ทหารม้าเกราะหนักเข้าปะทะกับพวกทหารราบเข้าอย่างจัง ทำให้เกิดเสียงดังก้องไปทั่ว ก่อนที่ทหารเฟิงบางคนจะถึงกับกระเด็นไปข้างหลังเพราะถูกแรงกระแทกอัดเข้าไป

ทันใดนั้นทหารเฟิงนายหนึ่งก็พลันกระโดดพุ่งออกมาจากด้านหลัง เงื้อนดาบใหญ่เข้าตัดขาม้าของพวกเบสซ่าจนล้มลงไม่เป็นท่า ทำให้พวกต่างแดนถึงกับขวัญเสียไปชั่วครู่ ก่อนจะตั้งสติและจับอาวุธในมือขึ้นสู้กันอย่างดุเดือด

มีพวกเฟิงสูญเสียไปมากมายทีเดียว ด้วยถูกหอกจากทหารม้าแทงเข้าไปอย่างจัง

จางโจวสามารถหยุดยั้งทหารเหล่านี้ไว้ได้สำเร็จ เปิดโอกาสให้ไป่หยงตีฝ่าวงล้อมหนีไปจากที่นี่

หากแต่พวกเบสซ่าก็ยังไม่ยอมแพ้ พากันไล่ตามต่อไปจนเข้าใกล้เขตเมืองเฮิง ทว่าด้วยได้ทหารยามบนกำแพงช่วยยิงธนูกดดัน จึงทำให้พวกต่างแดนต้องล่าถอยกลับไปด้วยความจำใจ

ไป่หยงสามารถหนีกลับออกมาได้ แต่จางโจวยังติดอยู่ข้างในนั้นพร้อมกับทหารเบสซ่ากว่าหลายหมื่นนาย

เมื่อพวกทหารม้าเห็นว่าไม่อาจสู้ต่อได้จึงถอยหนีกลับมา ก่อนปล่อยให้พวกทหารราบเข้ามาจัดการหน้าที่นี้แทน

จังหวะนั้นเอง ก็ได้มีใครบางคนจากฝั่งพวกเบสซ่าตะโกนออกมา “แม่ทัพของพวกข้าจะไว้ชีวิต หากพวกเจ้ายอมวางอาวุธลง !”

ได้ยินแบบนี้จางโจวก็พลันกำหอกให้มั่น ก่อนคว้างเข้าใส่คนที่พูดจนทะลุลำคอตายคาที่ทันที

การกระทำนี้บ่งบอกได้ชัดเจนว่าจะไม่มีการยอมจำนนแต่อย่างใด ทางที่พวกเขาเลือกนั้นมีแค่การยอมสู้ถวายชีวิตจนตัวตายเท่านั้น !

พวกต่างแดนที่เห็นแบบนี้ก็ถาโถมเข้ามาอย่างเดือดดาล

ถ้าว่ากันในเรื่องของพละกำลังละก็ พวกเฟิงไม่อาจสู้พวกมอร์ฟีสได้เลย ดังนั้นเพียงชั่วพริบตาของการต่อสู้ พวกเฟิงก็สูญเสียไปกว่าครึ่งแล้ว

ในขณะที่พวกจางโจวเสียจำนวนคนไปเรื่อย ๆ ทางฝั่งศัตรูเองก็กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน ทำให้เขาไม่มีทางเลือก นอกจากทำการรวบรวมคนมาจัดกระบวนรบรูปแบบวงกลม เตรียมพร้อมสู้ถวายชีวิต !

ทหารราบฝั่งเบสซ่าที่เห็นแบบนี้ก็พากันหลีกทาง เปิดให้พวกทหารม้าเกราะหนักวิ่งเข้าทำลายรูปขบวนรบของพวกเฟิงจนแบ่งออกเป็น 2 ฟาก ก่อนที่พวกทหารราบจะเข้าซ้ำ รุมโจมตีกองกำลังเฟิงอย่างไม่หยุดยั้ง

การต่อสู้มาถึงจุดสิ้นสุด เมื่อเกราะปราณของจางโจวเริ่มแตกออกและมีเลือดไหลออกมามากมาย หากแต่พวกศัตรูก็ยังแห่เข้ามาแบบมืดฟ้ามัวดินทำให้เขาไม่สามารถผ่อนคลายได้เลย

