ตอนที่ 158 ญาติที่เกี่ยวดองกันโดยการสมรสมารวมตัวกัน พิณสื่อเสียงหัวใจ (4)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ตอนที่ 158 ญาติที่เกี่ยวดองกันโดยการสมรสมารวมตัวกัน พิณสื่อเสียงหัวใจ (4)
หลังจากที่เอาผ้าเช็ดหน้าเสร็จ ชุ่ยเวยก็ไม่คิดจะพูดอะไรกับเทียนหลัว จึงรีบสาวเท้าเดินกลับไป ด้วยความที่เดินอย่างเร่งรีบจึงไม่ทันเห็นว่าข้างๆ มีคนหนึ่งคนโผล่ออกมาทันที เลยไปเหยียบเท้าของคนผู้นั้น

“โอ๊ย…” ฉังเหมาที่ถูกชุ่ยเวยเหยียบขาจนร้องออกมา ทำให้ชุ่ยเวยสะดุ้งตกใจทันที แล้วรีบเดินถอยหลังไปสองก้าว แล้วถึงจะเห็นคนๆ นี้มีอายุยี่สิบกว่าๆ และสวมใส่ชุดผ้าต่วนสีเขียวที่เย็บด้วยขนหนูสีเทา ข้างล่างสวมกางเกงผ้าต่วนสีนิล ข้างล่างยังสวมใส่รองเท้าข้อสั้นที่เก็บขากางเกงเข้าไปด้านใน ทั้งร่างดูเรียบร้อยและมีชีวิตชีวายิ่งนัก

ชุ่ยเวยไม่มีเวลาพูดมาก จ้องไปยังฉังเหมาประเดี๋ยวหนึ่ง จากน้้นก็เดินจากไป

“สาวใช้คนนี้เดินอย่างเร่งรีบเยี่ยงนี้ไปไยกัน” ฉังเหมากระทืบเท้า แล้วอดกลั้นความเจ็บของหัวแม่เท้าไว้ จากนั้นก็หันไปถามเทียนหลัว

เทียนหลัวไม่รู้จักฉังเหมา ทว่าชุ่ยเวยไปเหยียบเท้าคนอื่นแล้วเดินจากไป เขากลับหนีไม่พ้น จึงรีบทำมือคารวะขอโทษฉังเหมา “ขอโทษจริงๆ คิดว่าพี่สาวคนนี้ของข้าคงกลัวว่าจะโดนนายหญิงตำหนิ พี่ชายก็อย่าได้ถือสาเลย”

ฉังเหมาคลี่ยิ้ม “เจ้าลูกลิงคนนี้เข้าใจพูดจริงๆ”

เทียนหลัวยกยิ้มบางๆ แล้วลูบท้ายทอย

ฉังเหมายื่นมือไปวางบนไหล่ของเทียนหลัว แล้วพาน้องชายเดินไปที่ข้างรถม้า จากนั้นก็นั่งลงตรงบันไดขึ้นรถม้า แล้วแย้มยิ้ม “นี่ น้องชาย ข้ารู้จักเจ้า เจ้าไม่รู้จักข้าหรือ”

เทียนหลัวเบิกตาโตพลางสังเกตมองฉังเหมา ทันใดนั้นก็รู้สึกตกตะลึง “อ้า! เจ้าคือ…คือคนของแม่ทัพติ้งหย่วน…”

“ผู้ติดตาม” ฉังเหยาคลี่ยิ้มพลางพูดต่อจากคำพูดของเทียนหลัว

“เป็นเช่นนั้น! เอ๊ะ? เหตุใดพี่ชายถึงอยู่ที่นี่ได้” เทียนหลัวส่งยิ้มซื่อๆ พร้อมกับเอ่ยถาม

“ข้าติดตามท่านแม่ทัพมา” ฉังเหมาคลี่ยิ้ม แล้วขยับเข้าไปใกล้ข้างหูของเทียนหลัวอย่างลึกลับ แล้วเอ่ยขึ้น “ท่านซื่อจื่อเชิญท่านแม่ทัพมาดื่มสุรา”

