ออกแรงดีดหน้าผากหลินเมิ้งหยาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าชิงหูกำลังโกรธหรือกำลังอารมณ์ดีอยู่กันแน่
“เจ้าเด็กน้อย เอะอะก็บอกให้ข้าตาย ถ้าข้าจะตายจริงๆ ก็ขอตายข้างกายเจ้า ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะสนใจหรือไม่”
แม้จะส่งเสียงขู่ ทว่าสายตาของชิงหูกลับเผยให้เห็นความขุ่นมัวเล็กน้อย
เวลาเพียงสามปี ไม่มีใครสามารถแก้ยาพิษในตัวเขาได้
ฉะนั้น เขาจึงเหลือเวลาในการมีชีวิตอยู่อีกเพียงสามปีเท่านั้น
แต่…นั่นมันก็มากเพียงพอแล้ว
“ได้เลย พอถึงเวลานั้นข้าจะขุดหลุมแล้วโยนเจ้าลงไปเอง จากนั้นข้าจะโยนสัตว์ร้ายเข้าไปแทะใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ของเจ้า”
หลินเมิ้งหยากุมศีรษะ เจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ดีดเจ็บชะมัด
“จริงสิ ข้ารู้เรื่องของเจ้าเด็กที่เจ้าเก็บมาเลี้ยงนั่นด้วย อยากฟังหรือไม่?”
หลินจงอวี้? หลินเมิ้งหยายอมรับ นางรู้สึกสงสัยอยู่เหมือนกัน
แต่ว่า…
นางส่ายหน้า หากยังไม่ได้รับอนุญาตจากเสี่ยวอวี้ นางก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขา
“จริงสิ ตอนพวกเราออกมา เสี่ยวอวี้เองก็มาด้วยนี่นา เขาไปไหนแล้วเล่า? ”
หลินเมิ้งหยาเพิ่งนึกได้ว่าคนหายไปหนึ่งคน
นางก้มหน้าลง ด่าว่าตัวเองที่ไม่สนใจเขาให้ดี
“นายน้อยบอกว่ามีเรื่องให้ต้องจัดการ ดังนั้นจึงกลับไปก่อนเจ้าค่ะ นายหญิงลืมแล้วหรือเจ้าคะ?”
ป๋ายซูตอบ สาวใช้อีกสามคนมองหน้าหลินเมิ้งหยา ดวงตาฉงน
เฮ้อ รู้สึกว่านับตั้งแต่วันที่นายหญิงทะเลาะกับท่านอ๋อง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ความจำของนายหญิงเหมือนจะยิ่งแย่ลง
“อ๋อ ข้าลืมจริงๆ ด้วย ตอนนี้เวลาไม่คอยท่าแล้ว พวกเรากลับกันเถิด”
ฝนยังตกปรอยๆ ทว่าสีของท้องฟ้ากลับมืดสนิทแล้ว
ชิงหูสั่งให้คนนำรถม้าคันเล็กมา เพื่อพาหญิงสาวทั้งห้ากลับจวน
คิดไม่ถึงเลยว่า เพียงก้าวเท้าออกมาที่หน้าประตูร้านฝูหรงโหลว จะมีคนขี่ม้าฝ่าฝนผ่านมา
“พี่หญิง! พี่หญิงยังอยู่ที่นี่หรือไม่?”
หนุ่มน้อยส่งเสียงร้อนรน กระโดดลงจากหลังม้า
หลินเมิ้งหยาแหวกผ้าม่านรถม้า ก่อนจะได้เห็นร่างเปียกโชกของหลินจงอวี้
“ข้าอยู่นี่ เสี่ยวอวี้ เป็นอะไรไป?”
สีหน้าของหนุ่มน้อยแสดงให้เห็นถึงความกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด เขาร้องโหวกเหวกโวยวายเสียงดัง
“พวกพี่เยว่ถิงถูกพาตัวไปแล้ว ท่านไม่อยู่จวน ท่านอ๋องเองก็ไม่อยู่ ไม่รู้ว่าพวกเขาไปพูดอะไรกับพระสนมเต๋อเฟย ก่อนจะบังคับขู่เข็ญพาพี่เยว่ถิงไป”
คำพูดของหลินจงอวี้ทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกชาวาบไปถึงกระดูก
เป็นไปได้อย่างไร? เหตุใดจึงมีคนบังคับพาตัวพี่เยว่ถิงไป?
