ตอนที่170 ที่นั่งเต็ม

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ตอนที่170 ที่นั่งเต็ม

บางทีอาจเป็นเพราะระยะหลังเขาติดต่อกับหลินชูวโม่อยู่บ่อยครั้ง จึงทำให้นิสัยของฉีเล่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย เริ่มรู้จักมีลูกล่อลูกชน พูดจาเหน็บแนมคนอื่นเก่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งครั้งล่าสุดที่อีกฝ่ายแนะนำวิธีระบายอารมณ์โกรธแบบใหม่ให้กับเขา นั่นจึงเป็นเหตุให้เขารู้สึกว่า ชีวิตนี้เป็นของเขา และเขาควรจะสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจอยาก

ตาแก่ซงยอมทิ้งความขัดแย้งที่เคยมีตลอดมากับฉีเล่ยไปชั่วขณะ และได้หันไปเอ่ยถามเขาว่า

“เสี่ยวฉี ในหนังสือพิมพ์นั่นคือเรื่องจริงเหรอ? นี่เธอเป็นผู้สืบทอดวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์จริงๆน่ะเหรอ?”

ฉีเล่ยคลี่ยิ้มบางขณะกล่าวตอบไปว่า

“ก็ทั้งใช่และไม่ใช่”

เมื่อได้ยินแบบนั้น ตาแก่ซงก็ยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ จึงอดที่จะถามต่อไม่ได้

“นี่นายหมายความว่ายังไงกันแน่? จริงหรือไม่จริงก็ควรพูดออกมาให้ชัดเจนสิ”

ฉีเล่ยอธิบายตอบไปทันที

“ผมสามารถใช้วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ได้จริงๆ แต่ผมไม่ได้ไปรับสืบทอดต่อจากใครทั้งนั้น ก็เลยตอบได้ว่าทั้งใช่และไม่ใช่ยังไงล่ะ”

“นี่เธอ…”

เสี่ยวเกอกลับไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เลย เธอรีบหยิบสมุดบันทึกของตัวเองขึ้นมายื่นให้กับฉีเล่ยพร้อมกับเอ่ยบอกไปว่า

“จะใช่หรือไม่ใช่ก็ช่างเถอะค่ะ! อาจารย์ฉี ช่วยเซ็นชื่อให้ฉันหน่อย! คุณเป็นถึงผู้สืบทอดสุดยอดวิชาแพทย์ในตำนานแบบนี้ ยังไงก็ควรต้องขอลายเซ็นเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ”

เมื่อเห็นฉีเล่ยรับสมุดบันทึกไปและจัดการเซ็นลายเซ็นของตัวเองลงไปในสมุดบันทึกของเธอ เสี่ยวเกอก็ร้องกรี๊ดเสียงดังลั่นด้วยความดีใจ

ในเมื่อตอนนี้ตาแก่ซงเลือกที่จะเป็นปฏิปักษ์กับฉีเล่ยแล้ว ภายใต้สถานการณ์แบบนี้เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องแสดงความโกรธเคืองใส่เสี่ยวเกอที่แสดงอาการอย่างออกหน้าออกตาให้คนอื่นๆได้รับรู้

“เสี่ยวเกอ หัดทำตัวให้มันสำรวมหน่อย แล้วแบบนี้จะไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือคนอื่นได้ยังไงกัน? อีกอย่าง ไอ้พวกนักข่าวมันก็ชอบพาดหัวข่าวเกินจริงกันอยู่แล้ว เพื่อดึงดูดความสนใจของพวกเรานี่แหละ จะเป็นผู้สืบทอดจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ สงสัยสักแต่แค่เขียนมามั่วซั่วเท่านั้น”

“อาจารย์ซง คุณไม่เข่าใจ นี่เป็นถึงวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์! แถมยังมีอาวุโสเป่ยแห่งตระกูลเข็มเทวะยืนยันด้วยตัวเองแบบนั้น! นี่ยังจะเรียกว่ามั่วซั่วได้อีกเหรอค่ะ?”

“ไม่รู้ ไม่รู้ ฉันไม่รู้ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น….”

ตาแก่ซงยกมือขึ้นปิดหูแล้วรีบเดินหนีไปทันที หลังจากนั้นไม่นานเสียงกริ่งเริ่มการเรียนการสอนก็ดังขึ้น

ฉีเล่ยส่งสมุดบันทึกคืนให้พร้อมพยักหน้าให้เสี่ยวเกอ จากนั้น เขาก็ได้เดินออกจากห้องพักอาจารย์ไปสอนตามปกติ

ขณะที่เดินอยู่ระหว่างอาคารเรียน เขาก็ได้ค้นพบว่า ผู้คนรอบตัวเขาเวลานี้ดูเหมือนจะให้ความสนใจเขาเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก นักศึกษาบางคนถึงกับเดินเข้ามาทักทาย

