ตอนที่ 233 เล่นเกม

จิ่งเป่ยเฉินนั่งดูเธอผล็อยหลับไป ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง

ไม่กี่นาทีต่อมา เขาก็กลับมาพร้อมกับโน้ตบุ๊กและหูฟังที่เอามาจากห้องของตัวเอง ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ โซฟาใกล้ ๆ เตียงเหมือนเช่นเคย เขาเปิดโน้ตบุ๊กและวางไว้บนตักของตัวเอง พร้อมกับใส่หูฟัง มือขยับลงไปบนแป้นพิมพ์ นิ้วที่ขาวและเรียวยาวค่อย ๆ ขยับเคาะลงไปที่แป้นพิมพ์เรื่อย ๆ

ถึงแม้จะจดจ่ออยู่กับหน้าจอตรงหน้า แต่เขาก็ยังคงเงยหน้าขึ้นมาเป็นครั้งคราวและมองดูเธออย่างเงียบ ๆ อยู่หลายวินาที ก่อนจะก้มหน้าลงและทำงานต่อ

เมื่ออันโหรวตื่นขึ้นมา น้ำเกลือของเธอที่หมดพอดี ส่วนจิ่งเป่ยเฉินก็ยังคงนั่งอยู่ข้างเตียงโดยมีโน้ตบุ๊กวางอยู่บนตัก และเขาก็กำลังใจจดจ่ออยู่กับการพิมพ์ลงบนแป้นพิมพ์อย่างตั้งใจ

“เป่ยเฉิน!”

อันโหรวรู้สึกตกใจ ทำไมจู่ ๆ เธอถึงได้พูดคำพวกนี้ออกมา?

เธอไม่ทันรู้สึกตัวเองเท่าไร แต่เมื่อเห็นเขา เธอก็โพล่งคำพูดนั้นออกมา

จิ่งเป่ยเฉินเมื่อได้ยินเสียงของเธอ หัวใจก็แทบจะเต้นกระโจนออกมา นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเธอพูดชื่อเขาแบบนั้น แม้จะรู้สึกแปลกใจ แต่หัวใจของเขากลับมีความรู้สึกท่วมท้นอย่างน่าประหลาด

เขาแทบไม่สนใจงานตรงหน้าอีกต่อไป ก่อนจะปิดโน้ตบุ๊กลงทันทีและเดินไปหาเธอ “รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม?”

“ดีขึ้นเยอะเลย แต่ว่านายทำอะไรอยู่? แถมยังใส่หูฟังอีก!” ภายใต้ความทรงจำของเธอ เธอแทบไม่เคยเห็นเขาทำแบบนี้มาก่อนเลย ต่อให้จัดประชุมระหว่างต่างประเทศด้วยวิดีโอก็ตาม เขามักจะปล่อยและไม่ใส่หูฟังเลย

“เล่นเกม” เขาเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของเธอและพูดขึ้นว่า “อืม ไม่ร้อนแล้ว!”

“นายเล่นเกมเนี่ยนะ? เกมอะไร?” ทำไมเธอไม่เห็นจะรู้เลยว่าเขาชอบเล่นเกม?

แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ

“เกมที่เธอเล่นไม่ได้” เขาดึงมือกลับพลางพูดต่อ “กลางวันอยากกินอะไร!”

“เนื้อ……”

“เนื้อฉันเหรอ?”

“เนื้อหมู นายเป็นหมูหรือไง?” เธอตอบกลับโดยเอาคืนเขาทันที

จิ่งเป่ยเฉินเผยรอยยิ้มขึ้น ก่อนจะพูดเบา ๆ ไปว่า “ถ้าเธอเต็มใจที่จะกิน ฉันก็โอเคนะ”

ด้านนี้ที่ดูมีความสุข แต่ฉีเซิงเทียนที่อยู่บริษัทตระกูลจิ่งกำลังเรียกเขาอยู่หลายครั้ง โดยไม่มีการตอบกลับจากจิ่งเป่ยเฉิน ปล่อยให้เขาดูเพียงกราฟเส้นสีเหลือง ม่วง เขียว

“พี่เฉิน” นี่จู่ ๆ พี่หายไปไหนกันเนี่ย! ช่วยทำตัวเป็นผู้นำที่ดีหน่อยสิ! ฉีเซิงเทียนมองไปที่กราฟหุ้นของตระกูลเหลียว สิบนิ้วพิมพ์ลงบนคีย์บอร์ดอย่างรวดเร็วพร้อมพูดกำชับ “กดสิ! กดต่อ มีทิ้งก็ซื้อเข้ามาได้!”

