ตอนที่ 34 ระบุชื่อยอดเขาเหลี่ยงว่าง
ฉือเยี่ยนตกตะลึง
เขาคิดถึงไม่เลยว่าจิ๋งจิ่วจะเอ่ยถึงงานชุมนุมเหมยฮุ่ย แต่หลังจากนั้นกลับบอกว่าตนเองจะเข้าร่วมทดสอบกระบี่
คนอื่นๆ เองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน บริเวณรอบป่าหินตกอยู่ในความเงียบแปลกๆ
ฉือเยี่ยนได้สติกลับมา เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มันช่างน่าขันสิ้นดี จึงกล่าวว่า “ตอนนี้เจ้ามิใช่ศิษย์รุ่นที่สามอีกแล้ว ย่อมไม่อาจเข้าร่วมทดสอบกระบี่ได้”
จิ๋งจิ่วกล่าว เช่นนั้นข้าจะเข้าร่วมงานชุมนุุมเหมยฮุ่ยได้อย่างไร?”
ฉือเยี่ยนคิดในใจเจ้าเป็นอาจารย์รุ่นที่สองแล้ว หากคิดอยากจะไปงานชุมนุมเหมยฮุ่ยเพื่อโดนถงเหยียยหยามหน้า มันก็ย่อมมีทางอยู่ อย่างเช่นรับหน้าที่เป็นคนนำเหล่าลูกศิษย์ไปเข้าร่วมงาน
จิ๋งจิ่วกล่าว “หากมิได้เข้าร่วมทดสอบกระบี่ แล้วได้สิทธิ์ไปงานชุมนุมเหมยฮุ่ย หลายๆ คนคงรู้สึกไม่ยอมรับเป็นแน่”
ทุกคนคิดในใจ ที่แท้เจ้าก็รู้เหมือนกันนี่นา
แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครอยากยอมรับจิ๋งจิ่ว โดยเฉพาะเหล่าลูกศิษย์ที่ฝึกฝนวิถีกระบี่ได้ไม่เลวและคิดอยากจะแสดงฝีมือของตน พวกเขายอมรับว่าจิ๋งจิ่วมีพรสวรรค์ทางวิถีกระบี่ที่สูงส่ง แต่ปัญหาคือเขาอายุยังน้อย สภาวะยังตื้นเขิน หากมิเป็นเพราะโชคดีเดินตามเจ้าล่าเยวี่ยขึ้นไปถึงยอดเขาเสินม่อ ไหนเลยจะกลายเป็นอาจารย์อาของพวกเขาได้?
“ดังนั้นข้าจึงต้องเข้าร่วม”
จิ๋งจิ่วมองไปทางตำแหน่งที่ศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างยืนอยู่ จากนั้นกล่าวว่า “ขอเพียงข้าชนะ ก็จะไม่มีใครที่ไม่ยอมรับอีก”
ครั้นได้ยินประโยคนี้ ศิษย์ชิงซานพลันส่งเสียงฮือฮาขึ้นมา ในใจคิดว่าคนผู้นี้ช่างโอหังสิ้นดี
ฉือเยี่ยนครุ่นคิดพลางกล่าวว่า “การจับฉลากจบลงไปแล้ว ตอนนี้จะจับฉลากใหม่ก็คงไม่ทัน”
จิ๋งจิ่วกล่าว “แค่เรียกชื่อก็พอ”
เจี่ยนหรูซานสามารถระบุชื่อเขาเพื่อท้าสู้ได้ เขาก็ย่อมระบุชื่อเพื่อท้าคนอื่นได้เช่นกัน
สายตาจำนวนมากมองตามสายตาเขาขึ้นไปบนแท่นหินที่สองที่อยู่บนหน้าผา
“ช่วยชี้แนะด้วย”
จิ๋วจิ่วมองคนผู้หนึ่งที่อยู่ในหมู่ลูกศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างพลางกล่าว
คนผู้นั้นรูปร่างค่อนข้างอ้วน มองแล้วให้ความรู้สึกไม่มีพิษไม่มีภัย
คนอ้วนผู้นั้นนามว่าหม่าหวา ชื่อมิได้สะดุดตาอะไร ในยอดเขาเหลี่ยงว่างเป็นอันดับที่สามสิบเจ็ด ก็มิได้สะดุดตาอะไรเช่นกัน
ศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างมีชื่อเสียงอย่างมาก แต่หลายคนกลับไม่รู้จักเขา แค่นี้ก็พอจะรู้ได้ว่าคนผู้นี้มิได้เป็นที่สนใจของใครเลย หรือพูดอีกอย่างก็คือถูกคนมองข้ามได้ง่าย