“ใครพาพี่เยว่ถิงไป? พวกเขาไปที่ไหน? เจ้ารู้หรือไม่? ”
สีหน้าของหลินจงอวี้ไม่น่ามอง เขาพยักหน้าลง ก่อนจะเอ่ยตอบ
“ฮูหยินเยว่ขอรับ นางบอกว่าจะส่งพี่เยว่ถิงไปอยู่นอกเมือง คุณหนูรองไม่ยอมจึงตามไปด้วย ตอนนี้ใกล้จะเดินทางถึงแถบชนบทแล้ว”
อะไรนะ? หลินเมิ้งหยาโกรธเกรี้ยว นางกล้าบุกรุกบ้านคนอื่นแล้วกระทำการอุกอาจเช่นนี้เชียวหรือ
ทำร้ายพี่สาวแท้ๆ ของตนเองยังมิพอ แต่นี่ยังคิดทำร้ายพี่เยว่ถิงอีก
“พวกเราเองก็ไปกันเถิด เสี่ยวอวี้ เจ้านำทางไปเดี๋ยวนี้”
ตอนนี้นางไม่สนแม้กระทั่งสายฝนที่กำลังโปรยปราย
หลินจงอวี้ขี่ม้านำทาง ชิงหูขับรถม้าพาพวกหลินเมิ้งหยาไปยังแถบชนบท
ได้โปรด…อย่าได้เกิดเรื่องอันใดเลย
ระหว่างทาง คนที่หลินจงอวี้ส่งไปสะกดรอยตามกลับมาแจ้งข่าวเป็นระยะๆ
สกุลเยว่ยังมีบ้านแถบชนบทอีกหนึ่งหลัง แต่คนคนนั้นกลับเอ่ยว่ารถม้าที่พี่เยว่ถิงและเยว่ฉีนั่งไปจอดลงที่บ้านแถบชนบทหลังนั้นแล้วกลับออกไปเพียงลำพัง
ดูเหมือนจะอยากทิ้งพวกนางเอาไว้ที่นั่นอย่างนั้นสินะ
ความกังวลก่อตัวในหัวใจของหลินเมิ้งหยามากขึ้นเรื่อย ๆ
รถม้าแล่นไปถึงบ้านแถบชนบทของสกุลเยว่อย่างรวดเร็ว
ประตูใหญ่ปิดสนิท หลินเมิ้งหยาไม่สนใจอะไรมาก สั่งให้คนพังประตูเข้าไป
หลินจงอวี้กับชิงหูสบตากัน ยกขาขึ้นแล้วถีบประตูบานนั้น
ภายในบ้านหลังนั้นไร้ซึ่งผู้คน
“ท่านพี่! ท่านพี่! ท่านแม่ปล่อยข้า! ข้าจะไปช่วยท่านพี่ ข้าจะไปช่วยท่านพี่! ”
อยู่ ๆ เสียงร้องของเยว่ฉีพลันดังขึ้นจากภายใน
หลินเมิ้งหยาสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับได้ยินเสียงตบหนึ่งฉาด
“ไร้สาระ! นังเด็กหน้าไม่อายคนนั้นมิได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้าอีกต่อไปแล้ว นางมิอาจนำพาชื่อเสียงมาสู่วงศ์ตระกูลของเรา หรือเจ้าเองก็อยากถูกทำลายเช่นนาง? ”
เสียงเย็นชา ไร้ซึ่งเยื่อใย
ความรังเกียจแฝงอยู่ในน้ำเสียง แม้แต่หลินเมิ้งหยายังฟังออกได้อย่างชัดเจน
“ไม่! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพี่หญิงจะเป็นฝ่ายยั่วยวนองค์ชายรองก่อน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพี่หนานเซิงจะเขียนจดหมายตัดความสัมพันธ์เช่นนั้นมาให้ ท่านแม่ ขอร้อง ได้โปรดปล่อยข้าไป หากช้าอีกเพียงนิดเดียว ชีวิตของพี่หญิงคงจบสิ้น”
หลินเมิ้งหยาใช้เท้าถีบประตูห้องเข้าไป
ภายใน เยว่ฉียังคงส่งเสียงร้องไห้ไม่หยุด นางคุกเข่าอยู่บนพื้นเพื่อขอร้องฮูหยินเยว่
ใบหน้านวลเผยให้เห็นรอยแดงจากฝ่ามือ
ทว่าดวงตาที่ยังคงมีหยาดน้ำตาไหลออกมากลับแสดงความมุ่งมั่นขณะจ้องหน้าหญิงวัยกลางคนผู้โหดเหี้ยมตรงหน้า