ฉีเล่ยทราบได้ทันทีว่า นี่จะต้องเป็นผลมาจากหนังสือพิมพ์พวกนั้นอย่างแน่นอน และนักศึกษาเหล่านี้ก็น่าจะทราบกันดีอยู่แล้ว

อินเทอร์เน็ตและโลกโซเซียลในปัจจุบันได้พัฒนาไปไกลมาก แค่วันเดียวก็สามารถทำให้คนทั่วประเทศได้ประจักษ์ถึงการปรากฏตัวของเขาได้แล้ว

เมื่อฉีเล่ยนเดินมาถึงห้องสอน เขาก็ยิ่งตกใจเข้าไปกันใหญ่

ห้องเรียนขนาด60ตารางเมตร แต่ทว่ากลับมีนักศึกษานั่งรออยู่กว่า200ชีวิต มากถึงขั้นที่ว่าเก้าอี้กับโต๊ะเรียนไม่เพียงพอ นักศึกษาบางคนลงทุนไปยืนอยู่ด้านหลังห้องเอา บางคนถึงกับยอมนั่งกับพื้นก็มี ราวกับว่าพวกเขาต่างก็กำลังตื่นเต้นอย่างมากที่จะได้พบกับไอดอลของตัวเอง

เมื่อเห็นฉีเล่ยเดินเข้ามา บรรยากาศรอบห้องจากที่เคยมีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวก็พลันเงียบสงัดลงในทันที

และสิ่งที่ทำให้ฉีเล่ยตกตะลึงมากที่สุดนั่นก็คือ เขาค้นพบว่ามีนักศึกษาชายหลายต่อหลายคนในคลาสแต่งตัวเลียนแบบเขา ทั้งชุดสูทสีน้ำเงินก็ดี ทั้งทรงผมแบบเขาก็ดี

อันที่จริงแล้ว ตั้งแต่เริ่มเข้ามาสอนกระทั่งจวบจนถึงตอนนี้ ฉีเล่ยก็ยังคงสวมใส่ชุดสูทแบบเดิม มันไม่ใช่เพราะว่าเขาขี้เกียจอะไร แต่เป็นเพราะเขารู้สึกว่าชุดนี้ค่อนข้างสุภาพและดูเป็นทางการดี เขาจึงแวะไปห้างและซื้อชุดแบบเดียวกันมาเพิ่มอีก

และเป็นเพราะเขาเองไม่ค่อยมีหัวด้านแฟชั่นเท่าไหร่นัก จึงได้ซื้อแต่เสื้อสูทสีน้ำเงินแบบเดิมมาทั้งหมด

และด้วยความบังเอิญ ชุดสูทสีน้ำเงินแบบนี้ก็กลับกลายมาเป็นจุดเด่นและสัญลักษณ์ของฉีเล่ยไปแบบไม่ได้ตั้งใจ จนถึงขั้นที่ว่านักศึกษาชายเหล่านี้ได้พากันแต่งตัวเลียนแบบเขากันเกือบหมด

แต่แน่นอนว่า นักศึกษาพวกนี้ไม่สามารถเสกเงินหมื่นเงินแสนเพื่อมาซื้อชุดสูทแบรนด์เนมแบบฉีเล่ยได้ เพราะเสื้อสูทแต่ละตัวนั้นราคาค่อนข้างสูงมากเหลือเกิน พวกเขาจึงได้แต่หาชุดสูทที่ราคาถูกลงมาหน่อย แต่ทั้งแบบและสีนั้นคล้ายกับชุดสูทของฉีเล่ยมาใส่เลียนแบบแทน

แม้แต่จินเซิงและบรรดาลูกศิษย์ผู้ชายกลุ่มแรกๆที่ฉีเล่ยรู้จัก พวกเขายังสวมชุดสูทสีน้ำเงินมาเรียนกันหมดเช่นกัน

สิ่งนี้ทำให้ฉีเล่ยรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย

ฉีเล่ยเคาะโต๊ะสองสามทีส่งสัญญาณให้ทุกคนสนใจฟังในสิ่งที่ตนเองกำลังจะพูด

“เอาล่ะ ผมรู้ว่าทุกคนมีคำถามที่ต้องการจะถามผม เพราะฉะนั้นผมจะให้เวลาแค่ห้านาที จากนั้นจะเริ่มเข้าสู่การเรียนการสอนทันที”

“อาจารย์ฉี อาจารย์ใช้วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ได้จริงๆเหรอครับ?”

“ถูกต้อง ผมใช้ได้จริง”

“แล้วอาจารย์ฉีมีโรงเรียนสอนการแพทย์แผนจีนของตัวเองไหมครับ? แบบในนิยายกำลังภายในที่มีวัดเส้าหลิน สำนักกระบี่อะไรแบบนั้น?”

“ไม่มีหรอก ผมไม่มีเงิน”

“ถ้าอย่างงั้นอาจารย์ฉีช่วยถ่ายทอดวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ให้พวกเราได้ไหมคะ?”

