กองทัพปิงหยวนถอยกลับไปยังกำแพงด้านใน เพื่อเตรียมอาวุธใหม่อีกครั้ง และถ้าพวกศัตรูหมายจะข้ามกำแพงมาด้วยการวางสะพานลอยฟ้าในครานี้ งั้นแล้วพวกมันก็เตรียมรับมือกับลูกธนูได้เลย !

เมื่อเห็นถึงพลังของพลธนูเฟิง พวกเบสซ่าจึงเริ่มยิงสวนกลับไปบ้าง แต่ทว่าก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้เพราะว่าทางฝั่งเฟิงนั้นได้เตรียมไม้ประตูป้องกันเอาไว้แล้ว

พวกเบสซ่ามีลูกธนูอยู่จำกัด ดังนั้นเมื่อยิงจนหมดไปแล้วก็ไม่สามารถทำได้อีก ส่วนพวกเฟิงก็เอาลูกศรที่ถูกยิงมาพวกนั้นมาใช้ยิงสวนกลับไป

แม่ทัพของพวกต่างแดนโกรธมากที่เห็นกำแพงข้างในอีกที เพราะตอนแรกพวกเขาคิดว่าการยึดกำแพงด้านนอกได้คือชัยชนะของพวกเขาแล้ว จึงได้สั่งให้ทั้งกองทัพรวมไปถึงทหารม้าเกราะหนักเข้ามามีส่วนร่วมในการตีเมืองทันที

ด้วยการที่ยึดด้านนอกได้แล้วทำให้ประตูถูกเปิดออกตลอดเวลา ทว่าพวกที่กำลังวิ่งเข้ามาก็ถูกยิงตายไปมากจนศพเริ่มกองเต็มประตู

การเรียกพวกทหารม้าเกราะหนักมาก็เพื่อเป็นการให้พวกเขาเป็นโล่รับห่าฝนลูกธนูจากพวกเฟิงช่วยให้การเคลื่อนทัพเป็นไปได้อย่างง่ายดายมากขึ้น

มูฉิงคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เขาจึงวางแผนเตรียมรับมือความบ้าดีเดือดของพวกมันเอาไว้เรียบร้อย พวกศัตรูในตอนนี้จึงไม่ต่างอะไรจากแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟ

การต่อสู้ครั้งนี้พวกเบสซ่ายังมีจำนวนทหารที่มากกว่าทำให้ยังได้เปรียบพวกเฟิงอยู่มากกว่า

มูฉิงที่ยืนอยู่บนกำแพงกำดาบในมือแน่น มองทหารที่อยู่บนบันได

ยิ่งพวกเบสซ่าบุกเข้ามามากเท่าไหร่ก็ยิงมีลูกธนูพุ่งผ่านกันไปมาอย่างวุ่นวายในสนามรบ บางส่วนก็พุ่งผ่านหัวเขาไปแบบเฉียด ๆ ทำให้ทหารที่อยู่รอบ ๆ รีบวิ่งเข้าปกป้องเขาไว้ ก่อนที่ชิวเจิ้นจะรีบเข้ามากล่าวเตือน “มูฉิง ลงมาจากกำแพงก่อนเถอะ !”

มูฉิงส่ายหัวแล้วมองเด็กหนุ่มอย่างเย็นชา “พวกทหารกำลังต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย จะให้ข้าลงมาได้อย่างไรกัน ? ข้าจะอยู่บนนี้คอยสู้เคียงบ่าเคียงไหล่พวกเขาต่อไปเรื่อยไป หากข้าลงไปแล้วไซร้ลูกน้องจะต้องหมดกำลังใจเป็นแน่ !”

ชิวเจิ้นรู้สึกอายขึ้นมาทันที ด้วยได้แต่ยอมรับว่าถ้าในแง่ของการรบแล้ว ชายคนนี้ทำได้ดีกว่าเขามากทีเดียว

ถ้าหากมูฉิงอยู่บนกำแพง นี่ย่อมจะช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับพวกทหารเป็นอย่างมาก และการที่แม่ทัพยอมอยู่ท่ามกลางอันตรายแบบนี้ มีหรือที่พวกทหารจะสามารถหนีถอยกลับกันได้ ?

การต่อสู้ด้านนี้ถือว่าดุเดือดกว่าด้านนอกมาก เพราะเมื่อพวกเขาได้รับคำสั่งให้บุกทะลวงไปจนกว่าจะตาย เหล่าทหารเลวฝั่งเบสซ่าก็พากันพุ่งชนแลกชีวิต จนดูบ้าคลั่งเป็นอย่างมาก

แม้ว่าพวกที่อยู่บนกำแพงสูงจะยิงห่าฝนธนูออกมาก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถจัดการพวกมันได้หมด

เย็นวันเดียวกัน กองทัพเฟิงก็เริ่มสั่นคลอน

จนถึงตอนนี้พวกเฟิงนั้นสูญเสียน้อยมาก มีแค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ถึงแก่ชีวิต แค่พันผ้าก็สามารถกลับไปรบต่อได้แล้ว แต่กับพวกเบสซ่านั้น พวกมันเริ่มล้มหายตายจากกันไปมากมายจนเริ่มนับไม่ไหวแล้ว หากทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น มันก็ยังมีคนเข้ามาแทนที่เรื่อย ๆ อยู่ดี !

ทั้งสองฝ่ายเริ่มเหนื่อยล้ากันมากแล้ว ทว่าพวกต่างแดนก็ยังได้เปรียบที่จำนวนคน

แม่ทัพใหญ่ของเบสซ่าคิดว่าพวกเขาจะบุกเข้าไปในข้างในได้ภายในคืนนี้ แต่ทว่ากลับทำไม่ได้ดังที่หวังและต้องถอยร่นกลับไปยังค่ายด้านนอกอย่างน่าเสียดาย

ในขณะที่กำลังจะถามลูกน้องตัวเองถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ได้มีนายทหารคนหนึ่งขี่ม้าวิ่งเข้ามาเขาแล้วล้มตัวลงจากบนหลังม้า

แม่ทัพใหญ่ถามเขา “เกิดอะไรขึ้น ?”