เสียงพูดคุยดังขึ้นมา เหล่าลูกศิษย์มิเข้าใจว่าเหตุใดจิ๋งจิ่วต้องเลือกท้าสู้คนผู้นี้
ส่วนเรื่องแพ้ชนะ…เวลานี้จิ๋งจิ่วยังอยู่ในสภาวะขั้นสมความนึกคิด ตามหลักแล้ว ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างคนใดก็ล้วนแต่เอาชนะเขาได้อย่างง่ายดาย แต่ก่อนหน้านี้ไม่นาน เจี่ยนหรูซานซึ่งเป็นศิษย์อันดับที่สี่สิบหกของยอดเขาเหลี่ยงว่างถูกหลิ่วสือซุ่ยเอาชนะได้อย่างง่ายดาย ใครจะรู้บ้างว่าจิ๋งจิ่วจะสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนอีกครั้งหรือเปล่า
ลำแสงกระบี่วูบไหวเล็กน้อย หม่าหวามายังลานประลอง เขาส่งยิ้มมองจิ๋งจิ่ว ก่อนจะใช้เสียงที่มีเพียงพวกเขาสองคนที่ได้ยินกล่าวว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นคนฟ้องเรื่องหลิ่วสือซุ่ย?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าไม่รู้”
สีหน้าหม่าหวาแปลกใจเล็กน้อย กล่าวว่า “เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงท้าข้าสู้?”
เดิมเขาคิดว่าจิ๋งจิ่วคิดอยากจะแก้แค้นแทนหลิ่วสือซุ่ยเพราะคาดเดาความจริงของเรื่องราวได้
จิ๋งจิ่วมิรู้ว่าที่ยอดเขาซั่งเต๋อสงสัยหลิ่วสือซุ่ยว่ามีส่วนพัวพันกับการตายของจั่วอี้แห่งยอดเขาปี้หู เป็นเพราะหม่าหวาพบว่าคืนนั้นหลิ่วสือซุ่ยไม่อยู่ที่ถ้ำของตน
เขายิ่งไม่รู้ว่าหม่าหวาและกู้ชิงต่างทราบแล้วว่าคืนนั้นเขาก็ไม่อยู่เช่นกัน เพื่อจะปกปิดเรื่องนี้แทนเขา หลิ่วสือซุ่ยจึงดึงดันมิยอมปริปากบอกว่าตนเองไปไหนมา
เขารู้เพียงแค่ว่าคนอ้วนที่ไม่เป็นจุดสนใจผู้นี้คือกุนซือของยอดเขาเหลี่ยงว่าง ที่หลิ่วสือซุ่ยต้องเป็นเช่นนี้ก็น่าจะเป็นแผนของคนผู้นี้เช่นกัน
ที่สำคัญที่สุดก็คือนับตั้งแต่ตอนอยู่ที่ธารสี่เจี้ยน เขาก็ไม่ชอบคนอ้วนผู้นี้แล้ว
หม่าหวาหุบยิ้ม ก่อนจะมองเขาอย่างจริงจัง
สี่ปีมาแล้ว เขาพบว่าตนเองยังมองชายหนุ่มผู้นี้ไม่ออก และเป็นเพราะเหตุนี้ เขาจึงคอยเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา จนถึงขนาดแสดงความเป็นศัตรูกับอีกฝ่าย
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องปิดบังความสามารถเอาไว้แน่ อย่างเช่นเรื่องที่ไม่เคยมีใครเห็นเจ้าขี่กระบี่ แต่ข้ามั่นใจว่าเจ้าขี่ได้นานแล้ว…”
เขากล่าวกับจิ๋งจิ่ว “เช่นนั้นไม่ว่าวันนี้จะแพ้หรือชนะ ขอเพียงข้าได้เห็นความลับของเจ้านิดหน่อย มันก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”
กล่าวจบประโยคนี้เขาก็ขี่กระบี่ทะลวงเมฆหมอกขึ้นไปยืนอยู่บนเสาหินต้นหนึ่ง
เมื่อดูจากลำแสงกระบี่แล้ว ตอนนี้หม่าหวาน่าจะอยู่ในสภาวะขั้นมิประจักษ์ระดับต้น หากว่าตามมาตรฐานของยอดเขาเหลี่ยงว่างก็ถือว่าค่อนข้างธรรมดา
