เล่มที่ 6 บทที่ 166 พบหน้าครั้งแรก

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

เซี่ยยวี่หลัวทำปลาตุ๋นน้ำแดงสองตัว บนจานแบนใบใหม่ที่ถูกแต่งแต้มด้วยดอกเหมยสีชมพูหนึ่งกิ่ง ปลาใหญ่สองตัวถูกตุ๋นจนหนังเปื่อย แต่งสีด้วยซีอิ๊ว เพิ่มรสชาติด้วยพริกแห้งสีแดง เมื่อตักขึ้นมา โรยด้วยต้นหอมสีเขียวมรกตที่หั่นเป็นชิ้นเล็กไว้

สีแดงและสีเขียวแทรกสลับกัน ไม่ต้องกิน แค่สูดดมกลิ่น มองดูสีสัน ก็ทำให้รู้สึกอยากกลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้

ถั่วแขกนั้นเด็ดมาจากสวนหลังบ้าน พริกหยวกก็เด็ดมาจากสวนหลังบ้าน รอให้ผ่านเดือนห้า เมื่อเข้าเดือนหก ผักที่ปลูกไว้ในสวนหลังบ้านก็มีมากจนกินไม่หมดแล้ว

ถั่วแขกผัดแห้ง เด็กสองคนล้วนชอบกิน ใส่พริกหยวกครึ่งลูกเพื่อเพิ่มรสชาติ จากนั้นเซี่ยยวี่หลัวจึงทำน้ำแกงไข่

ใช้ไข่สามฟอง ตีไข่ให้เข้ากัน ทอดไข่ครู่หนึ่ง แล้วจึงใช้กระบวยน้ำเต้าตักน้ำเย็นมาใส่สองกระบวย รอจนน้ำเดือด ใส่เกลือ ซีอิ๊ว และสุราขมเล็กน้อยเพื่อปรุงรสชาติ ตักขึ้นมาแล้วโรยด้วยต้นหอมที่หั่นไว้ กับข้าวสองอย่างและน้ำแกงหนึ่งอย่างที่เรียบง่ายและอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการก็เสร็จแล้ว

พรุ่งนี้ท่านลุงสี่จะไปในตัวเมือง นางไปหาท่านลุงสี่ให้ช่วยซื้อเนื้อหมูสองจิน จะทำหมูตุ๋นน้ำแดงใส่หน่อไม้ให้เด็กๆ กิน แล้วจึงทำน้ำแกงเนื้อหมู และผัดผักอีกหนึ่งอย่าง ก็เพียงพอแล้ว

เซี่ยยวี่หลัวยกอาหารไปวางบนโต๊ะ เก็บกวาดห้องครัวครู่หนึ่ง เด็กสองคนยังไม่กลับมา ปกติเด็กสองคนจะไม่รอจนเย็นขนาดนี้

อย่างไรก็ยังเป็นเด็ก ยิ่งไปกว่านั้น ข้างหมู่บ้านก็เป็นแม่น้ำ แม้ว่าเด็กสองคนจะเชื่อฟังไม่ไปริมแม่น้ำ แต่เซี่ยยวี่หลัวก็ยังรู้สึกเป็นห่วง ใช้ฝาชีที่นางทำขึ้นจากไม้ไผ่สานครอบไว้ คิดจะไปหาเด็กสองคน

ฝาชีนี้เซี่ยยวี่หลัวทำขึ้นเอง ใช้ไม้ไผ่สานเป็นโครง หลังจากสานเสร็จก็คลุมผ้าโปร่งระบายอากาศไว้ด้านบน ทำเป็นฝาชีแบบง่าย ป้องกันยุงและแมลง ทั้งสะดวกและสะอาด

เซี่ยยวี่หลัวเพิ่งเดินถึงตรงประตูบ้าน ก็พบว่านางยังใส่เสื้อกันเปื้อนที่ใส่ตอนทำอาหาร จึงเดินไปพลางถอดไปพลาง

“พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่…”

เสียงตื่นเต้นดีใจของเซียวจื่อเซวียนดังขึ้นจากด้านนอก เด็กสองคนกลับมาแล้ว!