“นังเด็กไม่รักดี! ”
ใบหน้าหยิ่งยโส ง้างมือขึ้นเพราะคิดจะตบเยว่ฉีอีกครั้ง
แต่กลับถูกฝ่ามือเย็นยะเยือกจับข้อมือเอาไว้เสียก่อน
“ฮูหยินเยว่ ก่อนจะสั่งสอนลูก จงดูให้ดีก่อนว่าใช้ลูกของตนเองหรือไม่”
ความโกรธเกรี้ยวของหลินเมิ้งหยาแผ่ซ่าน ฮูหยินเยว่ตัวสั่นเทิ้ม
นางหันหน้าไปตามเสียง คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าในเวลานี้ล้วนมีสภาพเปียกปอน ทว่าดวงตาของพวกเขากลับเปล่งประกาย เสมือนปีศาจจากนรก
“เจ้า…หมายความว่าอย่างไร? ข้าสั่งสอนลูกสาวของข้า แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”
หากในมือมีดาบ หลินเมิ้งหยาคงจ้วงแทงหญิงวัยกลางคนตรงหน้าไปแล้ว
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว แต่ฮูหยินเยว่กลับยังไม่สำนึกผิด
ซ้ำยังร้องตะโกนเสียงแหบเสียงแห้ง
“ที่นี่คือสถานที่ของสกุลเยว่ พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์เข้ามา”
หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะเสียงเย็น นางไม่อยากให้ความสำคัญกับผู้หญิงใจคอโหดร้ายคนนี้
หญิงสาวหมุนตัวจับมือเยว่ฉี ส่งเสียงเอ่ยถาม
“ไม่เป็นไรใช่หรือไม่? พี่เยว่ถิงเป็นอย่างไรบ้าง? ”
หลินเมิ้งหยาเปรียบเสมือนนางฟ้าลงมาจุติ ใบหน้าของเยว่ฉีแสดงความดีใจ
จับแขนของหลินเมิ้งหยาพลางร้องตะโกน
“พี่หลิน รีบไปช่วยพี่สาวของข้าเถิด นางได้รับจดหมายจากพี่หนานเซิง ท่านแม่ของข้าด่าทอนางมากมาย ข้ากลัวนางจะคิดสั้น”
หลินเมิ้งหยาที่ได้ยินดังนั้นรู้สึกโกรธกว่าเดิม
จดหมายของพี่ชาย? จะเป็นไปได้อย่างไร?
สายตาอำมหิตหันกลับไปจ้องมองฮูหยินเยว่ ดูเหมือนจะมีคนเขียนมันขึ้นมาสินะ
“คนไร้หัวใจ หากเยว่ถิงไม่เป็นอะไรข้าจะไม่ถือสา แต่ถ้าหากนางเป็นอะไรไปขึ้นมา ข้าจะเรียกบรรพบุรุษสกุลซูของเจ้าออกมารับฟังและชดใช้ที่ได้คลอดลูกสาวเช่นเจ้าออกมา! ต่อให้ข้าต้องขุดดินลึกถึงสามเมตร ข้าก็ยอม! ”
ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว หลินเมิ้งหยามั่นใจในความคิดของตนเอง
ผู้หญิงใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตตรงหน้ามิรู้เลยว่ากำลังขุดหลุมฝังตัวเองอยู่
สถานการณ์กำลังคับขัน หลินเมิ้งหยาไม่มีเวลาจัดการฮูหยินเยว่ นางคว้ามือเยว่ฉีแล้ววิ่งออกไปทางหลังเขา
นอกบ้าน สายฝนเทกระหน่ำ ไร้ซึ่งแสงไฟ
ภายในบ้าน ฮูหยินเยว่ทั้งโกรธทั้งตกใจ
ความลับที่นางปกปิดมานานหลายปีกลับถูกขุดขึ้นมา
สายตาโหดเหี้ยมหันไปจ้องมองตามหลังหลินเมิ้งหยา ความหนาวเหน็บแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่าง
แล้วอย่างไรเล่า?
