ตอนที่ 33 สาเหตุที่แขกคนหนึ่งมายืนอยู่ที่นี่
หลิ่วสือซุ่ยนั่งพิงเสาหิน ขาทั้งสองข้างกางออก โลหิตชโลมทั่วทั้งร่าง
ดวงตาแห่งความโกรธแค้นจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมองดูเขา แต่เขากลับไม่แยแสแม้เพียงน้อย หากแต่กล่าวอย่างเฉยชา “แล้วจะทำไม? ขอเพียงฆ่าเขาได้ อะไรข้าก็ยอมทำทั้งสิ้น”
กั้วหนานซานมองไปทางเจี่ยนหรูอวิ๋นที่กำลังถูกช่วยชีวิต กล่าวว่า “หากมิเป็นเพราะเขาไม่เคยสงสัยว่าเจ้าเรียนวิชามาร วันนี้เจ้าก็ไม่มีทางทำร้ายเขาได้เหมือนกัน”
“เขาย่อมไม่มีทางสงสัยข้า เพราะเขารู้ว่าข้ามิใช่คนแบบนั้น”
หลิ่วสือซุ่ยเหลียวหน้าอย่างยากลำบาก มองไปทางเจี่ยนหรูอวิ๋นที่กำลังสลบไสลมิได้สติ พลางกล่าวว่า “ตอนนั้นคนที่อยากกินตานปีศาจ คือเขาต่างหาก”
กั้วหนานซานส่ายศีรษะ กล่าวว่า “เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว เหตุใดยังคิดจะทำลายความบริสุทธิ์ของคนอื่นอีก?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “เมื่อสองปีก่อนตอนอยู่ใต้แม่น้ำจั๋ว เขาคิดอยากขโมยตานปีศาจ แต่ถูกข้าพบเข้า ข้าคิดอยากหยุดยั้ง แต่กลับถูกลอบโจมตี นี่คือความจริง ข้ามิได้ทำลายความบริสุทธิ์ของเขา”
กั้วหนานซานมองไปทางฉือเยี่ยน
ในเวลาสองปีนี้ ทางยอดเขาซั่งเต๋อเป็นผู้รับผิดชอบสอบปากคำหลิ่วสือซุ่ย ศิษย์ชิงซานคนอื่นๆ มิทราบรายละเอียดเลย
ฉือเยี่ยนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบร้อย “คำพูดโกหก ไม่จำเป็นต้องเชื่อถือ ดังนั้นพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย “เมื่อสองปีก่อน พวกท่านทรมานข้า ไม่ว่าจะเจ็บปวดอย่างไร ข้าก็มิยอมปริปาก เพราะข้ารู้ว่าพวกท่านไม่มีทางเชื่อข้า เมื่อปีที่แล้วพวกท่านก็มาสอบปากคำข้าอีก ในที่สุดข้าก็ยอมเอ่ยปาก แต่คำพูดที่ข้าพูดพวกท่านก็ยังไม่เชื่อ ในเมื่อพวกท่านคิดว่าข้าเป็นคนเลวคนนั้นแล้ว เหตุใดยังต้องมาถามข้าอีก?”
ฉือเยี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มันได้พิสูจน์แล้วว่าเจ้าเป็นคนกินตานปีศาจเม็ดนั้นไป”
เรื่องที่เกิดขึ้นใต้แม่น้ำจั๋ว มีเพียงหลิ่วสือซุ่ยและเจี่ยนหรูอวิ๋นสองคนเท่านั้นที่รู้ ไม่มีพยานคนอื่นอีก ตานปีศาจจึงเป็นหลักฐานเพียงหนึ่งเดียว
ผ่านไปสองปี เนื่องเพราะวิชาลับที่ประทับอยู่ในวิญญาณของหลิ่วสือซุ่ย จึงทำให้คนของยอดเขาซั่งเต๋อรวมไปถึงฉือเยี่ยนหาหลักฐานว่าเขากินตานปีศาจไม่เจอ
แต่วันนี้ ในที่สุดหลักฐานก็ปรากฏออกมา
หลิ่วสือซุ่ยพลันหัวร่อ อารมณ์ดูคุ้มคลั่ง
“ข้าไปแย่งตานปีศาจเม็ดนั้น…ตานปีศาจมันก็…เข้ามาในตัวข้าเอง…มันเข้ามาเอง…ข้าจะทำอย่างไรได้?”
