เล่มที่ 5 บทที่ 143 ไม่ห่างแม้เพียงก้าวเดียว

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

นับตั้งแต่วันที่นางกระอักออกมาเป็นเลือด หลินเมิ้งหยาหมดสติไปนานกว่าห้าวัน

  ห้าวันที่ผ่านมา หลินเมิ้งหยานอนนิ่งบนเตียงไม่ไหวติง

  ไม่ว่าน้ำหรือยาล้วนไม่เคยผ่านร่างกายเข้าไป

  เหตุเพราะตากฝน อีกทั้งร่างกายยังปะทะกับลมหนาว ดังนั้นเมื่อตกกลางคืน อุณหภูมิร่างกายของนางจึงสูงขึ้น

  คนในตำหนักหลิวซินจ้องมองสายฝนที่กำลังโหมกระหน่ำ

  “ห้าวันแล้ว นายหญิงไม่ยอมกินยาเลย หมอหลวงบอกว่าหากอาการยังไม่ดีขึ้น นายหญิงคง…”

  กลืนคำพูดลงคอ ป๋ายจื่อพยายามป้อนยาให้กับหลินเมิ้งหยา

  ทว่า ริมฝีปากนางกลับปิดสนิท ไม่ยอมอ้าออกเลยแม้แต่น้อย

  หยดน้ำสีดำไหลออกจากมุมปาก

  เป็นเวลากว่าห้าวันห้าคืนแล้วที่หลินเมิ้งหยาไม่ยอมดื่มแม้กระทั่งน้ำ ใบหน้าที่เคยกลมกลึงเริ่มซูบตอบ

  ขอบตาล่างเป็นสีม่วงเข้ม ไร้ซึ่งวี่แววของความงามบนใบหน้า

  “หมอหลวง อาการเป็นอย่างไรบ้าง? ”

  สีหน้าของหลงเทียนอวี้เคร่งขรึม คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น สายตามิได้เย็นชาเหมือนอย่างเคย

  แต่มันกลับดูกระวนกระวายและเป็นกังวล

  “พระชายาโกรธจนกระอักออกมาเป็นเลือด แม้จะสามารถใช้ยารักษาได้ แต่หากพระชายายังไม่ยอมกินยาเข้าไปเช่นนี้ เกรงว่า…เกรงว่าจะมิเป็นการดีพ่ะย่ะค่ะ”

  หมอหลวงเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ราวกับว่าเขาเพิ่งพบเจออาการป่วยอย่างเช่นพระชายาเป็นครั้งแรก

  แต่สิ่งที่เขากำลังกลัวมากที่สุดคือความโกรธเกรี้ยวของหลงเทียนอวี้

  เคยได้ยินมาว่าอ๋องอวี้เย็นชาดุจน้ำแข็ง แต่เขารักพระชายาเหนือสิ่งอื่นใด

  ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องล้อเล่น

  แต่ว่าพระชายา…

  เฮ้อ หันไปชำเลืองมองร่างบางของพระชายา หากยังเป็นเช่นนี้ เกรงว่าพระชายาคงมิอาจมีชีวิตรอด

  “จะข่มขวัญผู้อื่นตรงนี้ให้ได้อะไรขึ้นมา สู้เอาเวลามาคิดหาวิธีช่วยเจ้าเด็กน้อยยังจะดีเสียกว่า”

  เสียงเย็นชาดังขึ้น หมอหลวงผู้น่าสงสารหันหน้ามองชายหนุ่มสวมชุดขาวทางด้านหลัง เขาอดที่จะตัวสั่นไม่ได้

  เหตุใดคนของจวนอวี้แต่ละคนจึงเอาใจยากนัก

  “หมอหลวงใช่หรือไม่? หากรักษาเจ้าเด็กน้อยไม่ได้ ข้าจะเลาะเนื้อเจ้าออกมาให้สุนัขกิน”

  ทั้งที่ใบหน้าหล่อเหลาอ่อนโยน แต่ชายที่ชื่อชิงหูกลับมีสายตาเย็นชากว่าใครบนโลก

  ร่างสูงโปร่ง โดดเด่น น่าเกรงขาม

  เพียงได้เห็นก็รู้ได้ทันทีว่ามิใช่คนที่จะสามารถเข้าไปยุ่งด้วยได้

  “เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่รีบหาวิธีช่วยพี่สาวของข้า หากทำไม่ได้ ข้าจะพาพี่สาวไปเอง”

  ขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มสวมเสื้อสีฟ้าอ่อนเดินเข้ามา

  เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น ทว่าใบหน้า ท่าทางความเป็นผู้ใหญ่มิได้ด้อยไปกว่าทั้งสองเลย

  “เอาล่ะ พวกท่านเลิกทะเลาะกันได้แล้ว คิดว่าทะเลาะกันแล้วนายหญิงจะตื่นอย่างนั้นหรือ?”

