ตอนที่ 157 ญาติที่เกี่ยวดองกันโดยการสมรสมารวมตัวกัน พิณสื่อเสียงหัวใจ (3)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ตอนที่ 157 ญาติที่เกี่ยวดองกันโดยการสมรสมารวมตัวกัน พิณสื่อเสียงหัวใจ (3)
เมื่อครู่สกุลซุนหยางตำหนิเหยาเยี่ยนอวี่ไปสองสามคำ ตอนนี้เหยาเฟิ่งเกอไม่แม้แต่จะมองหน้าสกุลซุนหยาง ซุนฮูหยินน้อยก็เดาออกถึงความคิดของเหยาเฟิ่งเกอ ตอนนี้เหยาเฟิ่งเกอกำลังพูดจาหักหน้านาง อย่างไรซุนฮูหยินน้อยก็ต้องรู้สึกไม่พอใจบ้างอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงยิ้มบางๆ พลางพูดขึ้น “อย่างไรข้าก็คือคนโง่เขลา ไม่ได้ฉลาดหลักแหลม และรู้จักคนทั่วทุกสารทิศเหมือนเจ้า”

ลู่ฮูหยินขมวดคิ้ว แล้วเห็นว่าเหยาเฟิ่งเกอยังอยากพูดอะไร จึงรีบสั่งการซุนฮูหยินน้อย “เวลาก็สายแล้ว เจ้าไปดูว่างานเลี้ยงจัดเตรียมไปถึงไหนแล้ว”

ซุนฮูหยินน้อยไม่พูดจาให้มากความ จึงขานรับพลางลุกขึ้นเดินออกไป

เหยาเฟิ่งเกอก็ไม่ได้โกรธ จึงยิ้มบางๆ แล้วหันไปเล่นกับซูจิ่นอวิ๋น

ลู่ฮูหยินจึงพูดคุยกับสกุลซุนหยาง “สะใภ้ทั้งสามของข้า บางคนก็ป่วย บางคนก็กำลังตั้งครรภ์ ก็มีเพียงน้องของเจ้าคนนี้คอยช่วยข้าสะสางงานในเรือนแล้ว”

สกุลซุนหยางรีบพูดขึ้น “นี่ไม่ใช่เป็นเรื่องที่สมควรหรือเจ้าคะ”

พูดถึงเหยาเยี่ยนอวี่และซูอวี้เหิงก็ไม่ได้เดินไปไกล กลับเดินไปยังข้างหลังของเรือนของลู่ฮูหยิน แล้วเข้าไปในเรือนที่มีไว้เตรียมน้ำชาและของว่างโดยเฉพาะ

เหตุเพราะซูอวี้เหิงเห็นสาวใช้ในเรือนลู่ฮูหยิน เหมือนจะมีนามว่าจวี๋หงกำลังแทะเมล็ดทานตะวันอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงยิ้ม “เจ้ากลับอยู่อย่างสุขสบายยิ่งนัก ข้างหน้ายุ่งวุ่นวายกันมากเยี่ยงนั้น กลับมีเวลามาแทะเมล็ดทานตะวัน”

จวี๋หงเป็นสาวใช้ที่มีอายุแค่สิบสามปี ปีที่แล้วเพิ่งจะถูกเรียกมาปรนนิบัตินายหญิงในเรือนนี้ นิสัยที่ไร้เดียงสายังไม่ทันถูกลบล้าง ทีแรกตอนที่ได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกหวาดกลัว ทว่าพอหันไปแล้วเห็นว่าเป็นซูอวี้เหิง ก็ไม่ค่อยรู้สึกหวาดผวา จึงเดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้มที่เบิกบาน แล้วร้องขอให้อภัย “คุณหนูที่แสนดีของบ่าว บ่าวไม่กล้าอีกแล้วเจ้าค่ะ ครั้งนี้คุณหนูอภัยให้บ่าวได้หรือไม่เจ้าคะ”

