ตอนที่ 142 สู้กันด้วยการ์ดตัวละคร

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ในฐานะแฟนคลับตัวยง ลู่จ้าวอิ่งจะจำหยางเฟยไม่ได้ได้อย่างไร

 

 

           ต่อให้หยางเฟยสวมผ้าปิดปากไม่เปิดเผยใบหน้าเขาก็มองออก

 

 

           เมื่อหยางเฟยถอดผ้าปิดปากออกก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

 

 

           ปฏิกิริยาของลู่จ้าวอิ่งทำให้เฉิงมู่สะดุ้งโหยง

 

 

           แต่ก็มารู้สึกตัวทีหลังว่าผู้ชายคนตรงหน้าคือหยางเฟย

 

 

           มองหยางเฟยด้วยความตะลึงเช่นกัน จากนั้นก็มองไปทางฉินหร่านแวบหนึ่ง

 

 

           ฉินหร่านกำลังควงปากกาหมึกซึมที่เฉิงเจวี้ยนให้อยู่ข้างใน เธอนั่งบนเก้าอี้ ท้ายทอยวางอยู่บนพนักเก้าอี้ พอได้ยินเสียง เธอก็หันมามองเล็กน้อย

 

 

           เห็นหยางเฟยที่ยืนอยู่หน้าลู่จ้าวอิ่งทันที เธอหันกลับไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ไม่รู้จัก”

 

 

           เสียงฟังดูไร้คลื่นอารมณ์

 

 

           หยางเฟยเผลอลูบจมูกป้อยๆ แล้วกระแอม “ฉินหร่าน ฉันมาคุยธุระกับเธอน่ะ”

 

 

           “เทพพระอาทิตย์ เชิญนั่งก่อน” ลู่จ้าวอิ่งใช้เวลาสามนาทีกว่าจะเอาเสียงตัวเองกลับมาได้ จากนั้นเลื่อนเก้าอี้ตรวจของตัวเองให้หยางเฟยนั่ง “คุณมาหาฉินเสี่ยวหร่านเหรอ เธอเป็นคนแบบนี้แหละ เท่มาก คุณมาหาฉินเสี่ยวหร่านทำไม รู้จักกันเหรอ”

 

 

           ลู่จ้าวอิ่งสงสัยตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่า ฉินหร่านได้บัตรงานแฟนมีตติ้งมาจากไหน

 

 

           ตอนนี้พอเห็นหยางเฟยตัวเป็นๆ เขาถึงได้นึกขึ้นมาได้

 

 

           สองคนนี้รู้จักกัน บัตรเข้างานของฉินหร่านเขาเป็นคนให้งั้นเหรอ

 

 

           ลู่จ้าวอิ่งมองไปทางฉินหร่านอึ้งๆ

 

 

           “คือ…” หยางเฟยไม่นั่ง เขาถอดฮู้ดออก ห้อยผ้าปิดปากไว้ตรงนิ้วโป้ง พูดอย่างสุภาพว่า “ผมอยากมาเล่นเกมกับเธอน่ะ” 

 

 

           “มาเล่นเกมกับเธอ ทำไมเทพพระอาทิตย์ต้องมาเล่นเกมกับเธอด้วย” ตอนนึ้คุณชายลู่เป็นลูกข่าง หมุนตามหลังหยางเฟยชัดๆ “ทีมพวกคุณมีเมิ่งซินหรานอยู่ไม่ใช่เหรอ อยู่โรงเรียนนี้เหมือนกัน APM ของฉินเสี่ยวหร่านไม่พอหรอก”

 

 

           ลู่จ้าวอิ่งเคยเล่นกับฉินหร่าน รู้ว่าไหวพริบในการเคลื่อนไหวของฉินหร่านใช้ได้ ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือ APM ของเธอต่ำเกินไป

 

 

           ตอนนี้ไม่ถึงระดับไต้ซือด้วยซ้ำ

 

 

