บทที่ 141 ทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าให้ราบเป็นหน้ากลองเลย พ่อหนุ่ม!

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

“ซู้ด!”

โอวหยางซงเหิงลูบเคราตนเอง ขณะคีบเส้นบะหมี่ขึ้นมายัดใส่ปาก แม้หน้าตาของบะหมี่แห้งคลุกจะดูน่าละเหี่ยใจเมื่อเทียบกับเนื้อตุ๋นตำรับจีนและซี่โครงเปรี้ยวหวาน… แต่ถึงอย่างไรเขาก็เสียเงินซื้อมันมา!

“โอ้!” รสชาติเข้มข้นของเส้นบะหมี่คลุกระเบิดในปากทันที ทำให้ดวงตาของโอวหยางซงเหิงเบิกกว้างด้วยความตกใจ เขาสูดบะหมี่เข้าปากแรงขึ้นอีกจนเส้นบะหมี่ไหลเข้าไปพร้อมเสียงดังซู้ด

ซอสที่เคลือบเส้นบะหมี่อยู่กระจายไปทั่วบริเวณ พร้อมด้วยกลิ่นที่ฟุ้งไปในอากาศ

แม้กลิ่นของบะหมี่แห้งคลุกจะไม่รุนแรงเท่าข้าวผัดไข่ และไม่น่าประทับใจเท่าเนื้อตุ๋นตำรับจีน แต่กลิ่นอ่อนๆ เช่นนี้กลับดูน่าสนใจมากขึ้นไปอีก ทันทีที่กินเข้าไปคำแรก เขาก็หยุดตนเองไม่ได้อีกต่อไป เสียงสูดเส้นบะหมี่ของโอวหยางซงเหิงดังก้องไปทั่วร้าน

โอวหยางเสี่ยวอี้กำลังซดซุปเต้าหู้หัวปลา รสชาติกลมกล่อมของมันกระจายตัวไปทั่วลิ้น ทำให้นางรู้สึกเหมือนกำลังฝันไป เด็กหญิงรู้สึกเหมือนตนเองกลายร่างเป็นปลาที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในทะเลสีขาวน้ำนม และนานๆ ทีก็จะแวะเวียนไปแทะปะการังที่ทำมาจากเต้าหู้อย่างสุขสำราญใจ

“ซู้ด!”

ทันทีที่ได้ยินเสียงสูดเส้นบะหมี่ดังลั่น ภาพอันงดงามในมโนจิตของโอวหยางเสี่ยวอี้ก็แตกดังโพละในอากาศ ความรู้สึกน่ารำคาญใจดึงนางกลับมาให้อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ทำให้ต้องหันไปมองบิดาของตนด้วยสีหน้าโกรธเคือง แล้วก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังตั้งหน้าตั้งตาสูดเส้นบะหมี่เข้าปากอยู่ข้างๆ

“กินให้มันเสียงเบากว่านี้ไม่ได้หรือ ท่านพ่อทำให้ข้าหมดอารมณ์กินซุปปลา! ท่านพ่อตัวเหม็น!” โอวหยางเสี่ยวอี้พูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองพร้อมทำปากยื่นยาว

“…แค่ก แค่ก แค่ก!”

ดวงตาของโอวหยางซงเหิงเบิกกว้าง เสียงสูดเส้นบะหมี่หยุดลงทันที ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ แม่ทัพใหญ่เอามือปิดปากพร้อมไอโขลกๆ… เขากินเร็วเกินไปจนสำลักเส้นบะหมี่เสียเอง

โอวหยางซงเหิงคว้าจอกสุราหัวใจหยกเยือกแข็งที่โอวหยางเจินกำลังจะจิบ แล้วยกจอกนั้นขึ้นซดจนหมดในอึกเดียว ตอนนั้นเองเขาก็พลันรู้สึกผ่อนคลายสบายอารมณ์ไปทั้งร่าง!

“ช่าง… ช่างสดชื่นอะไรเช่นนี้!” โอวหยางซงเหิงพูดด้วยสีหน้าพึงพอใจ เขาใช้แขนเสื้อเช็ดหนวดตนเองตบท้าย

จากนั้นแม่ทัพใหญ่ก็จึ๊ปากแล้วทำจมูกบาน “สวรรค์ช่วย… นี่กลิ่นอะไรกัน! สุรารึ สุราอะไรหอมถึงเพียงนี้!”