“ท่านแม่ทัพ… พวกมันลอบโจมตีพวกเราจากข้างหลัง !”

แม่ทัพเบสซ่าคนนี้มีนามว่า คนีส ฟอน ปอช เขาเป็นน้องชายของราชาเบสซ่าและมีตำแหน่งถึงดยุคแห่งเบสซ่า เขามีความกล้าหาญชนิดที่ว่าอยากจะนำกองทัพออกมาด้วยตัวคนเดียวเพื่อบดขยี้พวกเฟิงให้แหลกคาดินเลยก็ว่าได้

เมื่อได้ยินแบบนั้น คนีสก็ตะลึงจนเหงื่อไหลออกมา คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวของเขา ทั้ง ๆ ที่คิดว่าไม่น่าจะมีใครเข้ามาข้างหลังได้แท้ ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าดันมีใครก็ไม่รู้ปรากฏตัวมาข้างหลังกองทัพของเขาเสียอย่างนั้น

“พวกมันมีกันกี่คน ?”

นายทหารคนนั้นกลืนน้ำลายแล้วยื่นนิ้วออกมา “ม่ะ มีคนเดียว !”

“อะไรนะ ?” คนีสเกาหัว ด้วยความงุนงง ?

“คนเดียวจริง ๆ ขอรับ !”

คนีสได้ยินชัดเจนแล้วตอนนี้และกำลังโกรธจัด และกำหมัดแน่นมากขึ้น “มันมีแค่คนเดียวแล้วพวกเจ้าจะกลัวอะไรกัน ?”

“ต…ตะ…แต่ว่ามันเก่งกาจมากพวกเราต้านไม่อยู่…”

ได้ยินดังนั้น คนีสก็พลันหันหน้าแล้วพูดขึ้นกับข้างกาย “พาคนไปจับเป็นมันมาให้ได้ซะ !”

“ขอรับฝ่าบาท !” นายทหารกู่ร้องแล้วรีบวิ่งไปทันที

การที่เขามาตัวคนเดียวแบบนี้ การจับเป็นยังไงก็ต้องเกิดขึ้นแน่ ๆ หากแต่เขาก็ไม่เคยคิดเลยว่าพวกคนที่ถูกส่งไปจะไม่กลับมาอีกเลย

ระหว่างที่เขากำลังรอข่าวดีอยู่ ก็มีทหารเบสซ่าวิ่งเข้ามาพร้อมด้วยเลือดที่เปรอะเปื้อนเต็มตัวแล้วตะโกนอย่างตื่นตระหนก “ทหารที่ท่านส่งไปถูกจัดการหมดแล้วขอรับ !”

“หา ?” แม่ทัพใหญ่นั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วกลอกตา “ตายหมดเลยเหรอ ?” ในหัวของเขาคิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว ใครมันจะสามารถล้มทั้งกองทัพได้ด้วยตัวคนเดียว

“มีแค่คนเดียวจริง ๆ หรือ ?” เขาถามย้ำ

“จริงแท้แน่นอนขอรับฝ่าบาท !”

คนีสตะลึง ในขณะเดียวกันก็มีคนวิ่งเข้ามาจากทางตะวันออก แต่ด้วยระยะที่ค่อนข้างไกล จึงทำให้เขามองเห็นอีกฝ่ายไม่ชัดนัก

ชายคนนั้นถือหอกยาวกำลังขี่ม้าวิ่งเข้ามาหาเขาพร้อมกับมีทหารไล่วิ่งตามเขามา

ถึงจะบอกว่าไล่ตามแต่มันก็ดูเหมือนกำลังวิ่งกันอย่างเหนื่อยอ่อนมากกว่า

หลังจากที่ชายขี่ม้าวิ่งเข้ามาในค่ายที่นี่ คนผู้นั้นก็มองซ้ายขวาก่อนที่จะมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองเฮิง

พวกต่างแดนก็เริ่มรู้แล้วว่ากำลังมีคนวิ่งมาทางเขา และเมื่อเข้าใกล้กันแล้ว ทั้งแนวรบก็พลันหันมาประจันหน้าชายผู้นั้นในทันที !

คนีสที่ยื่นมองอยู่จากระยะไกลก็เริ่มกำหมัดแน่น เพราะอาวุธในมือของชายขี่ม้าเปล่งแสงสว่างจ้าพร้อมเสียงที่ดังก้องจนแม้แต่ตัวเขาที่อยู่ระยะไกลก็ยังได้ยินเสียงดังนั่น

เคร้ง !

คลื่นพลังปราณจำนวนมากถูกปลดปล่อยออกมา เข้าปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าทำให้ดูเหมือนกับคลื่นลมปราณที่บ้าคลั่ง เข้าสังหารทหารต่างแดนจนไม่เหลือซากแม้แต่คนเดียว

เพียงชั่วพริบตาคลื่นปราณนั้นก็พุ่งทะยานหายไปเหลือไว้แค่เพียงเศษฝุ่น ไม่มีใครอื่นนอกจากชายขี่ม้าคนนี้

ทุกคนที่ได้เห็นฉากนี้ต่างก็ต้องตะลึง เช่นเดียวกันกับคนีสที่ยืนงงเป็นไก่ตาแตก

จากนั้นชายขี่ม้าก็พูดออกมา “ปลดปล่อยพลัง…ขั้นสุดยอด !”