ตอนที่169 รอจนกว่าจะตั้งหลักได้
ฉีเล่ยนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน ภายในความฝันของเขา ปรากฏเป็นตัวเขากับหลินชูวโม่ที่กำลังบรรเลงเพลงรักกันบนเตียงอย่างดุเดือดนับร้อยรอบ จนท้ายที่สุดเขาพลันสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมเสียงหายใจหอบอย่างเหน็ดเหนื่อย
หลังจากอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่สักพัก ทุกอย่างก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ แต่แล้วจู่ๆ เสียงของหลินชูวโม่ก็ดังก้องอยู่ในรูหูของเขา
“นี่ ตื่นได้แล้ว”
ฉีเล่ยลืมตาขึ้นมองพร้อมกับพูดขึ้นด้วยความปวดร้าวใจ
“นี่คุณ ต่อให้ที่นี่เป็นบ้านของคุณเอง แต่ไม่เห็นจำเป็นต้องแต่งตัวเซ็กซี่ขนาดนี่เลยนี่นา?”
“อ่อเหรอ? เซ็กซี่มากไหมล่ะ? มิน่า.. เมื่อคืนแววตาของนายถึงได้ฟ้องชัดเจนว่าสนอกสนใจฉันมากเลยทีเดียว น้ำลายแทบจะไหลย้อยออกมาจากปากของนายเลยรู้หรือเปล่า? แล้ววันนี้สีหน้าของนายก็ดูสดใสเป็นพิเศษด้วย”
“….”
ฉีเล่ยอายจนพูดไม่ออก เขามักจะถูกผู้หญิงคนนี้จับได้อยู่เสมอว่า ภายในหัวมีความคิดน่ารังเกียจอะไรอยู่บ้าง
“ลุกขึ้นไปอาบน้ำได้แล้ว วันนี้พวกเราสองคนมีสอนช่วงบ่ายนะ”
ฉีเล่ยหยิบมือถือขึ้นมาดูนาฬิกา และเมื่อพบว่าตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงครึ่งแล้ว เขาจึงรีบกระโจนลุกขึ้นจากโซฟาและวิ่งเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากรับประทานอาหารเช้าแบบง่ายๆที่หลินชูวโม่เตรียมไว้ให้แล้ว ทั้งคู่ก็นั่งรถไปที่มหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งทันที แต่เมื่อก้าวเท้าลงจากรถ เขาก็เห็นรถBMWของหลี่ถงซีค่อยๆแล่นเข้ามาจอดเทียบใกล้ๆ
หลินชูวโม่ปรายตามองไปทางหลี่ถงซี พร้อมกับเอ่ยปากแซวฉีเล่ยไปว่า
“ไม่ไปทักทายเธอหน่อยเหรอ?”
ฉีเล่ยเพียงแค่ปรายหางตามองเล็กน้อย แต่ภายในหัวของเขานั้นไม่มีความคิดที่จะเข้าไปทักทายหลี่ถงซีเลยแม้แต่น้อย เขาเดินผ่านรถBMWคันนั้นไปโดยไม่แม้แต่แยแส ราวกับว่ารถคันใหญ่นั้นเป็นอากาศธาตุ
ดีแล้วที่ทุกอย่างจบลงโดยการตัดสัมพันธ์แบบนี้ มันคงจะน่าอายไม่ใช่น้อย หากเขายังคงพยายามฉุดรั้งความสัมพันธ์นี้เอาไว้
เนื่องจากช่วงเช้ายังไม่มีชั่วโมงสอน ฉีเล่ยจึงได้แวะเข้าไปพักที่ห้องพักอาจารย์ก่อน
เมื่อตาแก่ซงเห็นฉีเล่ยเดินเข้ามา เขาก็รีบหยิบต้นฉบับที่เขียนขึ้นเพื่อจะใช้บรรยายในงานประชุมTCM และหันไปพูดกับอาจารย์คนที่อยู่ข้างๆทันทีว่า
“นี่เป็นร่างบทบรรยายของฉันที่จะนำไปใช้ในงานประชุมTCM ฉันใช้เวลาตลอดทั้งคืนเพื่อเขียนมันขึ้นมาเชียวนะ! อาจารย์หลี่ช่วยดูให้หน่อยได้ไหมว่า ยังมีจุดไหนที่ต้องแก้ไขเพิ่มเติมอีกบ้างไหม?”