เขามองกั้วหนานซาน ก่อนจะมองไปทางฉือเยี่ยนและศิษย์ร่วมสำนักที่ใช้สายตารังเกียจมองมาทางตน จากนั้นผายมือทั้งสองข้างพลางกล่าวถามว่า “หากเปลี่ยนเป็นพวกท่าน พวกท่านจะทำอย่างไร?”
ขณะที่ถามประโยคนี้ เขายังคงส่งเสียงหัวร่ออยู่ แต่มิรู้ตั้งแต่เมื่อไร บนใบหน้าเขาพลันเต็มด้วยหยดน้ำตา เศษฝุ่นและคราบโลหิตถูกชะจนเปรอะเปื้อน ดูคล้ายเศษดินโคลน
ภายในบริเวณนั้นตกอยู่ในความเงียบ หากสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง หากเปลี่ยนจากเขาเป็นตัวเอง เช่นนั้นตัวเองควรจะทำอย่างไร?
เหล่าศิษย์ชิงซานถามคำถามนี้กับตัวเอง พวกเขาเองก็ตอบไม่ได้ นั่นเท่ากับว่ามีคำตอบแล้ว
เมื่อเห็นหลิ่วสือซุ่ยที่น้ำตานองหน้า หลายคนเกิดความรู้สึกเห็นใจ แต่กลับยังไม่ยอมเชื่อคำพูดของเขา
“ใส่ร้ายป้ายสี!”
“ศิษย์พี่เจี่ยนถูกเจ้าทำร้ายจนเป็นแบบนี้ เจ้ายังคิดจะทำลายชื่อเสียงของเขาอีก!”
“เจ้าคนไร้ยางอาย ฉวยโอกาสตอนที่ศิษย์พี่สลบมิสามารถพูดอะไรได้ ใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้ใส่ร้ายอย่างนั้นรึ!”
ศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างและยอดเขาอวิ๋นสิงมิอาจทนต่อไปได้อีก พวกเขาพากันส่งเสียงด่าทอขึ้นมา
ในเวลานี้การช่วยเหลือของยอดเขาซื่อเยวี่ยได้เสร็จสิ้นลงแล้ว พวกเขายืนยันว่าอาการของเจี่ยนหรูอวิ๋นแม้นจะสาหัส แต่ก็น่าจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
ครั้นได้ยินคำพูดนี้ กั้วหนานซานและหลายๆ คนพากันถอนใจออกมา
หลิ่วสือซุ่ยเองก็ถอนใจ
ความอัดอั้นที่ทำให้เขาทนมาได้จนถึงทุกวันนี้ ในที่สุดมันก็ได้ระบายออกมาเสียที
เขาเตรียมตัวอย่างเงียบๆ มาเป็นเวลาสองปี ยอมเปิดเผยว่าตัวเองกินตานปีศาจเข้าไป ทั้งหมดก็เพื่อจะสังหารเจี่ยนหรูอวิ๋น
ทว่า เขาก็ทำไม่สำเร็จ
เขานั่งพิงเสาหินมิกล่าวกระไรอีก บนใบหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
……
……
ฉือเยี่ยนประกาศความผิดของหลิ่วสือซุ่ยต่อหน้าทุกคน นอกจากเรื่องกินตานปีศาจและฝึกฝนวิชามารแล้ว ยังมีเรื่องที่เขาพัวพันกับการตายของจั่วอี้แห่งยอดเขาปี้หูด้วย
ยอดเขาปี้หูมีศิษย์บางคนเดือดดาลขึ้นมา พวกเขาถ่มน้ำลายมาทางหลิ่วสือซุ่ยพลางด่าทอ
สุดท้ายก็เป็นการประกาศบทลงโทษของหลิ่วสือซุ่ย
ประหารด้วยกระบี่
จิ๋งจิ่วมองดูเด็กหนุ่มที่อยู่ใต้เสาหินผู้นั้นอย่างเงียบๆ
เมื่อเทียบกับตอนที่อยู่ในหมู่บ้านเมื่อหลายปีก่อนแล้ว หลิ่วสือซุ่ยได้เติบโตขึ้นมาก ไม่เจอกันสามปี เขารู้สึกว่าใบหน้านั้นดูแปลกหน้าไป
เจ้าล่าเยวี่ยเหลือบมองเขา พลางกล่าว “ข้าคัดค้าน”
เหล่าลูกศิษย์ตกใจ
ในกฎกระบี่ของชิงซาน การประหารศิษย์ด้วยกระบี่ถือเป็นบทลงโทษขั้นสูงสุด แม้จะเป็นเจ้าสำนักหรือยอดเขาซั่งเต๋อก็มิสามารถตัดสินใจด้วยตัวเอง จำเป็นต้องผ่านความเห็นชอบของเจ้าแห่งยอดเขาทั้งหมดเสียก่อน
หากมีเจ้าแห่งยอดเขาผู้หนึ่งไม่เห็นด้วยก็จะไม่สามารถทำการประหารศิษย์ได้ จะทำได้ก็เพียงนำศิษย์ไปขังไว้ในคุกกระบี่ แม้นจะไม่มีวันได้ออกมาอีกก็ตาม
นักโทษที่ถูกขังอยู่ในคุกกระบี่ใต้ยอดเขาซั่งเต๋อ นอกจากพวกอสูรปีศาจที่ไม่สะดวกจะสังหารแล้ว ก็ยังมีอดีตศิษย์ของสำนักชิงซานด้วย
ฉือเยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางถามว่า “ไม่ทราบเพราะเหตุใด?”