เดิมทีซูอวี้เหิงก็ไม่ได้เป็นคนที่จู้จี้มากเรื่อง ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่คือเรือนของลู่ฮูหยิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก นางก็ไม่มีสิทธิ์พูดอะไร ดังนั้นจึงยิ้ม “เจ้าไปเอาถั่วที่ดีที่สุดที่อยู่ข้างในมาให้ข้ากิน ข้าจะให้อภัยเจ้า”

“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ!” จวี๋หงรีบหันหลังเดินไป จากนั้นก็เลือกถั่วแห้งสองชนิดในถั่วที่มีนับสิบกว่าชนิดออกมาแล้วใส่ในจาน และยกมาตรงหน้าของซูอวี้เหิงและเหยาเยี่ยนอวี่ พร้อมกับยิ้ม “บ่าวรู้สึกว่าสองชนิดนี้อร่อยที่สุดเจ้าค่ะ ทว่านึกไม่ออกว่ามันเรียกว่าอะไรเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่เห็นสิ่งที่บ่าวคนนี้ยกมาคือถั่วเฮเซลนัทและถั่วพิตาชิโอ ดังนั้นนางจึงยิ้มมีความสุขให้กับถั่วพิตาชิโอเหล่านั้น แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “นี่ข้าชอบ”

ซูอวี้เหิงจึงยิ้ม “นี่เป็นถั่วที่มาจากแคว้นปัวซือน่ะ ได้ยินมาว่าเรียกว่าอะไรนะ…ถั่วเซียนหรือ”

ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่ก็ครุ่นคิดว่า ที่แท้ที่นี่เรียกว่าถั่วเซียน

“อร่อยมากจริงๆ” ซูอวี้เหิงพูดเสร็จ ก็ไปเอาจานมายื่นให้สาวใช้ของตนเอง “เอาไป ข้ากับพี่เหยาจะไปนั่งอาบแดดและกินถั่วทางโน่น”

จวี๋หงจึงหันไปหยิบอีกสองฝ่ามือแล้วใส่ไว้บนจาน จากนั้นก็ส่งคุณหนูทั้งสองคนด้วยความเคารพ

เมื่อครู่ตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่ออกมา เหยาเฟิ่งเกอก็สั่งให้สาวใช้ติดตามมาคอยรับใช้ ดังนั้นจึงมีหนึ่งในบรรดาสาวใช้ทั้งสี่ที่ติดตามนางมาตอนออกเรือน-หลิวหลีที่ถูกซูอวี้เสียงรับตัวไว้เป็นเมียบ่าวตั้งแต่เนิ่นๆ ได้ตามออกมาด้วย เวลานี้พอเห็นซูอวี้เหิงและเหยาเยี่ยนอวี่ทั้งสองคนกำลังเดินไปตรงชายคาระเบียงเพื่อไปอาบแดด จึงหันกลับไปเรียกจวี๋หง “เจ้ามานี่ ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”

จวี๋หงหันไป ก็รู้ว่าเป็นอนุของคุณชายสาม จึงรีบเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้ม แล้วโค้งตัวลงเล็กน้อย “อนุมีอะไรจะสั่งข้าหรือ”

หลิวหลีจึงแสยะยิ้มอันเย็นชา “เจ้าช่างกล้าจริงๆ ยังกล้าแอบขโมยของกินที่นี่อีก หืม?”