           ไม่รู้ว่าถูกคำไหนของลู่จ้าวอิ่งกระตุ้นเข้า หยางเฟยนิ่งไปพักใหญ่แล้วเงยหน้าขึ้น “คุณเรียกชื่อของผมก็ได้”

 

 

           คนที่สามารถเรียกชื่อฉินหร่านได้เรียกเขาว่าเทพพระอาทิตย์ หยางเฟยอกสั่นขวัญแขวน

 

 

           มือของเฉิงเจวี้ยนยันโต๊ะ มองหยางเฟยอย่างไม่แสดงอารมณ์ น้ำเสียงเย็นชา “นั่นเพื่อนของเธอเหรอ ไปถามหน่อยเถอะว่าเขามาทำไม”

 

 

           มือข้างที่ว่างอยู่ของฉินหร่านกำลังแคะหูอยู่

 

 

           สามนาทีต่อมา ก็ตามหยางเฟยออกจากห้องพยาบาลด้วยใบหน้านิ่งเฉย

 

 

           …

 

 

         “ตอนนั้นอี้จี้หมิงเป็นคนรับเมิ่งซินหรานเข้ามา” ในสวน หยางเฟยก้มหน้า “เขาบอกว่ามองเห็นสไตล์เหมือนเธอนิดหน่อย ใครจะไปรู้ว่าจะสร้างเรื่องเก่งแบบนั้น”

 

 

           ฉินหร่านก้มหน้า มองต้นหญ้าใต้ฝ่าเท้าอย่างไม่ยี่หระ ตอบส่งๆ ไปว่า “อืม”

 

 

           หยางเฟยก็ถือว่ารู้จักเธอดี เลยไม่พูดอะไรมาก กลับถามพูดอีกประโยคออกมาว่า “อี้จี้หมิงอยากเจอเธอมากนะ”

 

 

           “ไม่ดีกว่า” ฉินหร่านเหม่อลอยเล็กน้อย ไม่สนใจว่าเขาพูดอะไร “ถ้าหมดธุระแล้วฉันกลับไปกินข้าวก่อนนะ”

 

 

           ตรงเข้าห้องพยาบาลไปอย่างเด็ดขาดมาก แถมยังปิดประตูด้วย

 

 

           หยางเฟยยืนอยู่ที่เดิม สวมผ้าปิดปากให้ตัวเอง จากนั้นก็สวมฮู้ดให้ตัวเองแล้วเดินออกจากสวนไป

 

 

           ฉินหร่านกลับมาที่ห้องพยาบาล วางปากกาหมึกซึมที่เฉิงเจวี้ยนให้เซี่ยเฟยลงบนโต๊ะ มองลู่จ้าวอิ่งที่ยังตัวแข็งอยู่ในห้อง ก็กระแอมแล้วพูดว่า “กินข้าวได้แล้ว”

 

 

           ลู่จ้าวอิ่งกลายเป็นรูปปั้นไปเสียแล้ว พอได้ยินเสียง เขาก็หันหน้าไปท่าทางแข็งทื่อ

 

 

           กินข้าวเหรอ ตอนนี้ใช้เวลามากิน! ข้าว! ไหม!

 

 

           เขาเป็นบ้าไปแล้ว

 

 

           เฉิงมู่หยิบถ้วยเปล่าหลายใบมา วางลงบนโต๊ะ เห็นปากกาหมึกซึมที่ฉินหร่านวางส่งๆ ลงบนโต๊ะ

 

 

           ก็จำได้ว่าเป็นแท่งที่เขาเพิ่งได้มาวันนี้

 

 

           เฉิงมู่ทำหน้าตายด้าน “คุณหนูฉิน ปากกาสองแท่งนี้จะสลับกันใช้หรือ”

 

 

           “อ๋อ เปล่าหรอก” ฉินหร่านตอบสนอง เธอหยิบตะเกียบขึ้นมาช้าๆ พูดอู้อี้ว่า “ท่านเจวี้ยนของนายให้เพื่อนฉันน่ะ”

