บทที่ 142 ว่างเปล่า เดียวดาย และเหน็บหนาวในคืนก่อนเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

“เจ้าคิดว่ากับอีแค่รางวัลขี้ปะติ๋วจะทำให้ข้ายอมใจอ่อนเข้าร่วมงานรึ” ปู้ฟางยืนหลังตรงแหน็ว มองโอวหยางซงเหิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง

โอวหยางซงเหิงประหลาดใจไปชั่วขณะ “สมแล้วที่เป็นพ่อครัวที่แม้แต่ท่านจักรพรรดิยังทรงให้การยอมรับ ชายผู้นี้เป็นคนแน่วแน่ยึดมั่นในอุดมการณ์กว่าพ่อครัวธรรมดาทั่วไปยิ่งนัก ดูเหมือนว่าการเชิญให้เถ้าแก่ปู้มาร่วมงานต้องเป็นงานหินแน่ๆ” เขาคิด

“เถ้าแก่ปู้ ท่านจะไม่ลองคิดดูอีกครั้งจริงๆ หรือ นี่เป็นโอกาสที่จะทำให้ทุกคนได้ประจักษ์กับความสามารถในการทำอาหารของท่านนะ!” โอวหยางซงเหิงถามด้วยน้ำเสียงลังเลใจ

ปู้ฟางมองหน้าอีกฝ่ายแล้วกะพริบตาปริบๆ อยู่สักพัก จากนั้นเขาก็ถอนหายใจยาวออกมาพลางเอ่ยถาม “บอกข้ามาก่อนว่าหากชนะที่หนึ่งจะได้รางวัลอะไร”

“หือ อะไรนะ” โอวหยางซงเหิงฉีกยิ้มกว้างขณะมองปู้ฟาง “ยอมแพ้แล้วรึ ไอ้ความหัวแข็งก่อนหน้านี้หายไปไหนหมด ไหนบอกว่าเป็นคนยึดมั่นในอุดมการณ์ไม่สนใจทรัพย์สินเงินทองของมีค่าอย่างไรเล่า”

“แค่กๆ… เถ้าแก่ปู้ คืออย่างนี้นะ รางวัลของงานสมโภชร้อยครอบครัวในครั้งนี้ท่านจักรพรรดิจะทรงเลือกด้วยพระองค์เองจากคลังสมบัติหลวง เราจะรู้ก็ต่อเมื่อได้ผู้ที่ชนะแล้วเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ข้าจึงตอบท่านไม่ได้เช่นกัน… แต่ข้ายืนยันได้ว่าท่านจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน!” โอวหยางซงเหิงพูดด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ พร้อมตบหน้าอกตนเองเพื่อให้คำมั่น

ปู้ฟางหลุบตาลงต่ำแสร้งทำเป็นคิดทบทวนอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเขาก็เหลือบตาขึ้นมองโอวหยางซงเหิง “ก็ได้ ข้าจะเข้าร่วมด้วย”

เมื่อโอวหยางซงเหิงได้ยินว่าปู้ฟางตกลงเข้าร่วมงานสมโภชร้อยครอบครัวในที่สุด ใบหน้าของแม่ทัพใหญ่ก็เบิกบานเหมือนดอกบ๊วยที่กำลังคลี่แย้ม

“สวรรค์โปรด หากเถ้าแก่ปู้เข้าร่วมงานจะต้องได้ที่หนึ่งแน่นอน! จึ๊ๆๆ อาหารของท่านนั้นอร่อยที่สุดเท่าที่ข้าเคยกินมาเลย อร่อยเสียยิ่งกว่าพ่อครัวหลวงด้วยซ้ำไป! คำเดียวเลยนะ สุดยอด!” โอวหยางซงเหิงยกนิ้วโป้งให้ปู้ฟางพร้อมเอ่ยชมไม่ขาดปาก

หากคนอื่นมาเห็นภาพนี้เข้า ย่อมต้องคิดว่าแม่ทัพผู้เกรียงไกรที่มีชื่อเสียงระบือไปทั่วอาณาจักรคนนี้ เป็นพ่อค้าเร่วัยกลางคนหิวทรัพย์อย่างแน่นอน

โอวหยางซงเหิงถอนหายใจยาวออกมาด้วยความโล่งอก เมื่อเถ้าแก่ปู้ตอบตกลงเช่นนี้ ก็แปลว่าภารกิจที่จักรพรรดิมอบหมายให้เขาทำสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

แม้กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้เขาต้องเจ็บปวดจนแทบจะขาดอากาศหายใจ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นก็ทำให้เขาพึงพอใจเป็นอันมาก ถึงเงินถุงลับที่แอบเก็บหอมรอมริบมาหลายเดือนจะถูกบุตรสาวถลุงไปจนหมดก็เถอะ…