“อ้อ” เทียนหลัวคลี่ยิ้มอย่างเก้อเขิน แล้วออกห่างจากฉังเหมา เขาไม่รู้สึกว่าท่านซื่อจื่อเชิญท่านแม่ทัพติ้งหย่วนมาดื่มสุราฉลองตรุษจีนจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอะไร ทว่าดูพี่ชายคนนี้เหมือนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เล็กน้อย เทียนหลัวจึงส่ายหัว แล้วครุ่นคิดอะไรไม่ออก จึงไม่อยากไปคิดถึงอีก

ระหว่างที่กล่าวก็มีรถม้าสีแดงคันหนึ่งถูกจูงมา ฉังเหมาจึงหันไปมองเพียงชั่วพริบตา แล้วคลายยิ้ม “โธ่ นี่มันรถม้าของจวนมหาบัณฑิตเฟิงนี่”

เทียนหลัวจึงมองฉังเหมาด้วยความนับถือเคารพ “พี่ชายรู้จักคนเยอะจริงๆ”

“แน่นอนอยู่แล้ว ก็ไม่ถามหน่อยเลยว่าพี่ทำอะไร” ฉังเหมาคลี่ยิ้มแล้วกอดคอของเทียนหลัวไว้ พี่ชายก็เอาแต่ติดตามคุณหนูของพวกเจ้าอยู่ตลอดเวลา และคอยสืบข่าวคราวทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณหนูของเจ้าโดยเฉพาะ แค่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณหนูของพวกเจ้า พี่ชายก็ต้องสืบหาให้ถึงที่สุด เพื่อรู้อย่างกระจ่างแจ้งถึงเหตุผลว่าทำไมถึงต้องทำเยี่ยงนั้นเยี่ยงนี้ ดังนั้น ในเมืองหลวงอวิ๋น พี่ชายยังมีเรื่องอะไรที่ไม่รู้อีก!

ชุ่ยเวยเอาผ้าเช็ดหน้ากลับไปที่เรือนของลู่ฮูหยิน บังเอิญเจอกับคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินมาจากด้านนอก

ทีแรกสกุลหลี่ที่เป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลเฟิงก็พาน้องสาวอนุภรรยาซิ่วอวิ๋นมาถึงแล้ว เหตุเพราะลู่ฮูหยินเห็นว่าผู้คนแออัดเกินไป และงานเลี้ยงข้างหลังสวนก็จัดเตรียมเสร็จแล้ว จึงพาทุกคนเดินไปในสวนพฤกษา

ติ้งโหวชื่นชอบดอกเหมย ดังนั้นในสวนพฤกษาด้านหลังของจวนโหวก็ปลูกต้นเหมยเช่นกัน ถึงแม้ดอกเหมยในจวนองค์หญิงใหญ่หนิงหวาจะเป็นพันธุ์หายาก ทว่าต้นเหมยเก่าแก่ไม่กี่ต้นนี้ก็ถือว่าเป็นต้นที่หายากอยู่เหมือนกัน

ดอกเหมยในสวนพฤกษาหลังจวนโหวปลูกไว้ข้างริมน้ำทุ่งดอกบัว ตอนฤดูร้อนก็สามารถยืนชมดอกบัวอยู่ใต้ต้นเหมย ส่วนช่วงเหมันต์ฤดูก็สามารถชมผืนน้ำที่ก่อตัวเป็นน้ำแข็งและสะท้อนให้เห็นถึงดอกเหมยที่งดงาม ก็ถือว่าเป็นทิวทัศน์ที่มีความโดดเด่นอีกแบบ

ซุนฮูหยินน้อยตั้งใจตั้งโต๊ะอาหารของเหล่าสตรีไว้ในเรือนที่เรียกว่าจื่อหลิงเซวียน ซึ่งเป็นเรือนที่อยู่ข้างต้นเหมยอายุยืนพวกนั้น และก็ได้สั่งให้คนเผาไฟผิงใต้เตียงไว้แล้ว แล้วใช้เผาเตาธูปหอมสิบกว่าอัน เพื่อให้กลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่วเรือน จากนั้นก็ตั้งดอกเซียนเค้อร์ไหล[1]อันงดงามไว้สิบกว่ากระถาง