“อา…” จวี๋หงถูกยิ้มอันเย็นชาทำให้ตกใจ จากนั้นก็ขดลำตัวอย่างหวาดผวา แล้วพึมพำด้วยเสียงต่ำ “คุณหนูสามยังไม่พูดอะไรเลย…”

“เจ้าว่าอะไรนะ เจ้ายังกล้าเถียงอีกหรือ” หลิวหลีแสดงท่าทางที่โหดเหี้ยมออกมา แล้วเข้าไปหยิกแก้มของจวี๋หง

“มิบังอาจ มิบังอาจ!” จวี๋หงรู้สึกตื่นตกใจจนไม่สนใจว่าตนเองกำลังเจ็บตัว แล้วรีบโค้งตัวลงเพื่อขอร้องให้อภัย “ได้โปรดอภัยให้ข้าเถอะ ข้าไม่กล้าอีกแล้ว”

“เจ้าวางใจเถอะ เจ้าคือคนในเรือนของท่านฮูหยิน ข้าก็คงไม่มีสิทธิ์มาสั่งสอนเจ้าอยู่แล้ว ประเดี๋ยวข้าจะบอกเรื่องนี้กับหลิวหมัวมัวเอง ให้นางมาสั่งสอนเจ้าว่าควรปรนนิบัติรับใช้นายอย่างไร” ขณะที่เอ่ยขึ้น หลิวหลีก็หันหลังและกำลังจะเดินออกไป

“อนุอย่า! อย่าบอกเด็ดขาด…” จวี๋หงรู้สึกตื่นตกใจจนพลันคุกเข่าลง จากนั้นก็เข้ามากอดขาของหลิวหลีไว้

หลิวหลียิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วก้มหน้ามองจวี๋หง พลางพูดขึ้น “หากไม่อยากให้ข้าไปบอกก็ได้ รอถึงตอนดึก ตอนที่แขกเหรื่อแยกย้ายกลับกันหมด เจ้าแอบไปรอข้าที่เรือนเก็บของที่อยู่หลังเรือนของข้า เจ้าต้องทำธุระอย่างหนึ่งแทนข้า ข้าถึงจะให้อภัยเจ้า ไม่เช่นนั้น…ข้าต้องคิดหาวิธีให้ผัวจื่อไล่เจ้าออก”

จวี๋หงที่เป็นสาวใช้ตำแหน่งเล็กๆ นางแค่ตอบตกลงไม่หยุด แล้วสัญญากับหลิวหลีว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร หลิวหลีก้มลงไปตบผมมวยของนาง จากนั้นก็เดินจากไป

นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กเท่านั้น ใครก็ไม่เอามาใส่ใจหรอก

ซูอวี้เหิงกับเหยาเยี่ยนอวี่ก็ยิ่งไม่รู้ ตอนนี้พวกนางสองคนกำลังปอก “ถั่วเซียน” กินกันอย่างมีความสุข

พอกินไปไม่กี่คำก็รู้สึกคอแห้ง ซูอวี้เหิงหันไปสั่งการ “ไปรินน้ำชามาสองถ้วย”

เหยาเยี่ยนอวี่กลับพูดขึ้น “พวกเราควรกลับแล้ว” ขณะที่กล่าว จึงลุกขึ้นเพื่อหาผ้าเช็ดหน้า ด้วยเหตุนี้จึงถามชุ่ยเวย “ผ้าเช็ดหน้าของข้าไปไหนแล้ว”

ชุ่ยเวยนิ่งงันไป แล้วครุ่นคิดอย่างละเอียด แล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าในมือของเหยาเยี่ยนอวี่ไม่มีผ้าเช็ดหน้าตั้งแต่แรก ดังนั้นพลันกล่าวขึ้น “บ่าวละเลยหน้าที่เอง เกรงว่าคงจะลืมไว้ที่รถม้าเจ้าค่ะ”

“เจ้าก็ประมาทเกินไปแล้ว” หลิวหลีพลันเดินเข้ามาพลางยื่นผ้าเช็ดหน้าของตนเองให้เหยาเยี่ยนอวี่ด้วยรอยยิ้ม แล้วกล่าวขึ้น “โชคดีที่เจ้าเป็นคนที่คอยติดตามน้องเหยา ถ้าเป็นคนอื่น ข้าคงไล่เจ้าออกไปแล้ว แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่รอบคอบ แล้วเจ้าจะปรนนิบัติรับใช้นายหญิงอย่างใกล้ชิดได้อย่างไร”