อาจารย์หลี่หยิบต้นฉบับชุดนั้นขึ้นมาอ่านดู ก่อนจะตอบกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“อาจารย์ซง คุณเป็นอาจารย์ระดับอาวุโสของที่นี่ สิ่งที่คุณเขียนออกมาย่อมต้องมีคุณค่าอย่างไม่อาจประเมินได้อยู่แล้ว”
ตาแก่ซงยิ้มกว้าง ก่อนจะตอบกลับไปว่า
“อาจารย์หลี่อย่าถ่อมตัวไปเลย ถ้าจะพูดเรื่องความสามารถกันจริงๆแล้ว คุณกับผมไม่ได้แตกต่างกันนักหรอก ด้วยประสบการณ์ภาคปฏิบัติที่มีมาอย่างโชกโชน คุณน่าจะหาคำติชมในคำบรรยายที่ผมเขียนขึ้นได้บ้างนะ”
“ขอบคุณมากเลยครับที่ให้เกียรติ เดี๋ยวผมจะลองอ่านดูอย่างละเอียด”
“งานประชุมTCMในครั้งนี้มีความสำคัญต่อสาขาแพทย์แผนจีนของมหาวิทยาลัยเรามากเลยนะ ยังไงพวกเราก็ต้องช่วยๆกันดูให้ออกมาอย่างไร้ที่ติที่สุด”
เห็นได้ชัดว่า ทั้งงสองคนกำลังเสแสร้งแสดงละครบทหนึ่งเพื่อเย้ยหยันประชดประชันฉีเล่ยอยู่ สิ่งที่พวกเขาทั้งสองกำลังจะพยายามสื่อถืงฉีเล่ยก็คือ ฉีเล่ยเป็นเพียงแค่เด็กใหม่ ไม่ควรมีปากมีเสียงในสถานที่แห่งนี้ เพราะไม่ว่าเขาจะพยายามแข่งแค่ไหน สุดท้ายก็ไม่อาจเทียบชั้นพวกเขาได้แน่!
เมื่อพิจารณาถึงผลงานอันแสนจะย่ำแย่ของทั้งสองที่ผ่านมาแล้ว ฉีเล่ยก็ทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าไปมาด้วยความอิดหนาระอาใจ คิดจะบรรยายในที่ประชุม? เอาเวลาไปกล่อมเด็กนอนคงจะดีกว่ามั๊ง?
ในเวลานั้นเอง เสี่ยวเกอ เสมียนประจำห้องพักอาจารย์ก็ได้เดินตรงเข้ามาพร้อมกับหนังสือพิมพ์ในมือ เธอรีบสับเท้าวิ่งตรงมาหาฉีเล่ยด้วยสีหน้าตื่นเต้นตกใจ และเมื่อมาถึงเธอก็ได้แต่ร้องตะโกนถามออกไปว่า
“อาจารย์ฉีคะ! ผู้ชายในรูปนี้คืออาจารย์ฉีใช่ไหมค่ะ?”
เจ้าอ้วนเซียวจ้าวโน้มตัวเข้ามาหาทันที พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า
“อาจารย์ฉีได้ลงหนังสือพิมพ์ด้วยเหรอ? ไหน ไหน? ขอผมดูหน่อย”
เสี่ยวเกอหันไปมองฉีเล่ยด้วยแววตาเป็นประกายเปี่ยมล้นไปด้วยความหวัง พร้อมกับเอ่ยถามต่อว่า
“ดูยังไงๆ ผู้ชายในหนังสือพิมพ์ก็เป็นอาจารย์ฉีอยู่ดี!”
ฉีเล่ยหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นขึ้นมาดูอย่างใจเย็น ก่อนพบว่าหน้าหนึ่งได้พาดหัวข่าวด้วยตัวอักษรใหญ่เด่นชัดว่า
‘เหล่าปรมาจารย์ยอมศิโรราบ! ทั้งอาจารย์เป่ย อาจารย์เหวิน อาจารย์ปิง และอาจารย์หลัว ยอมรับแล้วว่าด้อยกว่าฉีเล่ย อัจฉริยะหนุ่มแห่งวงการแพทย์แผนจีน!’
