เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่เธอกับอวี๋หมิงหลางออกไปแล้ว แต่เธอรู้สึกว่าเจ้าของร้านคนนั้นดูพิลึกชอบกล วันนี้อวี๋หมิงหลางขับรถ เธอนั่งข้างๆ เสี่ยวเชี่ยนเปิดถุงหยิบกล่องเหล้าออกมาเปิด พอเห็นของที่อยู่ในนั้นเธอก็ออกอาการตกใจ
“หยุดรถ”
“มีอะไรเหรอลูกเชี่ยน?”
อวี๋หมิงหลางขับเข้าไปจอดข้างทาง มองเสี่ยวเชี่ยนหยิบขวดเหล้าที่ดูดีผิดปกติออกมาจากกล่องกระดาษ
เสี่ยวเชี่ยนเปิดขวดด้วยความระมัดระวัง เอานิ้วแตะเหล้าขึ้นมาจากนั้นคิ้วก็ขมวดแน่น
เหล้าขวดนี้พอถูกเปิดขวดกลิ่นก็คลุ้งเต็มรถ อวี๋หมิงหลางเองก็ได้กลิ่น
“เหล้านี่ผิดปกติเหรอ?”
“กลิ่นหอมรสหวานกลมกล่อม เหล้านี่อายุอย่างน้อยๆก็สิบปี”
อวี๋หมิงหลางพอมีความรู้เรื่องพวกนี้อยู่บ้าง “เหล้าลูกสาวไม่ใช่ยิ่งนานยิ่งแพงเหรอ? เหล้าที่พวกเรากินเมื่อกี้ไม่น่าถึงสามปีด้วยมั้ง ทำไมเจ้าของร้านคนนี้ถึงได้ใจกว้างนัก เหล้านี่น่าจะราคาเป็นร้อยเลยหรือเปล่า?”
เหล้าลูกสาวไม่ถือว่าเป็นเหล้าราคาแพงอะไร อายุสิบปีราคาอยู่ที่80-100 แต่เมื่อกี้พวกเขากินอาหารก็จ่ายกันไปไม่เท่าไร ทำไมเจ้าของร้านถึงได้ใจดีแบบนี้?
“ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่เหล้า นายดูที่ขวดสิ”
อวี๋หมิงหลางกวาดตามอง ฉีเยี่ยน้าชายของเขาทำธุรกิจอัญมณี พอรู้เรื่องเกี่ยวกับของโบราณบ้าง อวี๋หมิงหลางค่อนข้างสนิทกับเขา จึงพอจะดูของพวกนี้ออก
“แจกันเครื่องเคลือบเลียนแบบของจริง?”
อวี๋หมิงหลางจำได้ว่าเขาเคยเห็นของพวกนี้ที่บ้านผู้ใหญ่สักคน แจกันเครื่องเคลือบสมัยราชวงศ์ชิง อันเล็กๆแต่ราคาไม่เล็ก ลวดลายที่อยู่บนแจกันมีความประณีตมาก วาดเป็นดอกไม้และนก ราคาย่อมไม่ธรรมดา
เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกเสียวสันหลัง ขวดเหล้านี้เหมือนกับเมื่อชาติที่แล้วไม่มีผิด
จนถึงตอนนี้เธอยังไม่เข้าใจเลยว่าขวดใบนั้นมันเรื่องอะไรกัน หลังกลับชาติมาเกิดทำไมขวดใบนี้มาปรากฏอีกแล้ว?
เธอยกขวดขึ้น แล้วก็เห็นก้นขวดเหมือนขวดเมื่อชาติที่แล้วตามคาด ผลิตในสมัยเฉียนหลงราชวงศ์ชิง อักษรสไตล์ลี่ซูหกตัวสามบรรทัด ไม่มีอะไรแตกต่างจากเมื่อชาติก่อนเลยสักนิด
“กลับรถ กลับไปที่นั่น” ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนอยากเจอเจ้าของร้านนั้นเพื่อทำให้เรื่องชัดเจนว่ามันคืออะไร
ถึงอวี๋หมิงหลางจะไม่เข้าใจว่าทำไมเสี่ยวเชี่ยนต้องตื่นตูมขนาดนี้ แต่ก็ขับรถกลับไปตามที่เธอบอก แต่ประตูกันขโมยของร้านได้ถูกปิดแล้ว
เสี่ยวเชี่ยนเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นในใจ อวี๋หมิงหลางถามเธอ
“ลูกเชี่ยนเป็นอะไรไป?”
