ตอนที่ 165 ตานหง เธอจะมีลูกอีกคนเหรอ?

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 165 ตานหง เธอจะมีลูกอีกคนเหรอ?

เพราะการบอกต่อของลูกค้ากลุ่มใหญ่ ร้านค้านี้ถึงได้เป็นที่รู้จักในเมืองอย่างรวดเร็ว

ปกติจี้เจี้ยนอวิ๋นจะส่งของไปที่ร้านวันละครั้ง หรือไม่ก็จะส่งไปในวันถัดไปช่วงบ่ายสองโมง ก่อนจะกลับมาถึงบ้านราว ๆ สองสามทุ่มพร้อมรายได้ในวันนั้น ๆ

กิจการดูท่าจะไปได้สวยในครึ่งเดือนแรก โดยทำยอดขายได้เกือบ 1,000 หยวนแล้ว

นอกจากยอดขายกว่า 400 หยวนในวันเปิดร้าน วันต่อมายอดขายก็ค่อนข้างคงที่ ทุกวันจะขายได้ถึงเกือบ 40 หยวนต่อวัน เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จเลยทีเดียว

แต่เมื่อนำรายได้มาหักลบกับค่าขนส่งแล้วก็ยังถือว่าได้กำไรน้อยอยู่

ถึงอย่างนั้นการเปิดร้านในเมืองก็เป็นเรื่องดี ตราบใดที่ยังมีลูกค้าอยู่ ร้านก็คงจะไม่เจ๊งใช่ไหมล่ะ?

อีกเหตุผลที่ทำให้รายได้ไม่สูงนัก​ ก็เพราะที่สวนมีสินค้าให้ขายไม่มาก หากไก่และแกะจากอีกสวนโตเต็มที่ก็จะมีสินค้ามากพอที่จะเอาไปขายอย่างแน่นอน

แน่นอนว่ามันเป็นเพียงสิ่งที่จี้เจี้ยนอวิ๋นคิดไว้

ซูตานหงกลับไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ และถามเรื่องอื่นแทน “เมื่อไหร่พี่รองจะขับรถคล่องล่ะคะ?”

ทุกวันนี้สามีเธอต้องเทียวรับเทียวส่งของไปมา เที่ยวหนึ่งใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมง ไปกลับรอบหนึ่งก็ปาเข้าไป 6 ชั่วโมงแล้ว

การขับรถทั้งลำบากและเหนื่อย เธอจึงไม่อยากให้เขาต้องทำงานหนัก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ต่ำขนาดนี้

จี้เจี้ยนอวิ๋นประมาณการดูก่อนบอก “น่าจะอีกไม่กี่วันหรอกครับ”

การเรียนขับรถไม่ใช่เรื่องยุ่งยากสำหรับคนสมัยนี้ ถ้าตั้งใจฝึกไม่นานก็สอบผ่านแล้ว

จี้เจี้ยนเยี่ยกลับมาในอีก 3 วันให้หลังอย่างที่เขาคาดไว้ แม้จะแค่ไปเรียนขับรถแต่ซูตานหงก็เห็นว่าพี่รองมีความตั้งใจจริง

จี้เจี้ยนอวิ๋นลองให้พี่ชายขับรถไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าเขาขับแข็งดีแล้ว จึงตั้งใจจะพาไปส่งของที่ร้านพรุ่งนี้ด้วย

ซูตานหงไม่คิดจะเข้าไปก้าวก่าย และไปเตรียมอาหารให้เขาแทน

สองพี่น้องออกเดินทางในวันถัดมา

ส่วนซูตานหงก็พาเหรินเหรินกับฉีฉีไปที่สวน

“เจี้ยนอวิ๋นกับเจี้ยนเยี่ยเข้าไปในเมืองเหรอ?” คุณแม่จี้ถามพลางยิ้มให้

ตอนที่จี้เจี้ยนเยี่ยเรียนขับรถจบ จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ยังเล่าให้ฟังว่านางดีใจมากที่ตอนนี้ลูกคนรองมีทักษะติดตัวบ้างแล้ว

แม้จะยังไม่พอใจเรื่องเมื่อก่อน โดยเฉพาะเรื่องที่ทะเลาะกันในวันปีใหม่ที่แล้ว เนื่องจากนางแอบเห็นด้วยกับเฝิงฟางฟางมากกว่า

แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นครอบครัวเดียวกัน นางก็หวังว่าพวกเขาจะมีอนาคตที่ดี ตอนนี้ห้างในเมืองกำลังปรับปรุงซ่อมแซมอยู่ แม้ทั้งสองฝ่ายจะเคยบาดหมางกันแต่ตอนนี้ต่างก็มีทางไปของตัวเองแล้ว

คนเป็นแม่ย่อมอยากให้ลูกในไส้มีชีวิตสุขสบายขึ้นกันทั้งนั้น

ซูตานหงตอบ “ค่ะ เจี้ยนอวิ๋นพาพี่รองไปด้วยจะได้จำเส้นทางได้ แล้วก็ไปทำความรู้จักคนอื่น ๆ ด้วยค่ะ ต่อไปพี่รองจะได้ไปเองได้”

งานยุ่งขนาดนี้เธอเองก็ไม่อยากให้สามีต้องเหนื่อย เธอจึงคิดจะขึ้นไปดูสวนอีกที่ด้วยตัวเอง

“ถ้าเขาเริ่มคล่องแล้วก็ให้ไปคนเดียวก็ดี” คุณแม่จี้เห็นด้วยและถามถึงซุนต้าซานกับเหอเจี่ย “พวกเขาลงบัญชีครบถ้วนหรือเปล่า? ฉันให้สามีจดเอาไว้ละเอียดอยู่ จะให้เขาตรวจสอบให้ก็ได้นะ”

เรื่องนี้ต้องมีการตรวจสอบเข้มงวด พอสิ้นเดือนพวกเขาก็ต้องเอาสมุดบัญชีมาให้ตานหงตรวจสอบ

ซูตานหงยิ้ม “เดี๋ยวถึงเวลาฉันจะจัดการเองค่ะ”

เรื่องการเงินนั้นจำเป็นต้องทำให้โปร่งใสถึงจะสบายใจกันทั้งสองฝ่าย

“คุณแม่คะ สตรอเบอรี่ใกล้จะเก็บได้แล้วใช่ไหมคะ?” เธอถาม

“เดี๋ยวก็โตเต็มที่พร้อม ๆ กับแตงโมกับเชอร์รี่นั่นแหละ ว่าจะเก็บเกี่ยวทีเดียวเลย” นางบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

ปีนี้ทั้งผลผลิตแตงโมกับเชอร์รี่ดีพอ ๆ กับปีก่อน นางเก็บเกี่ยวแตงโมได้ถึงสองครั้ง ถึงไม่เหมือนกับเชอร์รี่แต่ว่าก็ไม่เป็นไร อย่างไรก็ต้องส่งไปขายที่ร้านลูกชายนางเองอยู่แล้ว

“อวิ๋นอวิ๋นโทรมาเมื่อไม่กี่วันก่อน เห็นบอกว่าปีนี้จะกลับมาช่วยน่ะ” ครั้งนี้เป็นคุณแม่จี้ที่พูดขึ้น

“น้องไม่ติดเรียนเหรอคะ?” ซูตานหงถาม

เธอไม่ได้สนใจอยากรู้เรื่องของจี้อวิ๋นอวิ๋นนัก

“มันเป็นช่วงวันหยุดน่ะ ฉันเองก็ไม่ค่อยอยากทำงานช่วงนั้นเหมือนกัน” นางกล่าวขึ้น

“อย่างนั้นก็ให้น้องกลับมาช่วยเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันจะจ่ายค่าแรงให้หล่อนเอง” เธอเอ่ย

อีกฝ่ายยิ้มก่อนบอก “จะไปจ่ายให้ทำไมกันล่ะ? ตอนนั้นก็ไม่รู้สวาปามผลไม้ไปตั้งเท่าไหร่แล้ว”

“เอาเถอะค่ะ ผลไม้ในสวนมีตั้งเยอะแยะ หล่อนกินยังไงก็ไม่หมดหรอกค่ะ แค่ให้หล่อนกลับมาช่วยก็พอ” เธอกล่าว แม้ว่าจะไม่ถูกชะตากับจี้อวิ๋นอวิ๋นนักแต่ก็ไม่คิดข่มเหงอีกฝ่าย ถ้าอยากจะกลับมาเธอก็ไม่มีปัญหา ถึงอย่างไรก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว

คุณแม่จี้พยักหน้ารับ พอหมดธุระจะคุยกับสะใภ้สามก็ปล่อยให้อีกฝ่ายไปทำอย่างอื่น

“อาสะใภ้คะ กินสตรอเบอรี่สิคะ” เป็นเยียนเอ๋อร์ที่ล้างสตรอเบอรี่จานใหญ่มาให้เธอกิน

“ขอบใจนะจ๊ะ” ซูตานหงส่งยิ้มให้เด็กหญิง

เธอหยิบมากินลูกหนึ่ง “หวานอร่อยมากเลยจ้ะ”