นางรีบเปิดประตูใหญ่ พลางถอดผ้ากันเปื้อนออก ก้มหน้าลง ยิ้มพร้อมกล่าว “เจ้าลิงแสนซนทั้งสอง ไปวิ่งเล่นถึงที่ไหนกัน รีบไปล้างมือ กินข้าวได้แล้ว! “

เซียวยวี่เงยหน้า เห็นเซี่ยยวี่หลัวยืนอยู่หน้าประตูกล่าวด้วยรอยยิ้ม นางกำลังถอดผ้ากันเปื้อนที่แขวนอยู่บนคอ ก้มหน้าเล็กน้อย ไม่เห็นว่าเขามาแล้ว

เซียวจื่อเมิ่งตะโกนเสียงใส “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ พี่ใหญ่กลับมาแล้ว พี่ใหญ่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ! “

เซี่ยยวี่หลัวกำลังจะถอดเสื้อกันเปื้อนออกจากคอ พอเซียวจื่อเมิ่งตะโกน มือของนางที่กำลังถอดเสื้อกันเปื้อนพลันหยุดชะงัก หันมองไปด้านหน้าด้วยอาการเหม่อลอย

หมู่บ้านเล็กๆ ที่ปกติเงียบสงบ แทบจะถูกแช่แข็งในทันใด

เซี่ยยวี่หลัวถึงกับตะลึงงัน

ที่แท้ ท่านราชบัณฑิตน้อยที่จะมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้าในอนาคต ก็มีหน้าตาเช่นนี้เอง

ท่านราชบัณฑิตน้อยในยามนี้อายุเพียงสิบเจ็ดปี แต่ตัวกลับสูงมากแล้ว เซี่ยยวี่หลัวยืนอยู่บนบันไดขั้นที่สามตรงประตูใหญ่ ยังต้องแหงนหน้ามองเขา

เซียวยวี่รูปร่างผอมบาง สวมใส่ชุดตรงสีเทาที่ผ่านการซักจนขาวซีด แนบติดกับตัว เผยให้เห็นรูปร่างของเขาที่แม้จะผอมบางแต่ก็ดูแข็งแรง

เวลานี้พระอาทิตย์ตกดินแล้ว แสงตะวันรอนค่อยๆ หายไป มีเพียงเมฆสีแดงเพลิงที่ยังฉายแสงอยู่ตรงขอบฟ้า ประหนึ่งเครื่องแก้วสีแดงเพลิงชั้นดี

เซียวยวี่อุ้มเซียวจื่อเมิ่งไว้ ยืนอยู่ไม่ห่างนัก หันมองมาทางนี้เช่นกัน

นัยน์ตาสีดำสนิทดุจน้ำหมึกฉายประกายเจนจัดและนิ่งขรึมที่ดูจะไม่เข้ากับอายุของเขา เพียงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ก็ราวกับเป็นน้ำค้างหนาวเหน็บหิมะเย็นยะเยือก ทำให้ผู้อื่นไม่กล้ามอง

ที่แท้ สิ่งที่เรียกว่ารักแรกพบนั้น สิ่งแรกที่ชอบพอก็คือรูปลักษณ์ภายนอก

เซี่ยยวี่หลัวยอมรับว่า รูปลักษณ์หน้าตาของเซียวยวี่ผู้นี้ นับได้ว่าเป็นบุรุษที่หล่อเหลามาดเข้มที่สุดในบรรดาบุรุษทั้งหมดที่นางเคยพบตั้งแต่มายังโลกใบนี้ หากซ่งฉางชิงจากเซียนจวีโหลวอยู่ข้างกายเขา ก็ยังด้อยกว่าเล็กน้อย

เพียงแต่ คนหนึ่งเข้มงวดเย็นชา ส่วนอีกคนหนึ่ง ถึงแม้ดวงหน้าจะนิ่งขรึม กลับแฝงเร้นด้วยความอบอุ่นเสี้ยวหนึ่ง เซียวยวี่ในยามนี้ ยังไม่ใช่ท่านราชบัณฑิตน้อยที่โหดเหี้ยมอำมหิต และเหลี่ยมจัดผู้นั้น

เขาที่ยังมีอายุเท่านี้ ยังไม่ได้เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงมากนัก ยังคงมีความใสซื่อบริสุทธิ์และจิตใจดีเหมือนในช่วงเยาว์วัย