ปู้ฟางมองส่งสมาชิกตระกูลโอวหยาง ก่อนจะเดินกลับเข้าครัวไป

เขาเป็นคนไม่ชอบความวุ่นวายทุกชนิด แต่ก็เป็นคนจริงจัง แน่นอนว่าปู้ฟางจริงจังกับการทำอาหารมากด้วยเช่นกัน ในเมื่อเลือกที่จะเข้าร่วมแล้ว เขาก็จะทำผลงานให้ดีที่สุด

ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงต้องตระเตรียมทุกอย่างให้พร้อม เพื่อจะได้ชนะรางวัลที่หนึ่งในงานสมโภชร้อยครอบครัวครั้งนี้

เมื่อเทศกาลฤดูใบไม้ผลิใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ถนนหนทางในนครหลวงก็เริ่มครึกครื้นขึ้นเป็นเงาตามตัว ทุกคนออกมาทำความสะอาดบ้านรับฤดูใหม่ นำกระดาษสีแดงเขียนคำกลอนวันปีใหม่มาประดับตกแต่ง ทำอาหารอร่อยๆ กินกันในครอบครัว เพื่อต้อนรับฟ้าใหม่ที่กำลังจะมาถึง

บรรดาพ่อค้าแม่ค้าในถนนสายหลักปิดร้านกันเร็วกว่าปกติ และรีบมุ่งหน้ากลับบ้านไปฉลองวันปีใหม่ที่ใกล้เข้ามากับครอบครัว

ควันหนาลอยล่องขึ้นบนฟากฟ้า ก่อนถูกลมปัดเป่าให้จางหายไปในอากาศ

เมื่อถึงยามค่ำ ดวงจันทร์สองดวงก็ลอยเด่นขึ้นบนฟ้า ดูเหมือนจานสีเงินสองใบที่ทอแสงสีเงินยวงอบอุ่นสะท้อนลงบนพื้นถนน

เด็กน้อยในชุดกันหนาวตัวหนาหลายคนวิ่งเล่นกันอยู่บนถนน แก้มเป็นสีแดงปลั่ง หายใจเป็นไอขาว ในมือถือโคมไฟส่องทาง พวกเขาวิ่งเล่นกันพล่าน เสียงหัวเราะทำให้บรรยากาศเงียบเหงาของตอนกลางคืนดูสนุกสนานขึ้นมาทันตา

บ้านหลังใหญ่ในนครหลวงต่างแขวนโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่เอาไว้ที่หน้าประตู บรรดาพ่อบ้านแม่บ้านและบริวารทั้งหลายต่างยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมเฉลิมฉลองเทศกาลวันปีใหม่

ในห้องครัวล้วนสาละวนกับการทำกับข้าวไฟลุกท่วม พร้อมด้วยเสียงผัดที่ดังเป็นจังหวะ และกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยตลบอบอวลอยู่ในอากาศนานสองนาน

อาหารหน้าตาน่ากินจานแล้วจานเล่าถูกลำเลียงมาวางบนโต๊ะ สมาชิกของแต่ละตระกูลมารวมตัวกันเพื่อพบหน้าค่าตาบนโต๊ะอาหารเย็น

บรรยากาศของเทศกาลฤดูใบไม้ผลินั้นครึกครื้นมีชีวิตชีวายิ่งนัก

ที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟาง ปู้ฟางยกไม้กั้นประตูออกแล้วก้าวออกจากร้านมา ตรอกนั้นเงียบสงัดไร้ผู้คน แม้แสงจันทร์จะดูอบอุ่นกว่าปกติ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความวังเวงในตรอกหายไปแต่อย่างใด

ชายหนุ่มลากเก้าอี้มาที่ทางเข้าร้านแล้วลดตัวลงนั่ง แม้วันนี้ร้านจะไม่เปิดขายแต่เขาก็ยังนั่งประจำอยู่ที่เดิม ลมหนาวพัดผ่านเข้ามาในร้าน พุ่งเข้าใส่หน้าจนชายหนุ่มต้องย่นคอ

ใต้แสงจันทร์เย็น ชายหนุ่ม เก้าอี้ และสุนัขอย่างละหนึ่ง ดูแปลกแยกจากบรรยากาศเฉลิมฉลองสนุกสนานโดยรอบอย่างสิ้นเชิง

ปัง!

ดอกไม้ไฟหลากสีสันลอยขึ้นไปในอากาศ ก่อนเบ่งบานราวกลีบดอกไม้สดสวยกลางท้องฟ้าสีดำสนิท

“สวยจัง” ปู้ฟางคิด

ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าติดๆ กันดังมาจากทางเข้าตรอก ปู้ฟางมองตามเสียงไปทันทีด้วยความงุนงง แล้วก็เห็นร่างสามร่างกำลังเดินเข้ามาใกล้

เซียวเยียนอวี่กับเซียวเสี่ยวหลงเดินจูงมือโอวหยางเสี่ยวอี้ที่ดูสนุกสนานร่าเริงเข้ามา คืนนี้เซียวเยียนอวี่ไม่ได้สวมผ้าคลุมหน้า จึงทำให้มองเห็นใบหน้าสวยหมดจดเหมือนนางฟ้าของนางได้แจ่มชัด ผิวของนางเป็นสีขาวนวลเนียนเหมือนน้ำนม ส่องประกายสวยภายใต้แสงจันทร์เรือง