  ทั้งสามทะเลาะกันไม่หยุด ป๋ายซ่าวจึงเข้ามาร้องห้าม

  ตั้งแต่วันที่พานายหญิงกลับมา พวกผู้ชายตรงหน้าทั้งสามทะเลาะกันไม่หยุด

  แม้จะรู้ว่าพวกเขาเป็นห่วงนายหญิง ทว่าอาการของนายหญิงทรุดหนักมากขึ้นทุกที ไม่มีใครไม่รู้สึกเป็นห่วงนาง

  “หมอหลวง ขอเพียงนายหญิงดื่มยาเข้าไปก็จะสามารถช่วยได้ใช่หรือไม่?”

  ราวกับป๋ายจื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบร้อนเอ่ยถาม

  หมอหลวงที่พยายามหาทางเอาชีวิตรอดพยักหน้าลง

  เฮ้อ ถ้ายังทรมานตนเองเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าอาการจะยิ่งแย่กว่าเดิม

  “เช่นนั้นใช้ปากป้อนนายหญิงก็ได้ใช่หรือไม่? อย่างน้อยนางก็ต้องยอมกลืนเข้าไปอย่างแน่นอน แค่เล็กน้อยก็ยังดี”

  ทว่าหมอหลวงรีบร้องขัดป๋ายจื่อ

  “ไม่ได้ มิรู้ว่าเหตุใดพระชายาจึงมีพิษในร่างกาย ดังนั้นยาที่ใช้กับพระชายาจึงเป็นยาที่มีส่วนผสมของยาพิษ หากคนปกติธรรมดาดื่มเข้าไป เกรงว่าจะถูกพิษเข้า”

  คำพูดของหมอหลวงทำให้ป๋ายจื่อตื่นตระหนก

  คุณหนูใกล้จะตายเต็มทีแล้ว นางจะทนมองอยู่ได้อย่างไร

  “ข้าไม่กลัว ต่อให้ต้องเอาชีวิตของข้าเข้าแลก ข้าก็จะช่วยนายหญิงให้ได้”

  ยืนหยัดในความคิดของตนเอง ป๋ายจื่อตัดสินใจใช้ชีวิตของตนเองแลกกับชีวิตของหลินเมิ้งหยา

  “ไม่ได้ หากนายหญิงตื่นขึ้นมา แต่เจ้าหมดลมหายใจ คิดหรือว่านายหญิงจะไม่เสียใจหรือ? เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเหตุใดนายหญิงจึงมีอาการป่วยเช่นนี้?”

  ป๋ายจีคิดทุกอย่างได้รอบคอบกว่าป๋ายจื่อ

  หลินเมิ้งหยาให้ความสำคัญกับเพื่อนพ้องมาเป็นอันดับหนึ่ง มิเช่นนั้น นางคงไม่รู้สึกหัวใจสลายหลังจากได้เห็นเยว่ถิงตายไป

  “ข้าไม่สน ข้าไม่อาจทนมองนายหญิงตายไปได้”

  ป๋ายจื่อไม่สนใจอะไรทั้งนั้น สำหรับนางแล้ว หลินเมิ้งหยาคือทุกสิ่งทุกอย่าง

  ขณะที่เหตุการณ์กำลังกดดัน ร่างหนึ่งเดินผ่านทุกคนไป

  “ข้าทำเอง”

  หลงเทียนอวี้หยิบถ้วยยาขึ้นแล้วกรอกปากตนเองโดยไม่ลังเล

  มือหนาประคองร่างหลินเมิ้งหยาขึ้นมา ก่อนจะประทับริมฝีปากของตนเองลงบนริมฝีปากสีม่วงเข้มของนางเพื่อส่งผ่านยารสชาติเฝื่อนขมเข้าไป

  “ท่านอ๋อง!”