ฉีเล่ยกวาดสายตาจับจ้องไปทางกลุ่มนักศึกษาผู้โหยหาวิชาความรู้เหล่านั้น พร้อมกับเอ่ยตอบยิ้มๆ

“แน่นอน ในฐานะอาจารย์ของทุกคน ผมจะต้องสอนทักษะทางการแพทย์เหล่านี้ให้อย่างเต็มที่อยู่แล้ว โดยที่พวกคุณไม่จำเป็นต้องเสียเงินเพิ่มสักหยวน ยิ่งพวกคุณพยายามมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้ตักตวงความรู้จากผมได้มากเท่านั้น จำไว้ให้ดีว่า ต่อให้มีพรสวรรค์มากแค่ไหน แต่กลับไม่ขยันหมั่นเพียรใฝ่หาความรู้แล้วล่ะก็ คนๆนั้นก็ไม่มีทางที่จะเก่งขึ้นมาได้เลย”

แม้ว่าวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์จะขึ้นอยู่กับพรสวรรค์และโอกาสของคนนั้นๆ แต่ถ้าคนผู้นั้นไม่หมั่นฝึกฝนขัดเกลา ไม่ว่าพรสวรรค์จะสูงส่งสักแค่ไหน สุดท้ายก็ไร้ประโยชน์

ในท้ายที่สุดนี้ ฉีเล่ยก็ต้องการถ่ายทอดวิชาการแพทย์แผนจีนทั้งหมดที่ตนมี ให้แก่ทุกคนด้วยใจจริงอยู่แล้ว

และทันใดนั้นเอง จู่ๆก็มีนักศึกษาสาวคนหนึ่งที่อยู่หลังห้องยืนขึ้นมา เธอรวบรวมความกล้าอยู่สักพัก ก่อนจะร้องตะโกนเสียงดังลั่นห้องว่า

“อาจารย์ฉีคะ! หนูชอบอาจารย์ค่ะ!”

“หนูก็ชอบอาจารย์เหมือนกันค่ะ!”

“แต่หนูรักอาจารย์ค่ะ! แอบหลงรักมาตั้งนานแล้ว! หนูอยากแต่งงานกับอาจารย์ค่ะ! ต่อให้อาจารย์ฉีจะมีภรรยาแล้วก็ตาม และต่อให้ต้องเป็นบ้านเล็กบ้านน้อยของอาจารย์ หนูก็ยอมค่ะ! ขอแค่ได้อยู่ข้างๆอาจารย์ก็พอ!”

“….”

เมื่อเห็นฉีเล่ยถึงกับพูดไม่ออกและเอาแต่นิ่งเงียบ ทุกคนก็ยิ่งกระหน่ำสาดคำถามใส่เขามากขึ้น

“อาจารย์ฉีครับ ชุดสูทที่ใส่อยู่ยี่ห้ออะไร? ไปซื้อที่ไหนมาครับ?”

“อาจารย์ฉี ปกติมีงานอดิเรกยามว่างไหมครับ?”

“จารย์ จารย์เล่นเกมเปล่าครับ? เล่นDOTAไหม?”

“….”

ดูเหมือนบรรดานักศึกษาพวกนี้จะเห็นฉีเล่ยเป็นดาราไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และยิ่งเปิดโอกาสให้ตั้งคำถาม พวกเด็กๆเหล่านี้กลับยิ่งถามเรื่องไร้สารถออกทะเลไปไกลยิ่งขึ้น

ฉีเล่ยพยายามตอบให้ครอบคลุมโดยรวม เพื่อจะได้เริ่มเข้าสู่การเรียนการสอนให้เร็วที่สุด

หลังจากจบคาบแรกไป ฉีเล่ยก็ถึงกับนอนฟุบหมดแรง

เดิมทีจำนวนนักศึกษาในคลาสของเขามีประมาณ40-50คนเองเท่านั้น ในบรรดาพวกเขาเหล่านี้ ทุกคนล้วนมีพื้นฐานด้านการแพทย์แผนจีนมาก่อน จึงทำให้สอนได้ไม่ยากเท่าไหร่

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อจำนวนนักศึกษามีเพิ่มมากขึ้น ย่อมทำให้ปริมาณงานของเขาเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

ไม่เข้าใจก็ต้องยกมือถาม แล้วแต่ละคำถามก็จำเป็นจะต้องใช้เวลาในการอธิบายจนกว่าเขาจะเข้าใจ

แล้วลองคิดดูสิว่า อาจารย์เพียงคนเดียว แต่กลับต้องมาคอยตอบคำถามของเด็กนักศึกษากว่าสองร้อยชีวิต…

ฉีเล่ยเริ่มคิดแล้วว่า ทางมหาวิทยาลัยควรให้เงินเดือนเขาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าถึงจะถูก…