“นายท่านตัวเหม็น พวกข้าเอาอาหารมาให้!” โอวหยางเสี่ยวอี้ยิ้มร่า

เซียวเยียนอวี่แผ่รังสีความเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์จากตระกูลผู้รากมากดีตามปกติ นางสวมชุดกระโปรงผ้าไหมตัวยาว ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง ขณะถือกล่องอาหารเอาไว้ในมือ

“จุ๊ๆ เถ้าแก่ปู้ กำลังชมดอกไม้ไฟอยู่รึ อารมณ์สุนทรีย์เชียวนะ! แต่ข้าก็ต้องยอมรับว่าจุดที่ร้านของท่านตั้งอยู่นั้นเหมาะกับการชมดอกไม้ไฟเสียจริงเชียว!” เซียวเสี่ยวหลงพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ลากเก้าอี้สามตัวออกมาจากภายในร้านเอามาตั้งไว้ที่ปากประตู แล้วหย่อนก้นลงนั่งข้างปู้ฟาง

ปู้ฟางมองทั้งสามด้วยสายตาตกใจ “เกิดอะไรขึ้นกัน เหตุใดสามคนนี้จึงต้องนำอาหารมาให้ข้า”

เซียวเยียนอวี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “พรุ่งนี้เป็นวันเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ และวันนี้ก็เป็นวันที่ครอบครัวจะมากินอาหารกันพร้อมหน้า แต่ดูเหมือนว่าเถ้าแก่ปู้จะอยู่คนเดียว เราจึงคิดว่าเถ้าแก่อาจจะเหงาก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้พวกเราทั้งสามคนจึงนำอาหารมากินด้วยกันที่นี่ ขนมนี้ท่านแม่ของข้าเป็นคนทำด้วยตัวเอง นางอยากมอบให้ท่านแทนคำขอบคุณ”

ขณะที่กำลังเอื้อนเอ่ย เซียวเยียนอวี่ก็ลดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ แล้วหยิบกล่องอาหารออกมาวางตรงหน้าปู้ฟาง

ทันทีที่เปิดฝากล่องอาหารออก กลิ่นหอมอ่อนๆ ก็ลอยออกมา แม้กลิ่นนั้นจะไม่รุนแรงเท่าอาหารของปู้ฟาง แต่ก็สดชื่นหอมหวนเช่นกัน

เซียวเยียนอวี่หยิบขนมหน้าตาสวยงามที่ประกอบด้วยชั้นแป้งประณีตหลายชั้นออกมา

“เอ้า เถ้าแก่ปู้ลองชิมชิ้นนี้ดู ท่านแม่ข้าเป็นคนทำด้วยตัวเอง” เซียวเยียนอวี่พูดด้วยรอยยิ้ม นางมองปู้ฟางพร้อมถือจานขนมเอาไว้ในมือ

ปู้ฟางมองคนทั้งสามด้วยสายตาจริงจัง รู้สึกอบอุ่นในหัวใจจนต้องยิ้มออกมา

จากนั้นเขาก็หยิบขนมชิ้นหนึ่งขึ้นมากัดเบาๆ แล้วดวงตาก็พลันสว่างขึ้นทันที รสชาติของขนมนี้อร่อยมาก หวานแต่ก็ไม่หวานจนเกินไป นอกจากนี้ยังละลายทันทีที่เข้าปาก และรสสัมผัสก็ดีงามมากอีกด้วย ไส้ข้างในยังคงอุ่นอยู่เล็กน้อย เป็นความอบอุ่นที่ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังกินน้ำผึ้งรสชาติหอมหวานลงตัว

“ไม่เลวเลยทีเดียว” ปู้ฟางเอ่ยปากชม ถึงจะอร่อยแต่ในความคิดของเขา ขนมนี้ยังมีข้อผิดพลาดอยู่หลายจุด

ดวงตาของเซียวเยียนอวี่เป็นประกายขึ้นมาทันที เป็นเรื่องยากมากที่จะได้ยินคำชมจากปากของปู้ฟาง ทั้งเซียวเสี่ยวหลงและโอวหยางเสี่ยวอี้ต่างหยิบขนมอบขึ้นมาคนละชิ้นแล้วยัดใส่ปากตัวเองเช่นกัน ทั้งสี่คนนั่งล้อมวงอิ่มเอมกับรสชาติแสนอร่อยของขนมหวาน

บรรยากาศอบอุ่นเริ่มขับไล่ความหนาวเหน็บในตรอกให้มลายหายไป

“เถ้าแก่ปู้ ลองชิมขนมอบสัปปะรดหัวใจหยกนี่ด้วยสิ!” สุดท้ายเซียวเยียนอวี่ก็หยิบขนมอีกชนิดหนึ่งออกมาจากกล่อง แล้วยื่นให้ปู้ฟางด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง

………………..