  หลินขุ๋ยและพ่อบ้านเติ้งตกตะลึง ท่านอ๋องเป็นทุกอย่างในชีวิตของพวกเขา

  ทว่าหลงเทียนอวี้กลับโบกมือเพื่อห้ามพวกเขามิให้เข้ามา

  “คือว่า…อย่าเพิ่งร้อนใจไปเลย หากสตรีเป็นผู้กินจะทำให้ภายในเสียหาย”

  หมอหลวงที่มีผมสีขาวโพลนเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของตนเอง ก่อนจะเอ่ยออกมา

  ขณะเดียวกัน สายตาทุกคู่หันไปมองทางเขา

  ผู้น้อยเหล่านี้หุนหันพลันแล่นจนเกินไป พวกเขาไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่เอาเสียเลย

  “เช่นนั้นท่านอ๋องที่ดื่มเข้าไปจะเป็นเช่นไร?”

  พ่อบ้านเติ้งยังคงกังวล กลัวว่าหลงเทียนอวี้จะได้รับอันตราย

  “ไม่มีปัญหา หากผู้ชายดื่มเข้าไป อาจจะกัดกระเพาะแต่เพียงเท่านั้น ขอเพียงดื่มน้ำอุ่นให้มากก็พอ”

  คำพูดของหมอหลวงทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนอยู่กันคนละโลก

  ในสายตาของคนที่อยู่ในตำหนักเวลานี้มองดูหมอหลวงผมหงอกตรงหน้าด้วยท่าทางไร้ความเคารพนับถือ

  หลงเทียนอวี้พยายามส่งผ่านยาจากปากของตนเองเข้าไปในปากของหลินเมิ้งหยา

  หลินเมิ้งหยายังคงหลับตาสนิท เหตุเพราะอุณหภูมิของร่างกายที่ยังคงสูง ดังนั้นการกลืนกินจึงทำได้ยากยิ่ง

  ร่างบางแทบจะไร้ซึ่งน้ำหนัก

  ความกลัวเริ่มเกาะกุมหัวใจของหลงเทียนอวี้

  เขาที่ไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวแม้จะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูในสนามรบ

  เหตุใด เพียงได้เห็นหญิงสาวนอนแน่นิ่งบนเตียง กลับรู้สึกกระวนกระวายไปเสียหมด

  “นายหญิง ดื่มเข้าไปเจ้าค่ะ เชื่อข้าเถิดนะเจ้าคะ ดื่มเข้าไปเจ้าค่ะ”

  สาวใช้ทั้งสี่เริ่มส่งเสียงสะอึกสะอื้น

  แม้แต่ป๋ายซูที่อยู่ด้วยกันมาไม่นานนักยังแอบหลบมุมเช็ดน้ำตา

  หลินเมิ้งหยาดีกับพวกนางมาก ดังนั้น พวกนางจึงมองหลินเมิ้งหยาเป็นเสมือนพี่น้องคนหนึ่ง

  ทว่าอาการของหลินเมิ้งหยากำลังแย่ลงเรื่อยๆ ของเหลวสีดำไหลลงจากปากแล้วไล่ไปตามลำคอ

  ชุดที่หลงเทียนอวี้สวมใส่เปียกชื้น หลินเมิ้งหยาปิดปากสนิท ไม่ยอมกลืนยาลงไป

  เยว่ฉีกัดฟัน นางที่ร้องไห้จนขอบตาแดงก่ำพุ่งตัวเข้ามา

  เข้าไปคว้ามือของนาง ความโศกเศร้าถาโถมเข้ามาในหัวใจไม่น้อยไปกว่าผู้อื่นเลย

  พี่สาวของนางเพิ่งจะตายไปได้ไม่นาน พี่หลินเองก็กำลังจะตายตกตามกันไป

  หญิงสาวใสซื่อไร้เดียงสาคนก่อนเติบโตขึ้นในทันทีหลังจากได้เห็นพี่สาวกระโดดหน้าผา

  “พี่หลิน ท่านลืมแล้วหรือว่าพี่สาวข้าตายเพราะอะไร? นางตายไปแล้ว ท่านเองก็จะตายตามนางไปอย่างนั้นหรือ? แล้วใครจะแก้แค้นแทนพี่สาวของข้ากัน? พี่หลิน ได้ยินหรือไม่ พี่จะต้องฟื้นขึ้นมาแก้แค้นให้พี่สาวของข้า”

  เยว่ฉีออกแรงเขย่าร่างของหลินเมิ้งหยา หยาดน้ำตารินไหลไม่ขาดสาย

  “เจ้าจะฆ่านางหรือ! ”