อำนาจของยอดเขาซั่งเต๋อถูกท้าทาย แต่เขาจำเป็นต้องเคารพสถานะเจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อของเจ้าล่าเยวี่ย
“เจี่ยนหรูอวิ๋นยังไม่ตาย ที่ผ่านมาก็ยังไม่มีศิษย์ชิงซานคนไหนต้องตายเพราะเขา เช่นนั้นทำไมเขาต้องตายด้วย?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ยิ่งไปกว่านั้นพวกท่านก็ได้ยินที่เขากล่าวมาเมื่อครู่มิใช่หรือ? ในเมื่อยังมีความจริงที่แอบซ่อนอยู่ เหตุใดจึงมิรอให้เจี่ยนหรูอวิ๋นตื่นขึ้นมาก่อนแล้วค่อยถาม?”
คำพูดของนางเห็นได้ชัดว่ากำลังสงสัยเจี่ยนหรูอวิ๋น และยืนอยู่ข้างหลิ่วสือซุ่ย
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างและยอดเขาอวิ๋นสิงจึงอดสบตากันด้วยความโกรธไม่ได้
เจ้าล่าเยวี่ยสีหน้าเรียบเฉย มองดูพวกเขาพลางกล่าวว่า “พวกเจ้ามองอะไร?”
เหล่าศิษย์ของทั้งสองยอดเขาจึงได้สติกลับมา รู้ว่าพฤติกรรมของตนเองนั้นเสียมารยาทเป็นอย่างยิ่ง จึงพากันเก็บสายตาอย่างโกรธแค้น
“ยังมีอะไรให้ถามอีก? ทุกคนก็เห็นกันทั้งนั้นว่าตานปีศาจมันอยู่ในท้องของหลิ่วสือซุ่ย!”
เจ้าแห่งยอดเขาอวิ๋นสิงมองดูเจี่ยนหรูอวิ๋นที่ยังสลบไสลมิได้สติ ในใจรู้สึกโมโหถึงขีดสุด กล่าวตะคอกเสียงดัง
เจ้าล่าเยวี่ยยังคงสงบนิ่ง นางกล่าวว่า “แล้วจะทำไม? ข้าก็ยังไม่เห็นด้วยอยู่ดี”
ไม่เห็นด้วยก็คือไม่เห็นด้วย
นางไม่เห็นด้วย หลิ่วสือซุ่ยก็ยังไม่ตาย
รอบป่าหินตกอยู่ในความเงียบ
ทุกคนต่างรู้ว่าหลิ่วสือซุ่ยน่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป
แต่ปัญหาก็คือ การถูกขังอยู่ในคุกกระบี่มิได้เห็นเดือนเห็นตะวันไปตลอดชีวิตมันเป็นจุดจบที่ดีกว่าการตายจริงๆ อย่างนั้นหรือ?