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนจับจ้องไปยังจิ๋งจิ่ว ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกใครรู้
ศิษย์ขั้นสี่เจี้ยนจำนวนมากสามารถขี่กระบี่ได้ ศิษย์ที่เข้าร่วมงานชุมนุมซื่อเจี้ยนในวันนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ตามหลักแล้ว จิ๋งจิ่วควรจะขี่กระบี่ได้นานแล้ว แต่มิเคยมีผู้ใดเห็นเขาขี่มาก่อน
บางคนถึงขนาดคิดว่าการบำเพ็ญเพียรทางวิถีกระบี่ของเขาไปเจอกับอุปสรรคอะไรแปลกประหลาดหรือเปล่า
ทุกคนอยากรู้ว่าเขาจะขึ้นไปบนเสาหินที่สูงร้อยกว่าจ้างได้อย่างไร
หากกระทั่งเสาหินยังขึ้นไปไม่ได้ แล้วจะทดสอบกระบี่ได้อย่างไร?
ฉือเยี่ยนชูมือขวา เป็นสัญญาณบอกว่าเชิญ
จิ๋งจิ่วปลดกระบี่เหล็กที่สะพายอยู่ด้านหลัง ก่อนจะชูมันขึ้นไปกลางอากาศ
ท่าทางนี้ดูแล้วแปลกประหลาด คล้ายนายพรานที่เดินเข้าไปในป่าอันมืดมิดแล้วชูคบเพลิงที่อยู่ในมือ
เมื่อเห็นภาพนี้ เหล่าลูกศิษย์มีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย คิดในใจว่าเขากำลังจะทำอะไร?
ฉือเยี่ยนคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา คิ้วพลันเลิกขึ้นเล็กน้อย
บนแท่นหินมีผู้อาวุโสผมขาวบางคนก็รู้สึกเหมือนเคยเห็นภาพนี้ที่ไหนมาก่อนเช่นกัน พวกเขากำลังครุ่นคิดอย่างไม่แน่ใจ หรือนี่จะเป็นกระบวนท่าเผานภาในเพลงกระบี่เก้ามรณา
ในสมัยโบราณ ผู้ฝึกฝนกระบี่มีวิธีขี่กระบี่อยู่หลากหลายวิธี ต่อมาลดจำนวนลงเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นการเหยียบกระบี่อย่างในปัจจุบัน และสาเหตุที่การเหยียบกระบี่กลายเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายเช่นนี้ มันก็มีเหตุผลของมันอยู่
เดินทางด้วยการเหยียบกระบี่ สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ ค่อนข้างง่ายดาย สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือเวลาที่ผู้บำเพ็ญเพียรยืนอยู่บนกระบี่ สองมือที่ว่างเปล่าสามารถร่ายเคล็ดกระบี่ ทำให้สะดวกแก่การโจมตี
หากใช้วิธีอื่นในการขี่กระบี่ มือหนึ่งก็จำเป็นต้องกุมด้ามกระบี่เอาไว้ นั่นย่อมทำให้ขาดอิสระในการเปลี่ยนแปลง
ด้านล่างป่าหินพลันมีเสียงหวึ่งดังขึ้นมา
คลื่นอากาศระเบิดออก ฝุ่นหินคละคลุ้ง จิ๋งจิ่วหายตัวไปจากพื้น
ไม่มีใครทันรู้ตัว
ทุกคนแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าทันที ก่อนจะเห็นชั้นเมฆบนท้องฟ้ามีรูๆ หนึ่งปรากฏขึ้นมา จากนั้นคล้ายจะมองเห็นจุดดำเล็กๆ จุดหนึ่ง
เขาหนีไปเพราะหวาดกลัวหรือเป็นเพราะอะไร
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปบนท้องฟ้า ทั่วทั้งบริเวณตกอยู่ในความเงียบ
