บทที่ 144 มือปราบในชีวิต

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

หนึ่งร้อยสี่สิบสี่

มือปราบในชีวิต

เสวี่ยเจียเยว่สวมรองเท้าผ้าต่วนสีขาวปักลายดอกโบตั๋นและผีเสื้อ

หลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งถอดถุงเท้าของเด็กสาวออก ก็เห็นเท้าขวาที่ขาวราวกับหิมะ จนเห็นเส้นเลือดสีเขียวใต้ผิวหนังอย่างชัดเจน นิ้วทั้งห้าเหมือนดอกมะลิตูมที่รอวันแบ่งบาน

หัวใจของชายหนุ่มเต้นรัวแรงขึ้นมาทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเสวี่ยเจียเยว่

เขาเห็นแก้มทั้งสองข้างของเด็กสาวแดงเรื่อ ทำให้อีกฝ่ายดูงดงามยิ่งขึ้น ช่างมีเสน่ห์ดึงดูดใจเขาเหลือเกิน

เสวี่ยหยวนจิ้งทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ รู้สึกว่าเท้าที่เขาจับนั้นเนียนกว่าผ้าไหมที่ดีที่สุดเสียอีก เขาจึงอดลูบเบาๆ ไม่ได้

เสวี่ยเจียเยว่ยิ่งหน้าแดงด้วยความโกรธและเขินอาย ก่อนจะชักเท้าขวาของตนกลับมา แต่ก็ถูกเสวี่ยหยวนจิ้งจับข้อเท้าเอาไว้อย่างเบามือ และเอ่ยกระซิบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“อย่าขยับ”

การกระทำนั้นทำให้เสวี่ยเจียเยว่ร้องออกมาเบาๆ ด้วยความเจ็บปวด

เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินก็รีบตรวจดูในทันที จึงเห็นว่าข้อเท้าของเด็กสาวบวมแดงเล็กน้อย เขาใช้มือกดเท้าส่วนบนไว้แล้วนวดคลึงเบาๆ

แน่นอนว่าย่อมทำให้เสวี่ยเจียเยว่เจ็บปวดไม่น้อย เธอกัดฟันขมวดคิ้วทันที แต่สุดท้ายก็ทนไม่ได้จนต้องร้องออกมาเบาๆ

เสียงนั้นเล็กเหมือนแมวน้อยก็ไม่ปาน แผ่วเบาและอ่อนโยน ทั้งยังสั่นเครือเล็กน้อย ทำให้เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินแล้วหัวใจเต้นรัวเหมือนมีใครตีกลองอยู่ภายใน กระทั่งจับเท้าของเด็กสาวแรงขึ้นหลายส่วน

เสวี่ยเจียเยว่ก้มลงมองพร้อมกับร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “ท่านพี่ ข้าเจ็บ…”

เสียงแหบพร่านั้นคล้ายกำลังออดอ้อนและตำหนิ แต่อีกส่วนก็คล้ายกับว่าจะร้องไห้

เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกว่าทั่วทั้งร่างเกิดอาการเกร็ง อยากจะทำบางอย่าง แต่พวกเขายังไม่ได้แต่งงานกัน เขาจึงทำได้เพียงข่มความคิดที่ส่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่งในหัวกลับไป

แต่เสียงของเสวี่ยเจียเยว่ยังคงดังก้องอยู่ในหู ด้วยความปรารถนาที่น่าตกใจของเขา ทำให้เส้นเลือดบริเวณขมับกระตุกไม่หยุด สุดท้ายเขาก็ต้องบอกเสวี่ยเจียเยว่อย่างจนปัญญา “อดทนไว้ อย่าส่งเสียง”

เพราะตอนนี้หัวใจของเขาทรมานยิ่งนัก ดังนั้นใบหน้าหล่อเหลาจึงยิ่งเคร่งเครียด น้ำเสียงที่เปล่งออกมาฟังดูเคร่งขรึมไม่น้อย ราวกับว่าเขาไม่มีความสุขอย่างไรอย่างนั้น

เสวี่ยเจียเยว่ตะลึงงันไปชั่วขณะ และมองเขาอยู่เช่นนั้นโดยไม่พูดไม่จา

ช่วงที่ผ่านมาเสวี่ยหยวนจิ้งทำทุกอย่างเพื่อเธอ ไม่เคยดุด่าแม้แต่คำเดียว ไหนเลยจะมีสีหน้าเย็นชาและน้ำเสียงเคร่งขรึมเช่นนี้ เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าเธอทำให้ชายหนุ่มหงุดหงิด เขาคงคิดว่าแม้แต่เดินเธอยังทำข้อเท้าพลิกได้ ถึงได้ดุเธอเช่นนี้ ดวงตาของเธอแดงก่ำขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ แต่กลับไม่ยอมให้เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ เธอไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ทำได้เพียงกัดริมฝีปากอย่างอดทนเงียบๆ