จิ๋งจิ่วยังคงไม่กล่าวกระไร เพราะเขารู้ว่านี่หาใช่บทสรุปที่แท้จริงไม่
แล้วก็เป็นอย่างที่คาด
ปลายยอดเขามีเสียงเจ้าสำนักดังมาแต่ไกล
“ร้อยปีมานี้ ยอดเขาที่เก้าเพิ่งจะร่วมงานของชิงซานเป็นครั้งแรก…ขอยอดเขาซั่งเต๋อโปรดพิจารณาด้วย”
กระบี่สามฉื่อพลันสั่นสะเทือน ไอเย็นยะเยือกสายหนึ่งแผ่กระจายออกมา
เสียงของหยวนฉีจิงดังกระจายไปทั่วทั้งยอดเขา ก่อนจะทิ่มแทงเข้าไปในหูของเหล่าศิษย์คล้ายกับน้ำแข็งย้อยก็มิปาน รู้สึกทรมานเป็นอย่างยิ่ง
“ยึดโอสถกระบี่ ตัดเส้นลมปราณ ล้างพิษของตาน ทำลายสภาวะ ขับออกจากชิงซาน ยอดเขาเทียนกวงเป็นคนจัดการ”
นี่คือบทสรุปสุดท้ายของหลิ่วสือซุ่ย
ยอดเขาซั่งเต๋อยอมถอยก้าวหนึ่ง ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าเป็นเพราะเจ้าสำนักเอ่ยปาก”
เจ้าสำนักเอ่ยปาก ก็เพื่อไว้หน้าศิษย์สืบทอดของนักพรตจิ่งหยาง
เช่นนั้นเหตุใดเจ้าล่าเยวี่ยต้องออกหน้าช่วยชีวิตหลิ่วสือซุ่ยด้วย?
มีหลายคนคิดได้ว่าจะน่าเกี่ยวข้องกับจิ๋งจิ่ว
หลายคนยังจำถึงความสัมพันธ์ในอดีตของเขากับหลิ่วสือซุ่ยได้
ผู้ดูแลของยอดเขาซั่งเต๋อเข้ามาพยุงตัวหลิ่วสือซุ่ย ก่อนจะใช้โซ่กระบี่รัดแขนทั้งสองข้างของเขาเอาไว้
หลิ่วสือซุ่ยมองจิ๋งจิ่วที่อยู่บนแท่นตรงหน้าผา เขานิ่งเงียบไปครู่ จากนั้นจู่ๆ พลันตะโกนเสียงดังขึ้นมา “ข้าไม่ต้องการความเมตตาจอมปลอมของท่าน!”
จิ๋งจิ่วสีหน้าเฉยเมย เขายังคงมิกล่าวกระไร
“เวลาที่ข้าต้องการความช่วยเหลือที่สุด…ท่านอยู่ที่ได!”
“เวลาที่ข้าทุกข์ทรมานที่สุด ท่านอยู่ที่ได? ท่านไปแล้ว! ท่านจากชิงซานไปท่องเที่ยว!”
“ข้ารู้ว่าท่านจงใจหลบหน้า ทำไม? เพราะท่านกลัวจะล่วงเกินพวกเขาอย่างนั้นหรือ? หรือกลัวว่าพอเห็นสภาพอันน่าเวทนาของข้าแล้วจะทำตัวไม่ถูก?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวอย่างโศกเศร้า “ใช่สิ ท่านเป็นอัจฉริยะทางวิถีกระบี่ที่มีอนาคตที่สุดของสำนักชิงซาน ข้ามันเป็นแค่ศิษย์ที่ถูกทอดทิ้ง ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างพวกเรามันเคยมีความผูกพันอะไรที่ไหนกัน? ท่านก็เป็นแค่แขกที่มาพักอยู่ที่บ้านข้าปีนึงเท่านั้น ตอนอยู่ที่ศาลาหนานซง อยู่ที่ธารกระบี่ พวกเขาใช้ข้ามาเยาะเย้ยท่าน เวลานั้นเกรงว่าท่านคงรู้สึกหงุดหงิดเวลาที่เห็นข้าใช่หรือไม่?”
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ
หลิ่วสือซุ่ยค่อยๆ สงบลง เขามองจิ๋งจิ่วที่อยู่บนหน้าผาพลางกล่าวอย่างจริงจังว่า “แต่ว่า ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าท่านจะ….”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดเขาหยุดอยู่ตรงนี้ ทั้งๆ ที่ยังพูดไม่จบ
เพราะจิ๋งจิ่วยกมือขึ้นมา
คล้ายกับตอนที่อยู่ในหมู่บ้าน เหมือนกับตอนที่อยู่ศาลาหนานซงและธารสี่เจี้ยน
เพียงแค่ส่งสัญญาณมือ ส่งสายตา หลิ่วสือซุ่ยก็เข้าใจความหมายของเขา
จิ๋งจิ่วรู้สึกว่าเขาพูดมากเกินไป หนวกหู
หลิ่วสือซุ่ยหัวเราะอย่างน่าเวทนา มิกล่าวอะไรอีก
……
……
หลิ่วสือซุ่ยถูกผู้ดูแลของยอดเขาซั่งเต๋อคุมตัวออกไป จากนั้นอาจารย์ของยอดเขาเทียนกวงจะเป็นคนดำเนินการลงโทษอันโหดร้ายเหล่านั้น แล้วค่อยถูกขับออกจากชิงซาน
จิ๋งจิ่วมองดูเขาค่อยๆ เดินหายไปบนทางขึ้นเขา ยังคงมิกล่าวกระไร
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมองมาที่เขา ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หรือว่าเหล่าศิษย์ต่างกำลังคิดในใจว่าคนผู้นี่ช่างไร้ความรู้สึกจริงๆ
เจ้าล่าเยวี่ยพลันถามว่า “เขาคิดอย่างนั้นจริงๆ หรือ?”