พร้อมกับลงรูปที่ฉีเล่ยยืนคู่กับเหล่าอาวุโสคนอื่นๆ
รอบตัวของฉีเล่ยรายล้อมไปด้วยบรรดาปรมาจารย์ซึ่งล้วนเป็นเสมือนเสาหลักแห่งวงการแพทย์แผนจีน ดูราวกับดวงดาวสว่างไสวประดับประดาเคียงข้างดวงจันทร์โดดเด่นเป็นสง่าในชุดสูทสีน้ำเงิน
เมื่อได้ยินคำพูดที่หลุดออกจากปากของเสี่ยวเกอ อาจารย์ทุกคนในห้องต่างก็รีบเร่งมารวมตัวกันทันที กระทั่งตาแก่ซงและอาจารย์หลี่ที่กำลังตรวจบบรรยายอยู่ยังอุตส่าห์ลุกขึ้นมาล้อมวงดูด้วย
“เป็นไม่ได้ ถ้าอาจารย์ฉีเป็นผู้สืบทอดวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์จริง แล้วเขาจะมาเป็นอาจารย์สอนให้เหนื่อยทำไม?
เซียวจ้าวรีบพูดคัดค้านขึ้นในทันที
โดยปกติแล้วเขาเป็นผู้ชายที่ชอบเลียแข้งเลียขาเน่าๆของตาแก่ซงเป็นประจำอยู่แล้ว มิหนำซ้ำเรื่องนี้ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย มันน่าเหลือเชื่อจนเกินไป
“นั่นน่ะสิ น่าตลกสิ้นดี”
อาจารย์หลี่รีบพูดสนับสนุนขึ้นทันที
ตาแก่ซงมองไปที่ใบหน้าของฉีเล่ยตัดสลับกับภาพชายหนุ่มในหนังสือพิมพ์ ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ก็แค่คนหน้าเหมือนเฉยๆ โลกใบนี้กว้างใหญ่จะตายไป มีคนหน้าเหมือนกันอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ไม่กี่วันก่อนฉันยังเห็นชายแก่คนหนึ่งหน้าเหมือนเพื่อนสมัยเรียนของฉันเลย แต่พอเข้าไปทักทายไตร่ถามกลับไม่ใช่”
เสี่ยวเกอชี้ไปที่ตัวอักษรพาดหัวตัวใหญ่ที่ปรากฏอยู่บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“แต่ชื่อมันก็เขียนอยู่นะคะว่า ฉีเล่ย คงไม่ใครทั้งหน้าทั้งชื่อเหมือนกันขนาดนั้นหรอกนะคะ มันจะบังเอิญเกินไปรึเปล่า?”
เสี่ยวเกอตื่นตระหนกตกใจเป็นอย่างมากจนไม่ทันได้สังเกตเห็นสีหน้าของคนอื่น เธอหันไปพูดกับฉีเล่ยต่อทันที
“อาจารย์ฉีคะ นี่เป็นคุณจริงๆใช่ไหม? คงจะไม่บอกดิฉันว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรอกใช่ไหมคะ?”
ฉีเล่ยยิ้มและตอบเสี่ยวเกอกลับไปว่า
“อืมม…ใครนะช่างเอารูปนี้มาลงได้? ผมจำได้ว่าถ่ายไปตั้งหลายช็อต น่าจะมีภาพที่ดูหล่อกว่านี้นะ ทำไมถึงไม่เอามาลง?”
“ใช่คุณจริงๆด้วยอาจารย์ฉี! เป็นคุณจริงๆด้วย! อาจารย์ฉี ทำไมไม่บอกก่อนล่ะคะว่า ตัวคุณเองเป็นถึงผู้สิบทอดวิชาที่หายสาบสูญนับร้อยปี! มันน่าอัศจรรย์แล้วก็น่าทึ่งมากเลยค่ะ!”
เสี่ยวเกอกระโดดโหยงๆด้วยความดีอกดีใจ เธอวิ่งไปดึงแขนฉีเล่ยด้วยท่าทางที่มีความสุขอย่างยิ่ง
ทุกคนต่างก็ตกตะลึงอย่างเป็นอย่างมาก พวกเขาต่างจ้องมองไปทางฉีเล่ยเป็นตาเดียว และได้แต่ยืนนิ่งพูดไม่ออกบอกไม่ถูกแบบนั้นอยู่นาน
ชายหนุ่มคนนี้…เป็นผู้สืบทอดวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์จริงๆงั้นเหรอ?