พี่สาวติดหนี้นาง! คนของสกุลซูทั้งหมดล้วนติดหนี้นาง
ขอเพียงฮองเฮายังคงอยู่ ไม่ว่าใครก็ทำอะไรนางไม่ได้
เป็นเพียงแค่เด็กแพศยาคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ช้าก็เร็ว แม้แต่เยว่ฉีก็จะต้องถูกนางนำไปใช้ประโยชน์
ทั้งหมดเดินออกจากประตูหลังบ้าน หลินเมิ้งหยากับเยว่ฉีรีบวิ่งไปทางด้านหลังภูเขา
ที่นั่นมีหน้าผา
เมื่อพวกนางวิ่งไปถึง สิ่งที่ได้เห็นคือพี่เยว่ถิงที่กำลังยืนอยู่บนขอบหน้าผา
“ท่านพี่ อย่าทำอะไรโง่ๆ นะ อย่านะ”
เยว่ฉีร้องไห้ร้องตะโกน นางคิดจะพุ่งตัวเข้าไป แต่กลับถูกชิงหูจับตัวเอาไว้
เยว่ถิงในเวลานี้ไม่เหมือนก่อน หากพุ่งตัวเข้าไป นอกจากจะช่วยเหลือเยว่ถิงไม่ได้แล้ว อาจจะเกิดอุบัติเหตุอีกด้วย
“พี่เยว่ถิง ข้าเอง ข้าคือเหย๋าเอ๋อร์ไงล่ะ ท่านเดินกลับมาเถิด อย่าทำให้ข้าตกใจเลย”
หลินเมิ้งหยาค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปใกล้ พยายามปรับน้ำเสียงให้อ่อนโยนที่สุด
หญิงสาวบนหน้าผาเสมือนถูกหิมะทับถมหัวใจ เยว่ถิงที่ตกอยู่ในอาการเหม่อลอยได้ยินเสียงของหลินเมิ้งหยา นางจึงได้สติ
นางหยัดยิ้มท่ามกลางสายฝน
เหมือนวันนั้น วันที่ทั้งสองได้พบกันเป็นครั้งแรก รอยยิ้มอ่อนโยน งดงาม
“หย๋าเอ๋อร์ ข้ารู้ว่านั่นมิใช่จดหมายจากพี่หนานเซิง ข้ารู้ ข้ารู้ทุกอย่าง”
น้ำตาของพี่เยว่ถิงไหลรวมกับหยาดน้ำฝน
ใบหน้า มิรู้ว่ากำลังยิ้มหรือร้องไห้
“ใช่แล้ว ในเมื่อท่านรู้แล้วว่าพี่ชายมิได้ตัดความสัมพันธ์กับท่าน เหตุใดยังคิดสั้นเช่นนี้เล่า? พี่เยว่ถิง รีบกลับมาเถิด อย่าทำให้ข้ากลัวเลย”
แต่นางกลับส่ายหน้า ใบหน้าประดับไว้ซึ่งรอยยิ้ม
เสมือนดอกไม้ที่ใกล้จะโรยรายเต็มที
“ข้ารู้ว่าพี่หนานเซิงไม่มีวันรังเกียจข้าเพราะเรื่องนี้ แต่เจ้ารู้อะไรหรือไม่? เนื้อหาในจดหมายเป็นความจริงทุกประการ ข้า…กลายเป็นตัวตลกแห่งต้าจิ้น แต่พี่หนานเซิงเป็นวีรบุรุษผู้พียบพร้อม ข้าไม่อาจทำให้เขาต้องอับอายเพราะข้า”
เยว่ถิงยิ้ม ก่อนจะหมุนตัว
“ไม่นะ…”
หลินเมิ้งหยาพุ่งตัวเข้าไป คิดจะดึงเยว่ถิงกลับมา
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเยว่ถิงจะเร็วกว่า ร่างซูบผอมในชุดสีขาวกระโดดลงหน้าผา
“ไม่นะ…”
ริมขอบหน้าผา หลินเมิ้งหยาและเยว่ฉีส่งเสียงร้องปานคนกำลังจะขาดใจ
หัวใจของหลินเมิ้งหยาเสมือนถูกกรีด ดวงตาจ้องมองเยว่ถิงที่หายลับไปจากแนวสายตาของตนเอง
ยื่นมือทั้งสองข้างออกไป ราวกับว่าจะสามารถจับตัวเยว่ถิงเอาไว้ได้
แม้แต่ชิงหูที่เป็นยอดฝีมือยังเข้าไปช่วยเอาไว้ไม่ทัน
หญิงสาวผู้อ่อนโยน สง่างาม ฉลาดเฉลียว นำเอาความรักของพี่ชายกระโดดลงหน้าผาไปด้วย
“พี่เยว่ถิง…”
หลินเมิ้งหยาจ้องตาไม่กระพริบ มุมปากมีเลือดไหลออกมา
“พี่หลิน”
“นายหญิง”
“พี่สาว”
“เจ้าเด็กน้อย”
ทุกคนตกตะลึงมองทางหลินเมิ้งหยา
แต่กลับเห็นร่างบางตัวอ่อนยวบลงในอ้อมกอดของชิงหู
สายฝน… ตกกระหน่ำมากกว่าเดิม