จางโจวจำไม่ได้แล้วว่าเขาจัดการพวกมันไปเท่าไหร่ เฉกเช่นเดียวกับที่ในตอนนี้นั้นเขาไม่เห็นพวกพ้องรอบตัวอีกต่อไปแล้ว

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหมดหนทางรอดแล้ว ทหารราบก็หลีกทางให้กับพวกทหารม้าวิ่งเข้ามาจัดการเขาเพื่อลดการสูญเสียโดยใช่เหตุ

เห็นดังนั้นจางโจวก็พลันหัวเราะออกมาดังก้องด้วยความสิ้นหวัง ก่อนจะพุ่งเข้าใส่พวกทหารม้าอย่างบ้าคลั่ง กำหอกในมือแน่น สะบัดกวัดแกว่งมันไปมาเป็นครั้งสุดท้าย !

และหลังจากที่พวกทหารม้าวิ่งผ่านไป พวกเบสซ่าก็ไม่เห็นร่างของแม่ทัพคนนี้อีกเลย ทิ้งไว้เพียงเศษเกราะและหอกสีเงินหักครึ่งเท่านั้น

แม้ว่าพวกเขาจะสามารถทำลายกองเสบียงของพวกศัตรูได้สำเร็จ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยกับชีวิตของจางโจวและทหารอีก 5 พันนาย ซึ่งผลที่ได้จากการลอบเข้าไปในครั้งนี้ก็ทำให้พวกศัตรูเสียเวลาในการรอเติมเสบียงอีกครั้ง ช่วยยืดระยะเวลาหายใจให้กับเมืองเฮิงออกไปอีกพักใหญ่

จางโจวนั้นเป็นแม่ทัพที่ได้รับความเคารพและมากไปด้วยประสบการณ์ การตายของเขาจึงทำให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง

มูฉิงนั้นได้เตรียมใจเอาไว้อยู่แล้ว ด้วยรู้ว่าการลอบเข้าไปในค่ายศัตรูมันเสี่ยงสูง แต่ไม่ว่าจะเป็นหรือตายเขาก็ต้องสั่งให้ทั้งสองคนออกไปทำงานที่อันตรายนี้อยู่ดี !

ทั้งสองแม่ทัพนี้เป็นแม่ทัพที่มีอายุการรับใช้กองทัพมานานมากที่สุด พวกเขามีส่วนสำคัญในการออกความเห็นเกี่ยวกับการศึกเสมอ และถึงแม้ว่าจะมีความหัวดื้อไปบ้าง แต่พวกเขาก็เป็นที่เคารพรักของทั้งกองทัพ

ครั้งนี้มูฉิงได้ส่งทั้งสองออกไปทำภารกิจนี้ อาจบอกได้ว่าเป็นการส่งพวกเขาให้ไปตายเพื่อตัดต้นตอของปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็เป็นได้ ทว่านั่นก็เป็นสิ่งไม่มีใครรู้ได้นอกจากตัวมูฉิงเอง

เมื่อรุ่งสางมาเยือน พวกต่างแดนก็บุกมาอีกครั้ง และครานี้พวกมันบ้าคลั่งกว่าเดิมมาก เพราะเมื่อเสบียงทั้งหมดถูกเผา พวกเบสซ่าก็อับจนหนทาง ได้แต่ถูกบีบให้เร่งรีบเอาชนะพวกเฟิงให้ได้ในตอนนี้หรือว่าจะอดตาย

ทหารทั้ง 5 พันนายที่ตายไปพร้อมกับจางโจวถูกแทนที่ด้วยรองหัวหน้าคนใหม่ แต่ทว่าความสามารถของเขาก็ยังไม่อาจเทียบเท่าคนก่อนได้

การศึกลากยาวไปถึงยามเที่ยง ก่อนที่ทหารบนกำแพงเมืองเฮิงจะไม่อาจต้านทานการบุกของพวกศัตรูไว้ได้ ทำให้พวกเบสซ่าขึ้นมาบนกำแพงเมืองได้สำเร็จ

มูฉิงและชิวเจิ้นกับทุกคนอยู่ที่ประตูหน้าเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเต็มสองตา ก่อนที่พวกเขาจะถูกบีบให้หนีออกจากหอบัญชาการเพื่อมารับมือกับพวกศัตรู