ข่าวนี้ทำให้พวกเขาตื่นตกใจจนแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
เซียวจ้าวถึงขนาดแอบหยิบมือถือออกมาดูปฎิทิน แต่นี่ก็ไม่ใช่วัน April Fool’s Dayสักหน่อย
เมื่อได้เห็นสีหน้าตกอกตกใจของอาจารย์พวกนี้ ฉีเล่ยก็ยิ่งรู้สึกมีความสุขและสนุกสนานขึ้นอย่างมาก
………….…
ภายในโรงพยาบาลรัฐ เมืองหนานหยาง มณฑลหนานเจียง
เฉินอวี้หลัวเพิ่งออกมาจากห้องผ่าตัด หลังจากล้างไม้ล้างมือเสร็จแล้ว เธอก็กลับไปนั่งบนเก้าอี้ในห้องพักแพทย์ ทันใดนั้นก็มีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งวิ่งถือหนังสือพิมพ์ในมือเข้ามาหา ปากก็ร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้นตกใจ
“หมอเฉิน! มาดูนี่เร็วเข้า! ผู้ชายในภาพคือสามีของคุณใช่รึเปล่า?”
“สามีฉัน?”
เฉินอวี้หลัวรีบวางแก้วน้ำในมือลง และหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นขึ้นมาดูทันที สายตากวาดอ่านข้อความเหล่านั้นอย่างละเอียด ทันใดนั้น เธอก็ถึงกับต้องตะลึง
ผู้สืบทอดวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์?
นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน?
และเฉินอวี้หลัวก็ยิ่งตกตะลึงมากยิ่งขึ้นอีก เมื่อเห็นภาพสามีของเธอปรากฏอยู่ในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ และเธอเองก็มั่นใจอย่างยิ่งว่า ผู้ชายในรูปนั้นก็คือฉีเล่ยอย่างแน่นอน!
ไม่น่าแปลกใจที่เธอจดจำเขาได้อย่างแม่นยำ เพราะเฉินอวี้หลัวกดขี่ข่มเหงสามีคนนี้มาตลอดแปดปีเต็ม!
แต่ว่า…เขาไปรับสืบทอดวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? แล้วทำไมเธอถึงไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย?
ในฐานะแพทย์คนหนึ่ง แม้ว่าเฉินอวี้หลัวจะเป็นแพทย์แผนตะวันตก แต่บรรพบุรุษของตระกูลเธอล้วนแต่เป็นแพทย์แผนจีนมาหลายชั่วอายุคน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะรู้จักวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์
แต่เธอกลับคิดไม่ถึงเลยว่า ฉีเล่ยจะสามารถใช้วิชานี้ได้…
หลังจากกลับไปถึงบ้าน เฉินอวี้หลัวก็รีบไปบอกเล่าเรื่องนี้ให้กับแม่ของเธอฟังทันที คุณนายสกุลเฉินจึงรีบร้องถามลูกสาวทันที
“แล้วนี่เมื่อไหร่ลูกจะบินไปปักกิ่งซะทีล่ะ?”
เฉินอวี้หลัวนั่งเม้มริมฝีปากแน่น พลางครุ่นคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง
จากรายงานที่เขียนไว้ในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ จะเห็นได้ว่าฉีเล่ยกำลังกลายเป็นคนโด่งดังและมีชื่อเสียงอย่างมากในเมืองหลวง คาดว่าช่วงนี้เขาคงจะต้องกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อผลักดันตัวเองให้กลายมาเป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียง แล้วถ้าเธอพาแม่บินไปปักกิ่งในตอนนี้ ดูท่าจะเป็นการรบกวนเสียมากกว่า…
เมื่อคิดได้ดังนั้นเฉินอวี้หลัวจึงได้ตอบผู้เป็นแม่ไปว่า
“รออีกหน่อยดีกว่าค่ะแม่ รอให้เขาสามารถตั้งหลักที่นั่นได้ก่อน”
คุณนายสกุลเฉินรับฟังพร้อมกับพยักหน้าตอบไปว่า
“ก็จริง ไปตอนนี้มีแต่จะไปรบกวนเวลาทำงานของเขาเปล่าๆ ลูกเองก็ควรให้เวลาส่วนตัวกับเขาบ้าง ถ้าเขาจะไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย ลูกเองก็ควรเข้าใจด้วยนะ เพราะที่ผ่านมาเราเองก็ทำเรื่องแย่ๆกับเขาไว้ตั้งมากมาย….”