เซี่ยยวี่หลัวมองอยู่ครู่หนึ่ง ตกอยู่ในภวังค์เหม่อลอยเล็กน้อย

เซียวยวี่เห็นนางจ้องมองเขาเช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ฉายประกายไม่พอใจเล็กน้อย เซี่ยยวี่หลัวเห็นเข้า นางจึงตั้งสติ แอบด่าตัวเองอย่างอดไม่ได้ เจ้าเป็นคนที่เคยผ่านโลกมามากแล้ว หนุ่มหล่อแบบไหนบ้างที่ไม่เคยเห็น เขาก็เป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง กลับมองจนเหม่อเสียได้

เซี่ยยวี่หลัวจับผ้ากันเปื้อนไว้แน่น ขยับตัวออกด้านข้าง ยิ้มพร้อมกล่าว “กลับมาแล้วงั้นหรือ? รีบล้างมือกินข้าวเถอะ! “

กล่าวจบ ก็เดินนำเข้าไปในลานบ้านก่อน

เซียวยวี่ขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ถึง ว่ากลับบ้านมาพบหน้าเซี่ยยวี่หลัวในครั้งแรก จะได้เห็นนางยิ้มให้เขา

ตั้งแต่มาถึงหมู่บ้านสกุลเซียว รอยยิ้มของนางก็หาได้ยากนัก เขาแต่งงานกับนางมาหลายเดือน กลับไม่เคยเห็นนางยิ้มแม้แต่ครั้งเดียว คิดไม่ถึงว่าพอกลับบ้าน นางก็ยิ้มแล้ว

เซียวยวี่ยิ้มอย่างเย็นเยียบ นางคงคิดว่าเขาสอบได้ดีมากกระมัง

จำได้ว่าคืนก่อนที่เขาจะออกเดินทาง นางมองเขาด้วยท่าทางสูงส่งและหยิ่งยโส ราวกับว่าเป็นผู้มีตำแหน่งเหนือกว่าผู้อื่นมาแต่กำเนิด วาจาที่กล่าวออกมาก็เสียดแทงจิตใจ

เซี่ยยวี่หลัวกล่าวว่า หากเขาสอบผ่านได้เป็นซิ่วไฉ เช่นนั้นนางจะยอมฝืนใช้ชีวิตกับเขาดีๆ

นางจะยอมฝืนใช้ชีวิตกับเขา

บางทีนางคงคิดว่าเขาสอบผ่าน ตอนนี้คงกำลังฝืนใช้ชีวิตกับเขาอยู่กระมัง!

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความรู้สึกดีใจตอนที่เซียวยวี่ได้พบเด็กสองคนก็ลดลงไปสามส่วน รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหายไป สาวเท้าเดินเข้าไปประตูบ้านที่คุ้นเคย

เมื่อมาถึงในลานบ้าน ก็ผงะไปอีก

หรือเขาจะเดินเข้าผิดบ้าน?

ลานบ้านเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน ข้าวของที่เคยวางระเกะระกะอยู่ตรงมุมกำแพงก็ถูกเก็บกวาดหมดแล้ว แต่กลับมีกระถางวางไว้แทน ในกระถางปลูกดอกไม้และต้นไผ่ไว้ แต่งแต้มให้ลานบ้านที่เรียบง่ายมีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย

นี่ยังไม่ใช่จุดที่น่าตกตะลึงที่สุด

เรื่องที่ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงที่สุด คือภายในบ้าน มีเรือนหลังคากระเบื้องสองห้องเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรกัน? ตอนเขาไปยังไม่มี

เขามองเรือนหลังคากระเบื้องสองห้องด้วยอาการเหม่อลอย ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

เซียวจื่อเซวียนเห็นพอดี จึงยิ้มพร้อมกล่าว “พี่ใหญ่ นั่นคือเรือนหลังใหม่ที่พี่สะใภ้ใหญ่ปลูกให้ท่านขอรับ ในนั้นมีห้องหนังสือ และมีห้องนอน เป็นของใหม่ทั้งหมด! ห้องเดิมของท่าน ข้าย้ายไปนอนแล้วขอรับ”

เซี่ยยวี่หลัวล้างชามกับตะเกียบชุดใหม่จากห้องครัว ชามกับตะเกียบเดิมที่มีรอยแตก นางทิ้งไปหมดแล้ว เปลี่ยนเป็นชามกับตะเกียบที่มีลายดอกเหมยแทน บนนั้นแต่งแต้มด้วยดอกเหมยสีแดง ถึงแม้จะเป็นเครื่องกระเบื้องอย่างหยาบ แต่ก็ดูเก่าแก่โบราณและงดงาม ดูดียิ่งนัก