พอทุกคนเข้ามาถึงในเรือนต่างก็เอ่ยชมไม่หยุด เฟิงสกุลหลี่คลี่ยิ้ม “ดอกเซียนเค้อร์ไหลผลิบานอย่างงดงามยิ่งนัก ชื่อก็เข้ากับเทศกาลยิ่งนัก”

ลู่ฮูหยินแย้มยิ้ม “ก็แค่ตั้งชื่อที่ทำให้บรรยากาศครึกครื้นขึ้นมาหน่อยเท่านั้น ทุกคนอย่าเกรงใจ รีบนั่งกันเถอะ”

ซุนสกุลหยางรีบคลี่ยิ้มพลางพูดด้วยความเกรงใจ “ฮูหยินเชิญเจ้าค่ะ”

ลู่ฮูหยินถูกซุนฮูหยินน้อยพยุงไปนั่งตรงที่นั่งหลัก เมื่อพยุงลู่ฮูหยินไปนั่งแล้วคลี่ยิ้ม “แน่นอนว่าต้องเชิญท่านผู้อาวุโสนั่งเสียก่อน เหล่าสะใภ้กับเหล่าน้องสาวถึงจะนั่งได้เจ้าค่ะ”

พอลู่ฮูหยินนั่งลง เหล่าแม่นางก็นั่งตามลำดับความอาวุโส

เฟิงฮูหยินน้อยคือฮูหยินของท่านซื่อจื่อจึงมีฐานะที่สูงสุดในบรรดาสะใภ้คนอื่น ทว่านางคือเจ้าภาพ แล้วยังมีเฟิงสกุลหลี่และซุนสกุลหยางอยู่ จึงทำได้เพียงหลีกที่นั่งให้ทั้งสองคนนั่งก่อน เหตุเพราะสกุลหลี่คือน้องสะใภ้ของเฟิงฮูหยินน้อยเลยไม่กล้านั่ง สกุลหยางเป็นครอบครัวบุตรคนรองของตระกูลซุน อย่างไรก็ไม่อาจเทียบเทียมกับครอบครัวหลัก เลยไม่กล้านั่งเช่นกัน

พวกนางจึงผลักกันไปผลักกันมา สุดท้ายก็เป็นสกุลหลี่ที่นั่งข้างซ้ายและสกุลหยางนั่งข้างขวามือของลู่ฮูหยิน และทั้งสองข้างมีสะใภ้เฟิงและเหยาเยี่ยนอวี่ ซูอวี้เหิง เฟิงฮูหยินน้อยและเหยาเฟิงเกอนั่งอยู่ตรงข้ามลู่ฮูหยิน ซุนฮูหยินน้อยไม่กล้านั่งลง นางคงทีท่าที่เป็นสะใภ้ที่สะสางงานเรือนเป็นอย่างดี ทำได้เพียงยืนดูเหล่าสาวใช้ยกอาหารยกน้ำชาอยู่ข้างๆ

หลังจากที่ยกน้ำชาเสร็จ ซุนฮูหยินน้อยก็เดินไปตรงหน้าลู่ฮูหยินด้วยรอยยิ้ม พลางพูดขึ้น “สะใภ้คิดว่าช่วงไว้อาลัยของแคว้นก็เพิ่งผ่านไป จึงไม่สามารถบรรเลงดนตรีอย่างคึกคักเกินไป เลยไม่ได้เชิญวงดนตรีการแสดงมาเจ้าค่ะ แค่เชิญสตรีนักเล่าเรื่องมาสองคน ฮูหยินอยากฟังอะไรเป็นพิเศษเจ้าคะ สะใภ้จะได้บอกพวกนาง”

ลู่ฮูหยินคลี่ยิ้ม “อะไรก็ได้ แค่เลือกเล่าเรื่องที่ครึกครื้นหน่อยก็พอ”

ซุนฮูหยินน้อยจึงพยักหน้าให้กับไป๋จื่อที่อยู่ตรงหน้าประตู ไป๋จื่อออกไป แล้วพาสตรีสองคนเข้ามา ต่างก็พาคนเข้ามา แล้วนำของที่ใช้ในการเล่าเรื่องวางลง จากนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องของคนดีที่มีพรสวรรค์ในยุคสมัยก่อนให้ฟัง

เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ชอบฟังเรื่องเล่าที่สุด ทว่าเพิ่งจะนั่งลงก็ไม่ควรจากไปไหน จึงต้องทนฟัง ซูอวี้เหิงมองนางไม่พูดไม่จา ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถามด้วยเสียงเบา “พี่เหยา กำลังคิดอะไรอยู่”

เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกว่าอย่างไรตนคือแขกเหรื่อ จึงไม่ควรทำตัวเป็นที่โดดเด่น แล้วกลัวว่าทั้งสองพูดคุยกันจะส่งผลกระทบต่อคนอื่นที่กำลังเล่านิทาน จึงพูดด้วยเสียงต่ำ “ไม่ได้คิดอะไร ฟังคนนี้เล่านิทานก็นับว่ามีความหมายและน่าสนใจอย่างประหลาด”

“นี่มันมีความหมายอย่างไร ก็แค่แต่งเรื่องขึ้นเรื่อยเปื่อยเพื่อสร้างความสนใจเท่านั้น” ซูอวี้เหิงก็ไม่โปรดปรานการเล่าเรื่องอย่างเรื่อยเปื่อยเหล่านี้ จึงแอบกลอกตามองบนใส่สตรีนักเล่าเรื่อง

โชคดีที่เปิดงานเร็ว

จึงมีอาหารแต่ละจานยกมาจัดวาง ลู่ฮูหยินสั่งให้คนรินเหล้า สตรีผู้นั้นก็ถือว่าเป็นคนตาไวยิ่งนัก พอเล่าเรื่องราวไปสักพัก ก็เอาขลุ่ยมาเป่าบทเพลง ‘ความยินดีที่ได้พบหน้า’ ขึ้น เพลงที่บรรเลงทั้งรื่นเริงยินดีและเข้ากับงานเลี้ยง ลู่ฮูหยินจึงรู้สึกปลื้มปิติยิ่งนัก ดังนั้นจึงชูจอกเหล้าขึ้นมาก่อน

ทุกคนต่างก็ชูจอกเหล้าขึ้นตาม คำพูดที่เสวนากันในงานเลี้ยงฉลองตรุษจีนนั้นไม่จบไม่สิ้นแน่นอน

เฟิงฮูหยินน้อยมีสภาพร่างกายที่อ่อนแอ นางสามารถออกมานั่งเฉลิมฉลองด้วยก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เหยาเฟิ่งเกอไม่ให้นางขยับร่างกายมาก จึงเหยียดกายลุกขึ้นไปตักอาหารให้กับสกุลหลี่และสกุลหยางแทนนาง สกุลหลี่จึงคลายยิ้มพลางพูดอย่างเกรงใจ “น้องสาวกำลังตั้งครรภ์ ไม่ควรลำบากเกินไป รีบนั่งเถอะ”

เหตุเพราะสกุลหยางถูกเหยาเฟิ่งเกอฉีกหน้าก่อนหน้านี้ ภายในใจรู้สึกไม่พอใจอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ดูสิ เรือนร่างของน้องสาวดูเอื่อยเฉื่อยเช่นนี้ ตั้งครรภ์ได้กี่เดือนแล้วล่ะ”

ถึงแม้เหยาเฟิ่งเกอจะไม่โปรดปรานสกุลหยาง ทว่าคำถามเยี่ยงนี้ไม่ตอบก็ไม่ดี จึงทำได้เพียงคลายยิ้ม “ใกล้สี่เดือนแล้ว”

สกุลหยางมองช่วงเอวของเหยาเฟิ่งเกออย่างประหลาดใจ แล้วคลี่ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “โธ่ ดูๆ แล้วไม่เหมือนเลยแม้แต่เพียงน้อย ดูจากน้องสาวที่ท้องกลมๆ แต่แบนเล็กน้อย ข้าที่เคยมีประสบการณ์อยากจะบอกเจ้า ครรภ์นี้ของน้องสาวมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นบุตรี”

[1] ดอกเซียนเค้อร์ไหล คือ ดอกไซคลาเมน