เหยาเยี่ยนอวี่มองหลิวหลีเพียงพริบตา แล้วพูดด้วยเสียงนิ่งเฉย “ก็แค่ผ้าเช็ดหน้าผืนเดียวเท่านั้น เหตุใดเจ้าถึงกล่าวมากความเช่นนี้ หรือว่าคนของข้า ข้าสั่งสอนเองไม่เป็นหรือไร”

หลิวหลีรีบโค้งลำตัว “บ่าวกล่าวมากความเอง คุณหนูได้โปรดลงโทษเจ้าค่ะ”

ชุ่ยเวยรู้ว่าครั้งนี้ตนเองประมาทเกินไป จึงกำชับชุ่ยผิงด้วยเสียงเบา จากนั้นก็รีบไปเอาผ้าเช็ดหน้าของเหยาเยี่ยนอวี่บนรถม้า นางรีบเดินไปจากเรือนของลู่ฮูหยิน ก็เห็นผัวจื่อที่กำลังยกเหยือกน้ำหนึ่งเหยือกมา เพราะเหตุนี้จึงเดินเข้าไปถามตำแหน่งที่จอดรถม้าของแขกเหรื่อในจวนติ้งโหว จากนั้นก็สาวเท้าเดินไปอย่างว่องไว

พอเดินผ่านทางโค้งไปหลายโค้ง สุดท้ายก็เห็นลานกว้างที่ปูด้วยอิฐสีเขียวมีรถม้าคันใหญ่คันเล็กจอดอยู่สิบกว่าคัน นางจึงรีบวิ่งไปไม่กี่ก้าว รถม้าแต่ละจวนต่างก็มีเสี่ยวซือเฝ้าไว้ เหตุเพราะเทียนหลัวเห็นชุ่ยเวย จึงรีบกระโดดลงจากรถม้า แล้วถามขึ้น “พี่สาววิ่งออกมาอย่างเร่งรีบเช่นนี้ มีเรื่องอะไรเร่งด่วนหรือเปล่า”

ชุ่ยเวยพูดด้วยน้ำเสียงที่หายใจแรง “ผ้าเช็ดหน้าของคุณหนูลืมไว้บนรถม้า ข้าจะมาเอา”

“เฮ้อ!” เทียนหลัวยิ้มอย่างไม่สนใจ “ตกใจหมด! ยังคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไร ให้พี่สาววิ่งมาเยี่ยงนี้ สั่งให้ใครมาเอาก็ได้นี่”

“อย่าพูดจาเหลวไหล! เรื่องของคุณหนู เรื่องเล็กแค่ไหนก็คือเรื่องใหญ่ ถึงคราวให้บ่าวอย่างเจ้ามาวิจารณ์ด้วยคำพูดที่ขาดความรับผิดชอบหรือไร”

“ใช่ ใช่” เทียนหลัวปิดปากเงียบไปทันที จากนั้นก็เอาแท่นวางมารอง แล้วพยุงชุ่ยเวยเข้าไปในรถม้า

ชุ่ยเวยเห็นในรถม้ามีผ้าเช็ดหน้าที่เป็นผ้าไหมสีขาวนวลจันทร์ทิ้งไว้ จึงรู้สึกโล่งอกเบาๆ แล้วรีบเอาผ้ามาพับพลางเก็บเข้าไปในตรงกลางอกของตนเอง จากนั้นก็เปิดหีบในรถม้า แล้วเอาผ้าเช็ดหน้าผืนใหม่ออกมาสองผืน หลังจากที่ตรวจสอบความเรียบร้อยอย่างละเอียดแล้วค่อยลงจากรถม้า พร้อมกับสาบานกับตนเองว่าจะระมัดระวังและรอบคอบ จะไม่ทำให้เกิดความผิดพลาดเช่นนี้อีก