“น้องยังกินไม่ได้นี่คะ” เยียนเอ๋อร์มองหน้าฉีฉีที่อยู่ในรถเข็นก่อนบอก

เหรินเหรินที่กลับมาพร้อมกาน้ำพอดีก็พูดขึ้น “น้องยังเด็กอยู่ พออายุเท่าผมถึงจะกินได้ครับ” ว่าจบก็คว้าสตรอเบอรี่ไปกิน

“เหรินเหริน นายยังไม่ได้ล้างมือเลยนะ” เด็กหญิงเอ็ดขึ้นมาทันที

เขาชะงักไปก่อนบอก “ผมไปรดน้ำมาน่ะ”

“ก็ได้” เธอมองกาน้ำในมือเขา ก่อนจะหยิบมากินกับเขาอีกลูก “เหรินเหริน ทำไมถึงไม่มาตั้งแต่เช้าล่ะ? เจ้าตุ้ยนุ้ยถามหานายอยู่เลยนะ”

“ผมอ่านหนังสือกับน้องอยู่ที่บ้าน” เขาตอบ

“อาสะใภ้คอยดูแลน้องให้อยู่ ไปเล่นกับพี่กันเถอะ” เธอเอ่ยชวน

เหรินเหรินหันไปมองหน้าแม่

ซูตานหงยิ้ม “ไปเล่นเถอะจ้ะ แต่อย่าซนนักล่ะ”

“ครับ” เขาขานรับก่อนพี่สาวจะพาไปเล่นด้วย

“คุณแม่เลี้ยงเยียนเอ๋อร์มาดีจริง ๆ ค่ะ ถ้าฉันมีลูกสาวก็ขอรบกวนคุณแม่ด้วยนะคะ” ซูตานหงบอก

คุณแม่จี้รู้ว่าเธอชื่นชมตนจากใจจริงจึงยิ้มให้ “จะไม่เลี้ยงได้ยังไงกันล่ะ? มันหน้าที่ฉันอยู่แล้ว เธอเองก็เคยซื้อเสื้อผ้าให้ด้วยนี่” หากแต่นางก็พลันถามขึ้นเมื่อรู้สึกแปลกใจ “ตานหง เธอจะมีลูกอีกคนเหรอ?”

“แค่คิดไว้น่ะค่ะ” เธอยอมรับ

นางอดไม่ได้ที่จะเอ่ย “ตอนนี้ก็มีทั้งเหรินเหรินกับฉีฉี แค่สองคนก็เยอะแล้วนะ”

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาอยากจะมีลูกชาย 2 คน แต่ตอนนี้กลับอยากมีคนที่ 3 ด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นอาจจะต้องเสียค่าปรับถึง 4,000 หยวน* เงินจำนวนมากขนาดนั้นใช้ซื้อบ้านได้เลยด้วยซ้ำ

*ค่าปรับสำหรับครอบครัวที่มีลูกมากกว่า 1 คน ตามนโยบายลูกคนเดียวของจีนที่เริ่มบังคับใช้ในปี พ.ศ. 2523

ตอนนั้นแม้จะใช้เงินไม่มาก​ แต่ก็ถือว่าไม่น้อยไม่ใช่เหรอ? ไม่ว่าจะ 2,000 หรือ 4,000 หยวนมันก็เกือบจะซื้อบ้านได้ 2 หลังเชียวนะ!

การมีลูกคนที่สามต้องเสียค่าปรับพอ ๆ กับซื้อบ้าน 2 หลัง คุณแม่จี้จะไม่คิดหนักได้อย่างไรกันล่ะ?

……………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

หาเหาใส่หัวเปล่าเนี่ยตานหง​ รู้ๆ​ อยู่ว่ายัยอวิ๋นอวิ๋นนิสัยเป็นยังไง​ แต่ก็ขอให้มีมาตรการรองรับแล้วกันนะคะ​ เธอคงไม่ยอมให้ยัยน้องสามีคนนี้เอาเปรียบหรอกใช่ไหม?

ว่าแต่เงินพอจ่ายค่าปรับแน่ใช่ไหมคะ​ เดี๋ยวก็จะต้องเข้าหุ้นห้างสรรพสินค้า​กับพี่หงอีก

ไหหม่า(海馬)