฝูงชนที่อยู่รอบๆ ก็ทยอยกันเดินออกไป เหลือเพียงเฉินอ๋าวเหมยกับสาวใช้เท่านั้นที่ยังยืนนิ่ง

หลิวเอ๋อร์ที่ประคองมือของนางเงียบงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยถาม “สองคนเมื่อครู่นี้ คือคุณชายเสวี่ยและน้องสาวของเขาหรือไม่เจ้าคะ”

ใบหน้าของคุณชายเสวี่ยและน้องสาวของเขาโดดเด่นยิ่งนัก วันนั้นที่นางเห็นพวกเขาในร้านซู่ยวี่เซวียนก็จำได้ดี วันนี้นางจะจำผิดได้อย่างไร แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน การกระทำของคุณชายเสวี่ยที่มีต่อน้องสาวของเขาก็ดูใกล้ชิดสนิทสนมเกินไปกระมัง

เฉินอ๋าวเหมยไม่ได้กล่าวอันใด แต่สัมผัสได้เพียงความรู้สึกแปลกๆ ในหัวใจของนาง

เมื่อครู่ที่นางถือธูปและหลับตาอธิษฐานต่อเทพเจ้า ขอให้นางได้พบสามีตามที่ตนปรารถนา คิดไม่ถึงว่าเมื่อนางหันกลับมาก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งพอดี หรือว่านี่คือการชี้นำของเทพเจ้า หัวใจของนางอดสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้ แต่ท่าทางที่เสวี่ยหยวนจิ้งมีต่อนางกลับเย็นชายิ่งนัก เขามองนางเพียงแวบเดียว จากนั้นก็ก้มหน้าลงมองน้องสาวของตนอย่างรวดเร็ว

ตอนที่เขามองน้องสาวนั้น สีหน้าเต็มไปด้วยความอบอุ่นและสงสาร ไหนเลยจะมีความเย็นชาอย่างตอนที่มองนาง อีกทั้งเมื่อครู่เขายังไม่สนใจสายตาประหลาดใจของคนรอบข้าง คิดจะแบกน้องสาวขึ้นหลังให้ได้…

เมื่อเฉินอ๋าวเหมยคิดเช่นนั้น ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่เป็นพี่น้องกันแท้ๆ หรือไม่

นางสั่งหลิวเอ๋อร์ “พวกเราตามไปดูหน่อย”

หลิวเอ๋อร์ไม่กล้าขัดคำสั่งจึงรีบรับคำทันที และเดินตามผู้เป็นนายไปพร้อมกับสาวใช้อีกคน

เดิมทีเสวี่ยหยวนจิ้งคิดจะหาห้องเล็กสักห้อง จากนั้นก็ถอดถุงเท้าของเสวี่ยเจียเยว่ และดูอาการบาดเจ็บที่เท้าของเด็กสาวว่าเป็นอย่างไร แต่เมื่อคิดว่าไม่นานคงมีคนเดินเข้ามา เขาไม่อยากให้ชายใดเห็นเท้าของอีกฝ่าย จึงเอ่ยถามพระที่กำลังกวาดพื้นว่า ห้องที่ใช้สำหรับรับรองแขกอยู่ที่ไหน จากนั้นก็หยิบเงินออกมาพร้อมกับบอกว่าน้องสาวของเขาข้อเท้าพลิก อยากจะขอยืมใช้ห้องพักสักห้องเพื่อดูอาการของน้องสาวเขาเสียหน่อย

ในวัดก็มีห้องรับแขกอยู่แล้ว เพื่อรองรับผู้แสวงบุญหรืออยากจะพักผ่อน พระรูปนั้นจึงไม่ได้รับเงินของเขาไป แต่นำไม้กวาดด้ามใหญ่ไปพิงไว้กับกำแพง และนำทางพวกเขาไปที่ห้องรับแขกด้านหลัง

เมื่อมาถึงแล้ว พระรูปนั้นก็ขอตัวออกไป ก่อนจะไปก็บอกให้พวกเขาทำตัวตามสบาย

เสวี่ยหยวนจิ้งวางเสวี่ยเจียเยว่ลงบนเก้าอี้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะเดินไปปิดประตู จากนั้นก็คุกเข่าลงตรงหน้าเด็กสาวพร้อมเอ่ยถาม “ข้อเท้าเจ้าพลิกข้างใดหรือ”

เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยตอบงึมงำ “ข้อเท้าขวาเจ้าค่ะ”

หลังจากตอบแล้วเธอก็ชักเท้าขวาของตนกลับมาอย่างเขินอาย

ทว่ากลับถูกเสวี่ยหยวนจิ้งเอื้อมมือมาจับเอาไว้ แล้วถอดถุงเท้าของเธอออกอย่างเบามือ