“เจ้าของร้านคนนี้แปลกๆ ขวดนี่เป็นของแท้ ไม่ใช่ของเลียนแบบ”
“เอาวัตถุโบราณแจกคนเล่นงั้นเหรอ?”
อวี๋หมิงหลางเองก็รู้สึกแปลก ตอนกินข้าวเมื่อครู่เจ้าของร้านคนนั้นก็มีท่าทางไม่เหมือนคนปกติ
“ไม่รู้สิ…พวกเรารับไว้ไม่ได้ พรุ่งนี้เช้าค่อยเอากลับมาคืนเขา”
ไม่ใช่แค่เสี่ยวเชี่ยนที่รู้สึกสงสัย แม้แต่อวี๋หมิงหลางก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลแล้ว
ว่ากันตามเหตุผล การให้เหล้าราคาแพงแบบนี้กับลูกค้าที่ใช้จ่ายในร้านไม่ถึงร้อยก็นับว่าผิดปกติแล้ว นี่ยังใช้วัตถุโบราณบรรจุเหล้าอีก
นี่ไม่รู้ว่าเป็นของโบราณเลยให้ผิดหรือมีความหมายอื่นแอบแฝง?
ระหว่างทางกลับ เสี่ยวเชี่ยนจับขวดเหล้าเล่น แต่ในใจกลับคิดเรื่องเมื่อชาติก่อน
ชาติที่แล้วตอนที่เธอได้รับขวดแบบนี้ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งสัปดาห์ก่อนเสี่ยวเหวยเกิดเรื่อง อยู่ๆก็มีพัสดุส่งมาที่บ้าน ในนั้นมีกระดาษโน้ตอยู่หนึ่งแผ่น
รออยู่ที่อีกโลกหนึ่ง
ตอนนั้นเสี่ยวเชี่ยนคิดว่าใครเล่นพิเรนทร์จึงเอาขวดใบนั้นส่งไปพิสูจน์แล้วก็พบว่าเป็นวัตถุโบราณสมัยราชวงศ์ชิง
เธอยังไม่ทันจะได้รู้เรื่องว่าใครเป็นคนส่งมาลูกสาวก็เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน
พอขวดใบนั้นมาปรากฏในชาตินี้ล่วงหน้าก่อนหลายปี ในใจของเสี่ยวเชี่ยนก็เกิดความรู้สึกที่ไม่ปลอดภัย ถึงจะไม่มีกระดาษโน้ตติดมา แต่เธอก็ยังใจคอไม่ดี
เมื่อชาติก่อนเธอเอาแต่จมอยู่กับความทุกข์ที่ต้องสูญเสียลูกสาว เลยไม่ได้รู้สึกสงสัยในขวดใบนี้ ตอนนี้มาคิดดู ข้อความในกระดาษใบนั้นไม่เป็นสิริมงคล
งั้นทำไมขวดใบนี้ถึงได้มาปรากฏล่วงหน้าก่อนตั้งหลายปี?
เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกตัวเองหายใจแรง แน่นหน้าอก รู้สึกเหมือนโรคย้ำคิดย้ำทำจะกำเริบ
อวี๋หมิงหลางไม่รู้ว่าเสี่ยวเชี่ยนกำลังนึกถึงเรื่องเมื่อชาติก่อน แต่เขาดูออกว่าเธอกำลังรู้สึกแย่
วันนี้เกิดเรื่องมากมายเหลือเกิน
ตอนแรกก็โรคจิตโทรเข้ารายการ ต่อมาก็เรื่องคนร้ายในเมืองนี้ที่ต้ากว่างพูดถึง กินมื้อดึกยังไปเจอเจ้าของร้านพิลึกให้ขวดราคาแพง
“เสี่ยวเฉียง ขับรถไวหน่อย” เสี่ยวเชี่ยนหลับตา เธอพยายามควบคุมลมหายใจเพื่อระงับอาการที่กำลังจะกำเริบ
“อยากล้างมือเหรอ?”