เสวี่ยหยวนจิ้งก้มหน้านวดข้อเท้าให้เสวี่ยเจียเยว่ ขณะเดียวกันนั้นทั่วร่างของเขาก็ยังคงเกร็งแน่น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เด็กสาวกำลังจะร้องไห้ เมื่อไม่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายร้องด้วยความเจ็บปวด เขาก็ผ่อนคลายลงได้บ้าง ไม่อย่างนั้นหากได้ยินเสียงเช่นนั้นต่อไป เขาต้องข่มใจไม่ได้จนทำเรื่องที่หัวใจปรารถนาอย่างแน่นอน

หลังจากนวดไปได้พักใหญ่ ข้อเท้าขาวเนียนของเสวี่ยเจียเยว่ก็หายบวม แต่ยังคงแดงอยู่เล็กน้อย อีกไม่นานก็คงจะหายดี จากนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็สวมถุงเท้าให้เด็กสาวอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย

เมื่อเห็นว่าดวงตาของเสวี่ยเจียเยว่แดงก่ำ กัดริมฝีปากล่างแน่นจนแดง ดูเหมือนท่าทางของคนน้อยใจที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้ เสวี่ยหยวนจิ้งก็นึกว่าอีกฝ่ายคงปวดข้อเท้าไม่น้อย จึงร้อนใจจนต้องรีบเอ่ยถาม “ปวดมากใช่หรือไม่”

เสวี่ยเจียเยว่ถอนหายใจด้วยความโกรธ แต่ไม่พูดอะไร และยิ่งกัดริมฝีปากแน่นกว่าเดิม จนกลายเป็นสีแดงราวกับกลีบกุหลาบ

เสวี่ยหยวนจิ้งตกใจจึงรีบโน้มตัวเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยถามไม่หยุด “เจ้าเป็นอันใด หือ? บอกข้ามา”

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความกังวล ไม่มีความเคร่งขรึมเหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว แต่เสวี่ยเจียเยว่ก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจมากขึ้น ดวงตาของเธอมีน้ำใสชั้นบางๆ ปกคลุม ก่อนจะตอบพร้อมเสียงสะอื้น

“เมื่อครู่ท่านดุข้า แม้ว่าข้าจะไม่ระวังจนทำเท้าตัวเองพลิก แต่ข้าก็ไม่ได้ขอร้องท่านให้มานวดให้ ท่านไม่เต็มใจนวดให้ข้า ทั้งยังมาดุข้าอีก อีกหน่อยข้าไปหาคนอื่นมานวดให้ก็ได้ ไม่ต้องลำบากท่าน”

เสวี่ยหยวนจิ้งตะลึงงัน จากนั้นก็ได้สติกลับมา เขาหัวเราะไม่หยุด ทั้งยังรู้สึกโกรธมากอีกด้วย

“เจ้าคิดว่าเมื่อครู่นี้ข้าดุเจ้าอย่างนั้นหรือ ข้าไม่ได้ดุเจ้าเลย ข้าแค่… ข้าแค่ได้ยินเสียงเจ้าร้องเช่นนั้น แล้วข้าจะมีสมาธินวดเท้าให้เจ้าได้อย่างไร”

“ข้าเจ็บแล้วร้องออกมาไม่ได้หรือ” เสวี่ยเจียเยว่ร้องไห้ด้วยความน้อยใจ “แล้วท่านจะให้ข้าทำเช่นไร”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้ว่าเธอเองที่เป็นต้นเหตุให้เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

เสวี่ยหยวนจิ้งอดยิ้มไม่ได้ จากนั้นก็โน้มตัวลงพูดบางอย่างข้างหูของเด็กสาว

เสวี่ยเจียเยว่เบิกตากว้างอย่างตกใจ จากนั้นก็หน้าแดงก่ำ ก่อนจะเอ่ยออกมา “ท่านมีความคิดที่น่ารังเกียจเอง จะมาโทษข้าได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าใจท่านมันหมกมุ่นอยู่กับเรื่องน่าไร้ยางอายเช่นนั้นทั้งวัน”

เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นใบหน้าของเด็กสาวแดงก่ำ ภายใต้ความโกรธนั้นก็ยังมีเสน่ห์ เขาก็ห้ามใจไม่ไหว จึงก้มลงจูบริมฝีปากของอีกฝ่าย และเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า “เยว่เอ๋อร์ เมื่อไรเจ้าจะยอมตกลงแต่งงานกับข้า อย่าทรมานข้าไปมากกว่านี้ได้หรือไม่”