ถึงไม่ใช่ทหารตั้งแต่กำเนิดและไม่ใช่คนทั่วไป ทว่าเขาก็ไม่ใช่ผู้มีพลังยุทธ์เหมือนกัน ดังนั้นจึงลำบากไม่น้อย หากแต่เขาก็ยังพอเอาตัวรอดได้อยู่

ท่ามกลางสมรภูมินั้น พวกทหารมักจะเกลียดคำสั่ง ‘โจมตี’ และในขณะเดียวกัน พวกเขานั้นก็อยากจะได้ยินคำสั่ง ‘โจมตี’ ไปพร้อม ๆ กัน ด้วยถึงแม้จะเป็นคำสั่งเดียวกัน หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง !

ในฐานะแม่ทัพหลัก มูฉิงได้พาทหารของเขาออกต่อสู้กับพวกศัตรูอย่างอาจหาญ ทำให้พวกเฟิงเริ่มโต้กลับได้บ้าง

เพราะกำแพงเมืองไม่ได้กว้างมากนัก จึงทำให้ทั้งสองฝั่งต้องยื้อยุดฉุดกระชากกันไปมาเพื่อผลักให้อีกฝ่ายตกลงไปจากกำแพง และรักษาสมดุลตัวเองไม่ให้ถูกผลักออกไปในเวลาเดียวกัน

พวกต่างแดนที่เริ่มต้านไม่ไหวก็จะถูกดันออกไปจากกำแพง ทำให้พวกที่กำลังขึ้นมาร่วงตกลงไปตาม ๆ กัน

เมื่อเห็นแบบนั้นมูฉิงก็รีบพุ่งทะยานออกไปข้างหน้าแล้วตะโกนบอก “สหาย พยายามเข้า ! พวกเราต้องเข้าจัดการพวกศัตรูเพื่อแม่ทัพจาง !”

พวกแม่ทัพและทหารที่ได้ยิน พวกเขาต่างก็มีกำลังใจมากขึ้นพร้อมทั้งกู่ร้องก่อนชูดาบวิ่งเข้าใส่ศัตรูที่เหลืออย่างดุดัน

ในท้ายที่สุดพวกเบสซ่าก็ถูกดันกลับออกไปนอกกำแพง จนร่วงตกลงไปยังคูน้ำที่มีศพของพวกตัวเองก่อนหน้านี้เบื้องล่าง

ก่อนที่จะมีพวกต่างแดนอีกกลุ่มหนึ่งคาบดาบไว้ในปากและปีนขึ้นมาใช้ดาบพุ่งเข้าใส่ทหารเฟิงอย่างบ้าคลั่ง

ทั้งสองฝ่ายเริ่มเหนื่อยล้าหากแต่ก็ยังไม่สามารถจบศึกนี้ได้ ในเวลานี้พวกเขาต่างก็สู้จนหยดเลือดสุดท้ายภายใต้คำสั่งจัดการสังหารพวกศัตรูให้หมดสิ้น

ไม่ใช่แค่หน้าประตูเท่านั้น หากแต่กำแพงทุกทิศเองก็กำลังปะทะกับศัตรูกันอย่างดุเดือดเช่นกัน

ทว่าเมื่อเข้าสู่การปะทะกันระยะประชิด พวกเฟิงก็ไม่อาจได้เปรียบพวกศัตรูอีกต่อไป !

มูฉิงที่เห็นท่าไม่ดีจึงออกคำสั่งให้ล่าถอยจากกำแพงรอบนอกกลับเข้ามายังกำแพงด้านใน

ในเวลานี้พวกชาวเมืองเริ่มอกสั่นขวัญแขวนกันถ้วนหน้าแล้ว

เมืองเฮิงมีพื้นที่ที่ไม่กว้างมากเท่าไหร่ นั่นหมายความว่ากำแพงด้านในห่างจากด้านนอกเพียงแค่ไม่กี่จั้งเท่านั้น …หากแต่ไม่กี่จั้งที่ว่า มันก็กว่าพอที่จะไม่มีใครสามารถกระโดดข้ามมาได้ ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น พวกศัตรูก็ยังคงสามารถใช้บันไดวางพาดจากกำแพงด้านนอกเข้าไปยังด้านในได้อยู่ดี !