เสียงหวีดของกระบี่ดังขึ้น จิ๋งจิ่วกลับมาปรากฏสู่สายตาทุกคนอีกครั้ง เขาตกลงมาบนเสาหินต้นหนึ่ง
ไม่ว่าคนอื่นจะมองตัวเองอย่างไร เขายังคงเงียบสงบ
แต่เจ้าล่าเยวี่ยกลับรู้สึกกระอักกระอ่วน นางก้มหน้าดื่มชา
นางเดาว่าน่าจะเป็นเพราะเขามิได้ขี่กระบี่มาเป็นเวลานาน จึงรู้สึกไม่ชิน ทำให้ควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ ก็เลย…บินสูงไปหน่อย
สูงมากจริงๆ
เหล่าอาจารย์ของชิงซานมองเห็นอย่างชัดเจนว่าจิ๋งจิ่วบินขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของข่ายพลังชิงซานก่อนจะตกลงมา จึงอดลอบอุทานตกใจไม่ได้
—- ยังอยู่ในขั้นสมความนึกคิด แต่กลับสามารถขี่กระบี่บินขึ้นไปถึงระดับความสูงขนาดนั้นได้ในระยะเวลาสั้นๆ ศิษย์หนุ่มผู้นี้เป็นอัจฉริยะทางวิถีกระบี่ที่ควรค่าแก่ความคาดหวังของชิงซานจริงๆ
บนเสาหินต้นหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบจ้าง ใบหน้าอ้วนๆ ของหม่าหวาเผยให้เห็นสีหน้าอันคร่ำเคร่งเป็นครั้งแรก เขากล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าทักษะการขี่กระบี่ของเจ้าจะยอดเยี่ยมเพียงนี้ ดูแล้วคงจะเตรียมเอาไว้สร้างความตกตะลึงในวันใดวันหนึ่งข้างหน้าสินะ วันนี้ถูกบีบให้ใช้ออกมา ข้ารู้สึกเสียดายแทนเจ้าจริงๆ”
จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไร การที่ที่ผ่านมาเขามิได้ขี่กระบี่ มันมิได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับการปกปิดความสามารถหรือรอเวลาทำให้คนตกตะลึงเลย เขามีเหตุผลของเขาเอง
หม่าหวายิ้มเล็กน้อย ทันใดนั้นพลันเหยียบกระบี่บินขึ้นไป ก่อนจะขึ้นไปยืนอยู่บนเสาหินแท่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป
ตอนนี้ระยะห่างระหว่างเสาหินทั้งสองต้นอยู่ที่ประมาณหนึ่งร้อยสามสิบกว่าจ้าง
ระยะสังหารของกระบี่บินของศิษย์ขั้นสมความนึกคิดไม่มีทางเกินกว่าร้อยจ้าง
มาตรว่าจิ๋งจิ่วเป็นอัจฉริยะ วิถีกระบี่ฝึกฝนจนก้าวข้ามศิษย์ขั้นสมความนึกคิดธรรมดา กระบี่บินกว่าจะไปถึงตรงหน้าหม่าหวาก็คงเป็นเหมือนลูกธนูสุดระยะที่หาได้มีความน่ากลัวใดๆ
เมื่อเห็นภาพนี้ ศิษย์ของยอดเขาซั่งเต๋อและยอดเขาอื่นๆ ต่างขมวดคิ้วขึ้นมา มีเพียงศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างที่สีหน้ามิแปรเปลี่ยน
พวกเขาคุ้นเคยกับนิสัยการทำงานของหม่าหวาดี รู้ว่าเขาไม่มีทางปล่อยรายละเอียดเล็กน้อยใดๆ ให้เล็ดรอดไป ไม่สนใจคำวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ มีเพียงใจที่แสวงหาแต่ชัยชนะ
วันนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน
…………………………………………………………..