เมื่อเห็นสองพี่น้องเซียวยวี่ยืนอยู่ข้างนอก นางกล่าวอะไรบางอย่างกับเซียวจื่อเมิ่ง ก่อนหันตัวเดินเข้าไปในห้องโถง

เซียวจื่อเมิ่งตะโกนเรียกเสียงใส “พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สะใภ้ใหญ่เรียกให้พวกท่านไปกินข้าวได้แล้ว! “

เดิมทีเซียวจื่อเซวียนคิดอยากพาเซียวยวี่เข้าไปดูก่อน เพิ่งนึกขึ้นได้ ว่าควรกินข้าวแล้ว พี่ใหญ่เดินมานานถึงเพียงนี้ ต้องหิวแล้วแน่ จึงจูงมือเซียวยวี่ “พี่ใหญ่ พวกเราไปกินข้าวกันก่อนเถอะขอรับ! “

กล่าวจบ ก็พาเซียวยวี่ที่อยู่ในอาการเหม่อลอยไปห้องครัว ในอ่างล้างมือมีน้ำใส่ไว้กว่าครึ่งอ่าง สบู่วางอยู่ข้างๆ เซียวจื่อเซวียนถูมือเสร็จ ก็ยื่นให้เซียวยวี่ “มา พี่ใหญ่ ล้างมือขอรับ”

เซียวยวี่มองสบู่ก้อนนั้นด้วยอาการเหม่อลอย

สบู่นี่ปกติมีแต่บ้านคนรวยถึงจะใช้กัน และยังใช้อาบน้ำ คนทั่วไปใครจะนำมาล้างมือกัน?

เซียวจื่อเซวียนยิ้ม “พี่ใหญ่ สบู่นี่พี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนทำเองขอรับ”

สบู่นี่เซี่ยยวี่หลัวเป็นคนทำเองจริงๆ

ตอนนางซื้อเนื้อหมูในตัวเมือง เห็นตับอ่อนหมู ก็นึกขึ้นได้ว่านางเคยเห็นสูตรการทำสบู่รูปแบบหนึ่ง จึงซื้อมาหนึ่งชิ้น ล้างเลือดสกปรกในตับอ่อนจนสะอาด กำจัดไขมันแล้วบดจนเหลว จากนั้นจึงใส่แป้งถั่วเหลืองและเครื่องหอม เมื่อผสมจนเข้ากันแล้ว ปล่อยให้แห้งตามธรรมชาติก็กลายเป็นสบู่ตับอ่อนหมู

เมื่อก่อนเซี่ยยวี่หลัวเคยใช้สบู่ทำมือมาไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ทำสบู่จากตับอ่อนหมู แต่ก็ไม่ต่างจากสบู่ทำมือมากนัก ตับอ่อนหมูมีสัมผัสนุ่มละเอียด กำจัดสิ่งสกปรกได้ดี อ่อนโยนไม่ทำร้ายผิวหนัง สามารถป้องกันไม่ให้มือเย็นจนผิวแตก ทั้งยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง ไม่ด้อยกว่าสบู่ในยุคปัจจุบันที่เซี่ยยวี่หลัวเคยใช้เลย

นางทำไว้สิบกว่าก้อน สบู่ที่ใช้ล้างมือและอาบน้ำในบ้านล้วนใช้สิ่งนี้ ในภายหลังนางทำจนช่ำชอง จึงผสมน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ลงไปไม่น้อย ทั้งหอมทั้งใช้ได้ดี

แน่นอนว่า ก้อนที่ใส่น้ำหวานจากเกสรดอกไม้ปกติจะใช้อาบน้ำ

สบู่ที่มีแต่บ้านคนร่ำรวยเท่านั้นถึงจะใช้ได้ เซี่ยยวี่หลัวกลับทำเป็น? นอกจากนั้น ยังใช้อย่างฟุ่มเฟือยถึงขั้นนำมาล้างมือ?

ภายในใจเซียวยวี่รู้สึกตกตะลึงยิ่งนัก

ล้างมือสะอาดแล้ว จึงตามเซียวจื่อเซวียนมายังห้องที่เคยเป็นห้องนอนของเขา