“ไม่ว่าจะทิ้งมันเท่าไร ก็ซื้อมันให้เยอะ ๆ ไปเลย!” ฉีเซิงเทียนพยายามจะคุยกับจิ่งเป่ยเฉินอีกรอบ “พี่เฉิน พี่เฉิน พี่อยู่ไหมเนี่ย?”

เขาหันหน้ามองไปที่ท้องฟ้า ตอนนี้กลางวันแสก ๆ เขาทำอะไรอยู่กันนะ?

“พี่เฉิน ผมช่วยถ่ายทอดคำพูดพี่ออกไปแล้วนะ…….” แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับจากจิ่งเป่ยเฉินแต่อย่างใด นี่เขาถูกขังอยู่ในห้องลงโทษหรือยังไง?

ช่างมันละกัน จิ่งเป่ยเฉินที่คิดจะทำลายตระกูลเหลียว เมื่อครู่เพิ่งพูดออกไปว่าถ้าหากใครกล้ายื่นมือช่วยเหลือสกุลเหลียวละก็ จะถือว่าเป็นศัตรูกับเขาทันที ในเมื่อเขาพูดแบบนี้จะมีใครกล้าช่วยกัน?

คงทำได้แค่มองดูว่าโอวหยางลี่จะยังคงหลงเหลือความรู้สึกต่อเหลียวเว่ยหรือเปล่า ไม่ว่าเขาจะยื่นมือออกมาหรือไม่ ข้อมูลลูกค้าคนสำคัญของสกุลเหลียวก็จะถูกเปิดเผย อีกทั้งบริษัทอื่น ๆ ต่างก็ถูกบริษัทจิ่งฮุบปล้นเข้าเป็นพันธมิตรจนหมดแล้ว

ไม่ว่าโอวหยางลี่จะใส่เงินเข้าไปเยอะแค่ไหนก็เป็นเพียงแค่เงินที่เสียไปอย่างเปล่าประโยชน์ ตอนนี้สกุลเหลียวคล้ายกับหลุมที่ถูกขุดฝังลึก แน่นอนว่าเป็นที่ไม่น่าพึงพอใจ

ทางด้านของฉีเซิงเทียนที่ตอนนี้ไม่อาจจะรอคำตอบของจิ่งเป่ยเฉินได้ ก็ตัดสินใจลงมือด้วยตัวเอง

แม้ว่าอันโหรวจะจำคำพูดของจิ่งเป่ยเฉินที่เอ่ยถามเธอเมื่อไม่กี่วันก่อนได้ว่าจะทำให้ตระกูลเหลียวหายไป แต่วันนั้นเธอกลับกำลังเกิดอาการเวียนหัวจนไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรไปบ้าง จึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

หลังจากที่พักผ่อนที่บ้านเป็นเวลากว่าสี่วัน วันนี้เธอก็สามารถกลับไปทำงานกับจิ่งเป่ยเฉินได้แล้ว

เมื่อเธอมาถึงห้องทำงานของตัวเอง หลินจือเซี๋ยวก็รีบพุ่งเข้ามาที่ห้องทันที ก่อนจะมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าและพูดว่า “โหรวโหรว เธอเป็นหวัดอย่างนั้นเหรอ?”