เสวี่ยเจียเยว่คิดจะหลบ แต่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับจับท้ายทอยของเธอเอาไว้ และกดศีรษะเธอให้โน้มไปหาเขา พร้อมกับจูบริมฝีปากบางและชุ่มชื้นของเธอทันที

เรี่ยวแรงของเสวี่ยเจียเยว่ย่อมสู้เขาไม่ได้ หากเขาคิดจะจูบเธอจะหลบได้อย่างไร จึงทำได้เพียงยอมรับจูบของเขาเท่านั้น

เป็นเวลานานกว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะยอมปล่อย เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกคล้ายถูกดูดเรี่ยวแรงออกไปจนหมด เธอถูกเสวี่ยหยวนจิ้งคว้าตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอย่างอ่อนโยน มือเรียวเล็กพาดอยู่บนแขนของเขา ตาคู่นั้นปิดสนิท และหายใจถี่กระชั้น

จากนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็ถามต่อ “ชุดแต่งงานของเจ้าปักเสร็จหรือยัง หลังจากข้าสอบระดับเมืองหลวงเสร็จแล้วพวกเราก็แต่งงานกันดีหรือไม่”

ริมฝีปากของเสวี่ยเจียเยว่ถูกเขารังแกจนบวมแดง ดวงตาคล้ายมีหมอกปกคลุม เธอเงยหน้าเม้มปากพลางยิ้ม “ไม่ดีเจ้าค่ะ ท่านบอกว่าข้าทรมานท่านทุกวันใช่หรือไม่ ข้ายังทรมานท่านไม่หนำใจ รอให้ข้าพอใจแล้วค่อยตอบตกลงแต่งงานกับท่านแล้วกัน”

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ดูเหมือนจิ้งจอกน้อยกำลังภาคภูมิใจ ทำให้เสวี่ยหยวนจิ้งมีอาการคันยุบยิบที่ฟัน อยากจะกลืนกินเสวี่ยเจียเยว่ให้เข้าไปหลอมกับเลือดเนื้อของเขาให้ได้

“เจ้าเกิดมาเพื่อเอาชนะข้าจริงๆ” จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นหยิกแก้มอ่อนนุ่มของเด็กสาว

แต่จู่ๆ เขานึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของเสวี่ยเจียเยว่ขึ้นมาได้ ใบหน้าจึงทะมึนลงในทันที “เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าจะหาคนอื่นมานวดเท้าเช่นนั้นหรือ เจ้าอยากให้ใครมานวดเท้าให้”

เสวี่ยเจียเยว่อยากจะแกล้งเขาสักที จึงเอียงศีรษะช้อนตาขึ้นมองชายหนุ่ม และใช้นิ้วเรียวยาวขาวละเอียดหมุนวนเสื้อด้านหน้าของเขาเล่น ส่วนขาก็แกว่งไปมาเบาๆ

“ท่านพี่ ท่านอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ความจริงแล้วมีคนตั้งมากมายที่ชอบข้า คนอื่นอย่าเพิ่งกล่าวถึง เพียงคนที่ส่งแม่สื่อมาสู่ขอก็มีอยู่ไม่น้อย แต่เพราะความหึงหวงท่านจึงไล่ตะเพิดจนพวกเขาหนีกระเจิง หากท่านไม่เต็มใจนวดเท้าให้ข้า แล้วข้าหาคนอื่นมานวดให้ข้าไม่ได้หรือ ข้ามีคนในใจแล้ว”

ตอนที่กล่าวใบหน้าของเธอก็มีรอยยิ้มด้วย การกระทำเช่นนี้ช่างมีเสน่ห์ดึงดูดใจคนมองยิ่ง ดูแล้วเหมือนสุนัขจิ้งจอกน้อยแสนฉลาดก็ไม่ปาน

เสวี่ยหยวนจิ้งทนไม่ไหวจึงก้มลงกัดริมฝีปากล่างของอีกฝ่ายอย่างแรง ในขณะที่เสวี่ยเจียเยว่เจ็บจนอยากจะด่าเขานั้น ริมฝีปากนุ่มๆ ของเธอก็ถูกจูบอีกครั้ง คำที่พูดออกมาแม้จะไม่ชัดเจน แต่ก็แฝงไปด้วยความโหดร้าย

“หากเจ้ากล้าให้ชายอื่นแตะต้องเท้าของเจ้า ข้าจะตัดแขนเขาซะ หากเขาเห็นเท้าเจ้าแม้เพียงแวบเดียว ข้าจะควักลูกตาเขาออกมา ในใต้หล้านี้ต้องมีแค่ข้าคนเดียวเท่านั้นที่เห็นเท้าของเจ้าและนวดได้ เข้าใจหรือไม่”