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ จากนั้นกล่าวว่า “ฝันว่าได้กลับไปชาติที่แล้วยังนึกสงสัยว่าตัวเองฝันอยู่หรือเปล่า จริงแสร้งทำเป็นเท็จ เท็จยังดูจริงเสียยิ่งกว่าจริง ข้าไม่แน่ใจ”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ทำไมเจ้าถึงไม่อธิบายกับเขาเสียหน่อย?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้าก็รู้ ข้าเป็นเพียงแขกที่ไปอาศัยอยู่ที่บ้านเขาปีหนึ่งเท่านั้น ข้าให้เงินไปมากพอแล้ว”
……
……
แม้นจะเกิดเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ ทว่างานชุมนุมซื่อเจี้ยนยังคงดำเนินต่อไป คล้ายดั่งชีวิตคนเรา
เจี่ยนหรูซานถูกหลิ่วสือซุ่ยโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส ย่อมไม่สามารถสู้ต่อได้ คู่ต่อสู้ที่จับฉลากมาเจอกับเขาโชคดีได้ผ่านเข้ารอบที่สองไปโดยไม่ต้องสู้
ศิษย์คนต่อไปที่ลงชื่อเอาไว้เตรียมจะลงสนาม จิ๋งจิ่วพลันลุกขึ้นยืน
กลุ่มคนฮือฮาขึ้นมาเล็กน้อย
หลายคนคิดว่าเขาไม่มีหน้าจะนั่งอยู่ตรงนี้ต่อไป จึงเตรียมจะออกไปจากงาน
เจ้าล่าเยวี่ยย่อมต้องรู้ว่าหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ นางยิ้มเล็กน้อยพลางครุ่นคิด ไหนบอกตัวเองเป็นเพียงแขกที่เข้าไปพักอาศัยไง?
จิ๋งจิ่วเดินลงไปจากแท่นหิน มาถึงลานประลอง
เขาเงยหน้ามองดูป่ากระบี่ ก่อนจะพบว่าเสาหินเหล่านั้นมันสูงมากจริงๆ ตรงกลางมีเมฆม้วนตัวลอยล่อง ทำให้มองดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้านบนไม่ชัดเจน
เหล่าลูกศิษย์ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร เหตุใดจึงยืนอยู่ตรงนี้พลางแหงนหน้ามองฟ้า
ศิษย์ที่เตรียมจะลงสนามคนนั้นก็ไม่รู้เช่นกันว่าตนเองควรจะทำอย่างไร หรือต้องตะโกนบอกให้เขาถอยไป?
ฉือเยี่ยนเลิกคิ้วพลางกล่าวถามว่า “ศิษย์น้อง…จิ๋ง เหตุใดเจ้าจึงมายืนอยู่ตรงนี้?”
จิ๋งจิ่วดึงสายตากลับมา พลางกล่าว “ข้านัดหมายกับสำนักจงโจวเอาไว้แล้วว่าจะประลองหมากล้อมกับถงเหยียนในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยปีหน้า”
เรื่องราวที่โด่งดังเช่นนี้ย่อมไม่มีใครที่จะไม่ทราบ ศิษย์หลายคนรู้สึกว่าเขากำลังทำตัวเองขายหน้า หรืออาจจะขายหน้ามาถึงอาจารย์
ยิ่งไปกว่านั้นการที่เจ้าจะไปงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในปีหน้า มันเกี่ยวข้องอะไรกับการมายืนอยู่ตรงนี้ด้วย?
“เมื่อครู่ข้าพลันนึกขึ้นมาได้ว่าถ้าจะไปงานชุมนุมเหมยฮุ่ย อันดับแรกก็ต้องมีสิทธิ์ที่จะไปงานชุมนุมเหมยฮุ่ยเสียก่อน ดังนั้นข้าจึงต้องเข้าร่วมการทดสอบกระบี่”
จิ๋งจิ่วกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าจึงมายืนอยู่ตรงนี้”
………………………………………………………..