“ดีขึ้นแล้ว ไม่อย่างนั้นจะมาที่บริษัททำไมกัน?” เธอนั่งลงอย่างเป็นธรรมชาติ หลายวันมานี้ต้องลำบากให้ฉีเซิงเทียนกับหลินจือเซี๋ยวคอยช่วยอยู่เรื่อย

ใครจะไปรู้ว่าจิ่งเป่ยเฉินจะอยู่ที่บ้านกับเธอ แม้ว่าเธอจะอ่านหนังสือ ส่วนเขาก็ดูคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้ใส่หูฟัง ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่เกือบทุกครั้ง

“ตอนนี้ด้านนอกเริ่มคึกคักขึ้นมาแล้ว!” หลินจือเซี๋ยวช่วยเก็บเอกสารบนโต๊ะของเธอให้อย่างเรียบร้อย “คาดว่าตระกูลเหลียวคงไม่น่ารอดเกินวันนี้!”

เธอหยุดมือลงไปชั่วขณะ “เธอหมายถึงเหลียวเว่ย?”

“นอกจากเธอแล้วจะมีใครอีก ไม่มีทางเป็นคนอื่นได้หรอก!” หลินจือเซี๋ยวมองด้วยความชื่นชม “ตอนนี้ถูกบิ๊กบอสวางแผนเอาไว้หมดแล้ว”

หลังจากที่อันโหรวได้รู้จากปากของหลินจือเซี๋ยวว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงที่เธอป่วย ในค่ำคืนวันที่สองหลังจากเธอป่วย จิ่งเป่ยเฉินก็ได้เริ่มซื้อหุ้นของสกุลเหลียวในปริมาณที่มากพอสมควร มีเท่าไรก็ถูกกวาดซื้อจนหมด ทำเอาตลาดหุ้นเกิดความปั่นป่วนขึ้นมาทันที

ทางด้านนักลงทุนของสกุลเหลียวก็เริ่มที่จะถอนตัว หุ้นส่วนที่สำคัญของทางสกุลเหลียวที่ร่วมมือกันมาก็ถูกฉกชิงไป ในเมื่ออีกฝ่ายเริ่มที่จะลงมืออย่างตรง ๆ ทางพวกเขาเองก็เริ่มที่จะหยุดให้

หากเขากล้าที่จะช่วยสกุลเหลียวละก็ ต้องกลายเป็นศัตรูกับเขาทันที เพราะงั้นนักลงทุนจึงรีบทิ้งหุ้นของสกุลเหลียวออกทีละหุ้น ทำให้สกุลเหลียวเกิดสภาวะขาดเงินลงทุนในจุดห่วงโซ่ที่ขาดแคลนอย่างรุนแรง ไม่มีใครหน้าไหนกล้าบ้าบิ่นพอที่จะอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนเข้าไปเลย แม้แต่กลุ่มโอวหยางกรุ๊ปเองก็ไม่มีแม้แต่ข่าวความเคลื่อนไหว

เหมือนกับว่าตระกูลโอวหยางกับตระกูลเหลียวไม่ได้เกี่ยวข้องกัน

ไม่เพียงแค่นั้น เมื่อก่อนตระกูลเหลียวถูกค้นพบโดยฝ่ายควบคุมสินค้าว่ามีสินค้าหลายอย่างที่ไม่ได้มาตรฐาน หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และข่าวในโลกอินเทอร์เน็ต รวมถึงสื่อข่าวต่างๆ ต่างก็ติดตามรายงานอยู่ทุกวัน มีการถกเถียงพูดคุยกันว่าตระกูลเหลียวจะอยู่ได้นานแค่ไหน

“ตระกูลเหลียวที่สามารถอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากแล้ว” ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจเรื่องราวแล้วว่าทำไมถึงได้เกิดเรื่องมหัศจรรย์แบบนี้ขึ้น

เพราะว่าตอนนั้นเธอมักจะขัดจังหวะจิ่งเป่ยเฉินอยู่เรื่อย ตอนที่เธอตื่นขึ้นมา พอเธอเรียกเขา เขาก็รีบวางโน้ตบุ๊กลงและอยู่มาเป็นเพื่อนเธอ

เธอไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าเขากำลังทำเรื่องนี้อยู่ ตอนที่เขาบอกว่าเขาเล่นเกมอยู่ เธอก็นึกว่าเขาน่าจะเล่นพวกเกมไพ่แลนด์ลอร์ด หรือไพ่นกกระจอกอะไรพวกนั้น

ใครจะคิดว่าเล่นเกมของเขาจะเป็นเรื่องแบบนี้กัน

“คืนนั้นเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นหรือเปล่า?” จนถึงตอนนี้เธอยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ทางตระกูลโอวหยางเองก็แทบจะไม่ปล่อยข่าวออกมาเลยสักนิดเดียว

ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าจิ่งเป่ยเฉินสับเปลี่ยนเครื่องสำอางของเธอ “อืม น่าจะอีกนิด ใกล้ที่จะถูกเปิดโปงแล้ว”

“ถ้าไม่ก็ดีแล้ว แต่ไม่ต้องห่วงหรอกถ้าหากถูกเปิดโปงขึ้นมา บิ๊กบอสก็จะแบกมันเอาไว้แทนเธอแน่นอน!” เธอเลิกคิ้วและยิ้มให้ “ดูเหมือนว่าตอนนี้โอวหยางลี่แทบจะไม่ช่วยเหลือเหลียวเว่ยเลยนะ อีกไม่นานสกุลเหลียวก็คงจะกลายเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เมือง A แน่ ๆ!”

“อืม” เธอตอบกลับอย่างเรียบเฉย ก่อนที่คิดจะไปหาจิ่งเป่ยเฉินสักรอบ

เมื่อเธอไปถึงห้องทำงานของเขา ตอนนี้เขายังคงจ้องมองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า เธอหัวเราะขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะพูดว่า “เล่นเกมอีกแล้วเหรอ?”

“ศัตรูอ่อนแอเกินไป ไม่น่าสนใจเลย น่าเบื่อมาก!” เขายิ้มบาง ๆ ก่อนจะมองไปที่เธอที่กำลังเดินเข้ามา “เป็นหลินจือเซี๋ยวหรือฉีเซิงเทียน? มีเรื่องเยอะขนาดนั้นเลย?”

“หรือว่านายคิดว่าเรื่องใหญ่แบบนี้จะปิดบังฉันได้งั้นเหรอ? จะจัดการอย่างเงียบ ๆ โดยที่ฉันไม่รู้?” เธอวางแฟ้มเอกสารลงตรงหน้าเขา ก่อนจะพลิกไปหน้าที่ต้องเขาเซ็นชื่อ “ไม่สามารถให้นายลงมือได้จริง ๆ ไวเกินไปจนไม่รู้สึกถึงความสำเร็จ”

“เธออยากเล่นช้า ๆ ? ก็ไม่น่าใช่นะ……”

“ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้” เธอพูดตัดบทเขาพลางชี้นิ้วไปยังที่ว่าง “ตระกูลเหลียวไม่สำคัญ ฉันไม่จำเป็นต้องมาสนใจ ตามที่เธอพูด เธอจงใจดึงฉันลงไป แถมยังแย่งคู่หมั้นฉันไปอีก ความแค้นนี้ต้องเอาคืนให้สาสม!”

“ถ้างั้นก็ทิ้งมันไว้สักวันเถอะ คิดซะว่าเป็น…..” เขาหยิบปากกามา ก่อนจะลูบไปที่หลังมือของเธอ “ขอบคุณที่พวกเธอไม่ได้แต่งงานกัน”

“เหลียวเว่ยจะต้องเกลียดนายจนตายแน่ ๆ!” เธอดึงมือกลับก่อนจะไพล่ไปด้านหลังเพราะเริ่มรู้สึกคัน

จิ่งเป่ยเฉินเซ็นสัญญาลงนาม ก่อนจะพูดอย่างใจเย็นว่า “ฉันเกลียดยิ่งกว่าเธอเกลียดอีก”

เมื่อเธอได้ฟังก็แทบพูดอะไรไม่ออก