  หลินจงอวี้เข้าไปดึงตัวเยว่ฉี ขอบตาของเขาแดงก่ำ

  ถ้าหากพี่สาวยังคงตกในสภาพเช่นนี้ เช่นนั้น แม้ว่าจะต้องแลกกับอะไร เขาก็จะพาพี่สาวไปจากที่นี่ให้ได้

  “หากไม่ทำเช่นนี้ นางจะยังมีชีวิตรอดอย่างนั้นหรือ” เยว่ฉีขอบตาแดงก่ำ ตะคอกใส่หน้าหลินจงอวี้เสียงดัง

  “พี่หลิน ตื่นขึ้นมาซิ ตื่นขึ้นมาได้แล้ว หรือท่านจะนอนมองพวกคนสารเลวเหล่านั้นเสพสุขต่อไป”

  เสียงตะคอกของเยว่ฉีดังลั่นห้อง ทว่า เสียงนี้กลับได้ผล

  หลงเทียนหยู๋สัมผัสได้ว่ายาในปากของตนเองถูกหลินเมิ้งหยาดื่มลงไป

  “เหมือนจะได้ผล นางได้ยิน นางรู้สึกได้”

  ชิงหูที่นั่งจ้องตาไม่กระพริบอยู่ข้างเตียงร้องออกมา

  หลงเทียนอวี้สั่งให้ทุกคนเงียบลง ก่อนจะป้อนยาหลินเมิ้งหยาอีก

  ดังนั้น เสียงในห้องจึงเงียบกริบ

  นอกจากเสียงกลืนยาแล้ว ทุกคนแทบจะไม่หายใจ เพราะกลัวว่าอาการของหลินเมิ้งหยาจะแย่ลง

  “เร็ว รีบไปเอาโจ๊กข้าวบดละเอียดมา”

  ชิงหูร้องตะโกนด้วยความดีใจ

  “ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

  เพราะความดีใจ ป๋ายจีจึงสูญเสียการควบคุมตนเองไปชั่วคราว

  รีบวิ่งไปทางห้องครัวเล็กของตำหนัก เพื่อป้อนยาให้ครบหนึ่งถ้วย หลงเทียนอวี้ต้องกลืนยาเข้าไปถึงสามถ้วย

  ค่อย ๆ วางร่างของหลินเมิ้งหยาลงบนเตียง ยังไม่ทันจะไปกลั้วปากเพื่อล้างความขมของยา เขารีบรับถ้วยโจ๊กจากป๋ายจี

  กินทีละนิด เขาป้อนโจ๊กหลินเมิ้งหยาได้ครึ่งถ้วย

  เมื่อเห็นใบหน้าขาวซีดเริ่มกลับมามีสีเลือด หลงเทียนอวี้จึงรู้สึกเสมือนยกภูเขาครึ่งลูกออกจากอก

  ต่อจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของร่างกายหลินเมิ้งหยา ขอเพียงไข้ลดลง ทุกอย่างก็จะดีขึ้น

  “ท่านอ๋อง ทางฝั่งตำหนักหยาเสวียนส่งคนมาเร่งให้พระองค์เข้าเฝ้าถึงสามครั้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

  พ่อบ้านเติ้งก้มศีรษะต่ำ เขามิคิดอยากเร่งเร้าหลงเทียนอวี้เลยแม้แต่น้อย

  ห้าวันที่ผ่านมา องค์หญิงหมิงเยว่เสด็จกลับมาที่จวนด้วย มิรู้ว่านางใช้วิธีการอันใด เวลาเพียงไม่นานนางจึงเอาชนะใจของพระสนมเต๋อเฟยได้

  ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่พระชายากำลังนอนกระอักเลือด ท่านอ๋องไม่เคยห่างออกไปจากนางแม้เพียงก้าวเดียว

  ดังนั้น ทางฝั่งตำหนักหยาเสวียนจึงรู้สึกไม่พึงพอใจหลินเมิ้งหยาเล็กน้อย

  “เข้าใจแล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

  มือหนา ลูบไล้หน้าผากที่ยังร้อนผ่าว

  มิรู้ว่าเพราะเหตุใด ความมั่นคงของเขามอบให้เพียงแต่นางผู้เดียวเท่านั้น

  ตอนนี้คำพูดของเยว่ฉีน่าจะได้ผลแล้ว

  ยิ่งไปกว่านั้น อุปนิสัยของหลินเมิ้งหยายังเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นอีกด้วย