อวี๋หมิงหลางมองท่าทางผิดปกติของเธอออก โรคย้ำคิดย้ำทำกำลังจะกำเริบแล้ว
“อืม…”
อีกสักพักกว่าจะถึงบ้าน เดิมสถานีโทรทัศน์อยู่ไม่ไกลจากบ้านของพวกเขา แต่ทั้งสองคนจะไปกินมื้อดึกไกลๆให้ได้ ดังนั้นกว่าจะถึงบ้านก็อีกระยะหนึ่ง
ตีหนึ่งกว่าแล้ว ถนนเงียบเหงา เบื้องหน้าห่างไปไม่ไกลมีสวนสาธารณะ ค่ำคืนในฤดูร้อนช่างเงียบสงัด
อวี๋หมิงหลางหมุนพวงมาลัยรถเกิดเป็นวงโค้งที่ถนนเลนกว้าง เขาขับไปยังมุมหนึ่งที่อยู่ด้านหลังสวนสาธารณะ
มีเพียงความมืดที่ไร้แสงไฟข้างถนน เสียงจักจั่นยามค่ำคืนในฤดูร้อนดังลอดเข้ามาในรถ
มาถึงที่นี่เหมือนอยู่อีกโลกใบหนึ่ง ไร้ผู้คน ไร้รถ ไม่มีอะไรเลย
เสี่ยวเชี่ยนไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงขับมาที่นี่?
“เสี่ยวเฉียง นายไม่พาฉันกลับบ้าน พามาที่นี่ทำไม?”
เสี่ยวเชี่ยนไม่เข้าใจการกระทำของอวี๋หมิงหลาง ภายใต้แสงไฟจากหน้ารถที่ส่องสะท้อนเข้ามา ใบหน้าของอวี๋หมิงหลางมีแสงเรืองเล็กน้อย
“ลูกเชี่ยน ผมเชื่อมั่นในคำพูดหนึ่ง”
“อะไร?” คนเขาโรคย้ำคิดย้ำทำกำลังจะกำเริบ นายไม่รีบหาก๊อกน้ำ มาแสดงคติประจำใจอะไรเนี่ย?
“พวกเราเป็นเจ้านายตัวเอง พวกเราจะปล่อยให้โรคภัยควบคุมตัวเราไม่ได้”
“ไร้สาระ เหตุผลก็ส่วนเหตุผล แต่ฉันควบคุมตัวเองได้เหรอ?”
เนื่องจากอารมณ์ไม่ดี เสี่ยวเชี่ยนจึงเริ่มหงุดหงิด
หลายคนเข้าใจเรื่องโรคจิตเวชผิด คิดว่าคนที่มีความสามารถในการควบคุมตนเองต่ำถึงจะเป็นโรคจิตเวช
ทั้งที่จริงเพ้อเจ้อกันทั้งนั้น
มันไม่ได้เกี่ยวกับการควบคุมตัวเองหรือบุคลิกนิสัยเลยด้วยซ้ำ
“คุณควบคุมไม่ได้ ผมควบคุมได้”
“นาย?” เสี่ยวเชี่ยนเดาความหมายของอวี๋หมิงหลางไม่ออก
เธอเห็นอวี๋หมิงหลางจอดรถให้ดี ดับไฟ รอบตัวมีแต่ความมืด เสี่ยวเชี่ยนยังไม่ทันตั้งตัวก็รู้สึกว่ามีร่างกายอุ่นเข้าใกล้ ที่ปรับเบาะถูกเลื่อน แล้วเบาะเธอก็เอนลงระนาบ ร่างกายของเขารุกเข้ามา
“อวี๋เสี่ยวเฉียง นายจะทำลามกอะไร” เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกได้ถึงวัตถุประสงค์ของเขาจากสัมผัสช่วงขาที่ผิดปกติ เธอผลักเขาออกด้วยความรู้สึกทั้งอายทั้งโมโห
แต่เขาก็เหมือนภูเขาย่อมๆที่กดตัวเธอไว้
“ฉีกนะ” เสียงเสื้อผ้าถูกฉีกขาดดังขึ้นภายในรถที่พื้นที่เล็กนิดเดียว
ตอนนี้โรคย้ำคิดย้ำทำบินหนีไปทั้งที่ไร้ปีกแล้ว สิ่งที่มาแทนคือการขัดขืนด้วยความโกรธของผู้หญิง
“แมลงบินเข้าสมองบ้าไปแล้วเหรอ นี่มันข้างนอกนะ ข้างนอก”
เดี๋ยวก็มีคนมาเห็นหรอก
อีกอย่างนี่ก็Pradaคอลเลคชั่นล่าสุดนะ ทำไมฉีกเหมือนเป็นเสื้อผ้าตลาดนัด
เสี่ยวเชี่ยนโกรธจนโรคย้ำคิดย้ำทำลืมกำเริบแล้ว