 

 

           หยุดคิดเล็กน้อยแล้วพูดอีกประโยคว่า “มือสัมผัสใช้ได้ แต่เป็นรอยง่ายไปหน่อย”

 

 

           เฉิงมู่ “…”

 

 

           …        

 

 

           คาบเรียนด้วยตัวเองช่วงดึก ฉินหร่านเลยกลับไปที่ห้องต่อ

 

 

           ในห้องเรียนกำลังรวมตัวกันพูดเรื่องของเมิ่งซินหราน

 

 

           มีเสียงหัวเราะเกรียวกราวดังขึ้นมาเป็นครั้งคราว

 

 

           มีเฉียวเซิงเป็นแกนนำ

 

 

           ไม่ว่าเมิ่งซินหรานหรือนักเรียนห้องหนึ่ง ต่างก็โกรธแค้นห้องเก้า

 

 

           ปกตินักเรียนสองห้องนี้เจอกันก็ดวงตาพ่นไฟแล้ว

 

 

           โดยเฉพาะสองวันนี้ นักเรียนห้องหนึ่งหน้าเชิด หยิ่งยโสเป็นบ้า

 

 

           แววตาของเมิ่งซินหรานไม่แม้แต่จะชายตามองด้วยซ้ำ

 

 

           ใครจะรู้เล่าว่าเรื่องน่าอายจะมาไวขนาดนี้

 

 

           “นายเห็นโพสต์ในเว็บไซต์โรงเรียนที่เฉียวเซิงของเราโพสต์หรือยัง” ด้านหลัง ผู้ชายกลุ่มหนึ่งกำลังรวมหัวกันพูดเรื่องโพสต์ในฟอรั่ม หัวเราะในลำคอ “ปล่อยบันทึกที่สกุลเมิ่งจ่ายเงินซื้อสแปมซื้อบัญชีโฆษณาออกมาหมดเลย คุณชายเฉียวของเรานี่แหละโหด”

 

 

           ฉินหร่านนั่งลงที่โต๊ะของตัวเอง หยิบปากกาขึ้นมาเริ่มคัดลายมืออย่างอ้อยอิ่ง

 

 

           เซี่ยเฟยกับหลินซือหรานเข้ามาทางประตูหลังห้อง

 

 

           มือข้างหนึ่งของฉินหร่านถือปากกา อีกข้างเท้าคาง จากนั้นก็ช้อนตาขึ้น ใช้ปากกาเคาะโต๊ะ เป็นสัญญาณบอกให้เซี่ยเฟยมาหา

 

 

           “เจ๊หร่าน มีธุระอะไรกับฉันเหรอ” เซี่ยเฟยนั่งลงบนที่นั่งหน้าฉินหร่าน

 

 

           ฉินหร่านยกมือขึ้น โยนปากกาหมึกซึมที่วางอยู่อีกมุมให้เซี่ยเฟย “ให้”

 

 

           เซี่ยเฟยรับไว้ตามสัญชาตญาณ เมื่อเห็นชัดว่าในมือเป็นอะไร เธอรู้สึกว่าในมือหนักอึ้งทันที “เจ๊หร่าน ให้อะไรฉันกันน่ะ”

 

 

           “ปากกาครั้งก่อนไง” ฉินหร่านพิงผนังอย่างเกียจคร้าน หยิบปากกาของตัวเองขึ้นอีกครั้ง คัดลายมืออย่างเชื่องช้า “คนที่ให้ฉันเห็นว่าเธอชอบ เลยซื้อให้เธอด้วย”

 

 

           หากไม่รู้ราคาของปากกาแท่งนี้ก็แล้วไป เมื่อรู้แล้ว เซี่ยเฟยรู้สึกว่าปากกาในมือแท่งนี้หนักมาก

 

 

           “เจ๊หร่าน เธอรีบเอากลับไปเลย ฉันไม่กล้าใช้ ไม่กล้าใช้จริงๆ” เซี่ยเฟยกลัวว่าถ้าเธอแตะต้อง แล้วปากการ่วงลงมา มีเธอสิบคนก็ไม่มีปัญญาชดใช้