ก่อนหน้านี้เสวี่ยเจียเยว่ยังแกล้งกวนประสาทเขาอยู่บ้าง แต่ไม่นานก็เห็นได้ชัดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเหมือนจะโกรธจริงๆ เธอเจ็บริมฝีปากล่างไม่น้อย ราวกับว่าหากเธอไม่ตอบตกลงเขาจะเพิ่มแรงมากขึ้น จึงรีบตกลงทันที

เมื่อได้ยินเด็กสาวรับปาก เสวี่ยหยวนจิ้งถึงได้รู้สึกผ่อนคลายลง และไม่ได้จูบอย่างรุนแรงเหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว แต่กลับจูบริมฝีปากของเสวี่ยเจียเยว่อย่างอ้อยอิ่งราวกับไม่อยากจากไปสักนิด ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “เจ้าเกิดมาเพื่อปราบข้าจริงๆ”

ในขณะที่ทั้งสองกำลังหยอกล้อกันอยู่นั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น เนื่องจากมีคนผลักประตูเข้ามาอย่างกะทันหัน

เสวี่ยเจียเยว่ตกใจจนสะดุ้งโหยง พอรีบหันไปมองก็เห็นว่ามีคนสามคนยืนอยู่หน้าประตู เมื่อหรี่ตามองจนเห็นชัดเจนแล้วจึงจำได้ว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือสตรีที่เธอพบก่อนหน้านี้

เดิมทีเฉินอ๋าวเหมยมีสีหน้าเย็นชาดุจภูเขาน้ำแข็ง ราวกับว่าทั้งวันไม่มีความรู้สึกอื่นใดปรากฏขึ้นมาเลย แต่ตอนนี้ใบหน้าของนางกลับแดงก่ำ ไม่รู้ว่าโกรธหรืออาย และมือทั้งสองข้างก็สั่นเทา

“พวกเจ้า… พวกเจ้า” นางยกมือขึ้นชี้ไปที่เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ “พวกเจ้าเป็นพี่น้องกัน แต่… แต่กลับกล้าทำเรื่องหน้าไม่อายเช่นนี้… ในวัดกลางวันแสกๆ กระนั้นหรือ”

หลังจากนางกล่าวออกไปก็รู้สึกอายจนพูดต่อไม่ได้ และท่าทางเดือดดาลเช่นนั้น ราวกับว่านางพาสาวใช้มาจับสามี ซึ่งเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นสามีของนาง และเสวี่ยเจียเยว่ก็คือจิ้งจอกน้อยที่มาแอบกินสามีของนางนั่นเอง

หลังจากเสวี่ยเจียเยว่ได้สติกลับมา เธอก็มองเสวี่ยหยวนจิ้ง แววตานั้นสื่อให้รู้ชัดเจนว่า‘สมองของแม่นางผู้นี้มีปัญหาตรงไหนหรือไม่’

เสวี่ยหยวนจิ้งตบหลังเด็กสาวเบาๆ จากนั้นก็หรี่ตาและมองไปที่เฉินอ๋าวเหมย เขาไม่รู้ว่านางคือใคร แต่สามารถพูดออกมาได้ว่าเขากับเสวี่ยเจียเยว่เป็นพี่น้องกัน…

ชายหนุ่มไม่ได้สนใจว่าเฉินอ๋าวเหมยจะเป็นใครมาจากไหน จึงตะคอกกลับไปอย่างเย็นชา“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า”

เฉินอ๋าวเหมยรู้สึกกระอักกระอ่วนทันที จากนั้นก็รู้เพียงว่าตอนนี้ตนโกรธมาก

ตั้งแต่เล็กจนโตมีใครบ้างที่กล้าพูดเช่นนี้กับนาง และถึงแม้ว่าตอนแรกนางจะดูถูกฐานะของเสวี่ยหยวนจิ้ง แต่ถึงอย่างไรนางก็พอใจในตัวเขา ใจของนางกลายเป็นของเขาไปตั้งนานแล้ว แต่ตอนนี้นางกลับเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งและเสวี่ยเจียเยว่อยู่ใกล้ชิดสนิทสนมกันเช่นนี้…

ตามที่นางสืบมา เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่เป็นพี่น้องกันไม่ใช่หรือ แต่พวกเขาสองคนกลับทำเรื่องผิดศีลธรรมกลางวันแสกๆ ตามที่นางแอบดูอยู่ข้างนอกเมื่อครู่นี้ เห็นได้ชัดว่าเสวี่ยเจียเยว่ล่อลวงเสวี่ยหยวนจิ้ง

ดังนั้นเฉินอ๋าวเหมยจึงอดถลึงตามองเสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้ และคิดเพียงว่า… นางไม่มีทางปล่อยให้คนไร้ยางอายเช่นนี้ลอยนวลอย่างแน่นอน

เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางก็หันหลังให้พวกเขาแล้วเดินจากไปด้วยความโกรธ