 

 

           ฉินหร่านเลิกคิ้ว “หมายความว่ายังไง”

 

 

           “ปากกาแท่งนี้สามแสนแน่ะ”

 

 

           “หา” ฉินหร่านชะงัก หรี่ตาลง “ไม่หรอก ปากกาแท่งนี้เป็นของก็อปเกรดเอ ราคา 500 หยวน ถ้าเธอเกรงใจ ก็โอนให้ฉัน 500 หยวนแล้วกัน”

 

 

           ของก็อปเกรดเอ

 

 

           เซี่ยเฟยตกใจกับความเหมือนจริงของของก็อปเกรดเอ เธอเองก็โล่งใจแล้ว

 

 

           เงิน 500 หยวนกับปากกาหมึกซึมหนึ่งแท่งก็ยังแพงไปหน่อยอยู่ดี

 

 

           แต่กลับเป็นสิ่งที่คนทั่วไปยอมรับได้

 

 

           เธอโอนเงิน 500 หยวนให้ฉินหร่านโดยไม่อิดออด

 

 

           จากนั้นฉินหร่านก็โอนเงิน 500 หยวนให้เฉิงเจวี้ยน

 

 

           …        

 

 

           นักเรียนห้องเก้ายังคงวิจารณ์กันอย่างบ้าคลั่ง

 

 

           จู่ๆ ก็มีเสียงประตูดังคนเตะออกดังปึง

 

 

           ห้องเก้าเงียบไปชั่วขณะ สายตาจับจ้องไปที่ประตูหลังห้อง

 

 

           เมิ่งซินหรานยืนอยู่ตรงประตูหลังห้องด้วยสีหน้าย่ำแย่ ไม่มองคนอื่นๆ ในห้องเก้า จ้องเฉียวเซิงที่นั่งอยู่แถวหลังโดยตรง สีหน้ายังคงเย็นชาเช่นที่ผ่านมา “เฉียวเซิง โพสต์ในฟอรั่มนายเป็นคนโพสต์ใช่ไหม”

 

 

           มีผู้ชายห้องหนึ่งอีกหลายคนยืนอยู่ข้างหลังเธอ

 

 

           ยกกันมาเป็นกองทัพ

 

 

           เฉียวเซิงนั่งลงบนโต๊ะของตัวเองอย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่นิด ยิ้มสบายๆ “ใช่แล้ว ทำไม จะชกกันเหรอ”

 

 

           ย่อมไม่กล้าชกต่อยกับห้องเก้าอยู่แล้ว ใครไม่รู้บ้างว่าบิ๊กบอสของห้องเก้ารู้จักกับเว่ยจื่อหัง

 

 

           “ลบซะ” ใบหน้าไร้อารมณ์ของเมิ่งซินหรานมีความเย้ยหยันเจือปนอยู่

 

 

           สายตาเบนไปที่ฉินหร่านที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะของตัวเอง กำลังคัดลายมืออย่างไม่สนใจอะไร

 

 

           ใครๆ ก็รู้ว่าเฉียวเซิงทำเพื่อปกป้องฉินหร่าน แต่เจ้าตัวกลับไม่รู้ร้อนรู้หนาว ราวกับไม่ใส่ใจอะไรเลย

 

 

           ให้ตายเฉียวเซิงก็ไม่ลบ ใครก็ทำอะไรเขาไม่ได้

 

 

           “พวกนายกล้าเข้ามาในอารีนาเกมท่องยุทธภพไหม มาสู้กันหน่อย ตัดสินกันด้วยสามตา ถ้าแพ้ก็ลบโพสต์พร้อมกับขอโทษ! ถ้าพวกเราจะแพ้จะเรียกพวกนายว่าพ่อ!” หัวหน้าห้องห้องหนึ่งมองคนในห้องเก้าแวบหนึ่ง

 

 

           ผู้ชายห้องเก้าไม่สนใจหัวหน้าห้องห้องหนึ่ง พวกเขาไม่ได้โง่เสียหน่อย แข่งกับเกมเมอร์มืออาชีพงั้นเหรอ

 

 

           “ไม่กล้าล่ะสิ งั้นพวกนายก็เรียกพวกเราว่าพ่อ” คนห้องหนึ่งยืนอยู่นอกห้องเก้า หัวเราะเยาะกันเกรียวกราว

 

 

           พวกเขาไม่กล้ามีเรื่องชกต่อยกับห้องเก้าแน่นอน

 

 

           ทำได้แค่ใช้วิธีอื่น

 

 

           ผู้ชายห้องเก้ารู้ว่าห้องหนึ่งกำลังใช้วิธียั่วยุ แต่ละคนต่างก็อดกลั้น ไม่ตอบ

 

 

           พวกเขาคิดไม่ถึงว่าจะแพ้ผู้หญิงของห้องตัวเอง

 

 

           บางครั้งความเลือดร้อนของวัยรุ่นกับสิ่งของอย่างทีมเวิร์กก็เป็นเรื่องที่ประหลาดมาก ปกติพวกผู้หญิงรังเกียจผู้ชายโผงผางพวกนี้ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเหมือนมีศัตรูร่วมกัน ตบโต๊ะแล้วพูดอย่างดุดันว่า “ใครบอกว่าไม่กล้า เฉียวเซิง คุณชายสวี พวกนายลุย!”

 

 

           ผู้ชายห้องเก้า “…”

 

 

           “ในเมื่อพวกเธอตกลง ฉันจะไปเอาโน้ตบุ๊กมา!” ห้องหนึ่งก็งงแล้วเหมือนกัน จากนั้นก็รีบกลับห้องพักไปเอาโน้ตบุ๊กมาราวกับกลัวว่าห้องเก้าจะคืนคำ

 

 

           พวกผู้หญิงเห็นสีหน้าของผู้ชายไม่ดี จึงถามว่าพวกเขาเป็นอะไรไป

 

 

           พวกผู้ชายมองสาวน้อยทั้งหลายในห้อง พูดด้วยความเหนื่อยใจอย่างยิ่งว่า “พวกเธอรู้ไหมว่าเมิ่งซินหรานคือใคร ตัวสำรองของ OST APM 500+ ที่สำคัญที่สุดคือ เป็นสมาชิกภายใน บัญชีของเธอเป็นบัญชีของ OST ในบัญชีต้องมีการ์ดเทพแน่นอน! ยิ่งไปกว่านั้นต้องมีการ์ดสวรรค์แบบนับไม่ถ้วนแน่ๆ พวกเรามีแค่คุณชายสวีที่มีการ์ดสวรรค์สองใบ เฉียวเซิงหนึ่งใบ คนอื่นมีแค่การ์ดมนุษย์ ถ้าการ์ดเทพของเมิ่งซินหรานคือหนี่วา ก็จบเห่แล้ว จะแข่งกับพวกเขายังไง”             

 

 

           เกมท่องยุทธภพแบ่งการ์ดจากระดับสูงไปต่ำโดยมี การ์ดเทพ การ์ดสวรรค์ การ์ดมนุษย์ การ์ดพสุธา แรกเริ่มเกมจะมอบการ์ดพสุธาให้ห้าใบ ภารกิจของระบบหรือดันเจี้ยนจะมีการ์ดมนุษย์

 

 

           ส่วนการ์ดสวรรค์ ต้องมีเศษชิ้นส่วนของดันเจี้ยนขั้นสูงถึงจะรวมเป็นการ์ดสวรรค์ นักเรียนอย่างพวกเขามีเวลาไปรวบรวมเศษชิ้นส่วนที่ไหนกัน

 

 

           เทียบการ์ดเทพกับบัญชีเกมเมอร์มืออาชีพงั้นเหรอ บ้าไปแล้ว