โอวหยางซงเหิงก้มลงมองจอกกระเบื้องในมือของตน จากนั้นก็ยิ้มกริ่มเมื่อเห็นโอวหยางตี้ถือเหยือกอยู่ในมือและกำลังรินสุราใส่จอก

“ไอ้พวกลูกบ้า รีบรินใส่ให้เต็มจอกของข้าเร็ว! กล้าดีอย่างไรอุบเงียบเอาไว้ไม่แบ่งสุรากับพ่อกัน! พอกลับบ้านไปพวกเจ้าต้องฝึกหนักขึ้นเป็นสองเท่า!”

สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางและน้องสาวคนสุดท้องหมดสิ้นซึ่งคำพูดทันที

“ซู้ด!” หลังจากที่กระดกสุราหัวใจหยกเยือกแข็งหมดอีกจอก โอวหยางซงเหิงก็กลับมาสูดเส้นบะหมี่เข้าปากอีกครั้ง

เมื่อกินอาหารเสร็จเรียบร้อย บรรดาสมาชิกตระกูลโอวหยางก็พากันพิงหลังลงบนพนักเก้าอี้ด้วยสีหน้าพึงพอใจปนเกียจคร้าน ความสุขที่ได้กินอาหารรสเลิศนี้ทำให้พวกเขารู้สึกสบายอุราเป็นอันมาก

ปู้ฟางซับหยดน้ำบนมือแล้วเดินออกจากครัวมา เมื่อเขาเห็นสภาพขี้เกียจของตระกูลโอวหยางก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

“ทั้งหมดสามร้อยยี่สิบผลึก ร้อยเหรียญทอง ขอบคุณที่อุดหนุน” ปู้ฟางพูดกับโอวหยางซงเหิงที่กำลังลูบท้องตนเองด้วยความอิ่มเอม

มือที่กำลังลูบพุงของโอวหยางซงเหิงชะงักไปทันที เขารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบอับแสงลงต่อหน้าต่อตา… “สามร้อยยี่สิบผลึก กินบ้าอะไรกันขนาดนั้น!”

โอวหยางซงเหิงมองเงินที่ตนเองกำลังยื่นให้ปู้ฟางด้วยสายตาละล้าละลัง ส่วนชายหนุ่มก็ถูมือสองข้างไปมาอย่างพออกพอใจพลางยื่นมือไปรับผลึกและเหรียญทอง

เมื่อรับเงินมาเสร็จเรียบร้อย เสียงของระบบก็ดึงขึ้นในศีรษะเขาทันที

“ขอแสดงความยินดีกับนายท่านที่ทำกำไรได้ครบสองหมื่นผลึก ทั้งยังทำภารกิจระยะสั้นสำเร็จเรียบร้อย นายท่านจะได้รับของรางวัลจากระบบในเร็วๆ นี้ ระบบกำลังออกรางวัล…”

ปู้ฟางชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นมุมปากของเขาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มพลางถอนหายใจยาวออกมา เขาทำกำไรได้สองหมื่นผลึกโดยไม่ทันรู้ตัว และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย

มันแปลว่าเขาสะสมพลังปราณเที่ยงแท้ได้เป็นจำนวนหนึ่งหมื่นผลึกแล้ว และขั้นปราณของเขาก็บรรลุระดับห้าขั้นราชันยุทธการเป็นที่เรียบร้อย

“ในที่สุดข้าก็เรียกตนเองว่าขั้นราชันยุทธการได้เสียที” ชายหนุ่มคิดด้วยความดีใจ ขณะที่เขากำลังจะดูว่าระบบมอบรางวัลอะไรมาให้ โอวหยางซงเหิงก็เขยิบเข้ามาใกล้ แม่ทัพใหญ่เข้ามาชิดมากเสียจนปู้ฟางได้กลิ่นซอสบะหมี่แห้งคลุกที่กระจายอยู่บนตัวอีกฝ่าย

ปู้ฟางมุ่นคิ้วเข้าหากัน เขาเดินถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วจ้องแม่ทัพตรงหน้าด้วยสายตานิ่งเฉย

“จะพูดอะไรก็พูดมา ไม่ต้องเข้ามาใกล้ข้าขนาดนั้น” ปู้ฟางพูดเสียงนิ่ง

โอวหยางซงเหิงตัวแข็งทื่อไปทันที จากนั้นก็ยิ้มอายๆ ออกมา เขาเช็ดมือกับชุดของตนเองแล้วเอ่ย “เถ้าแก่ปู้… คืออย่างนี้นะ อันที่จริงข้ามาที่ร้านท่านวันนี้เพื่อมาหารือเรื่องสำคัญกับท่าน”

“ว่ามา” ปู้ฟางตอบ

“เถ้าแก่ปู้ ฝีมือการทำอาหารของท่านยอดเยี่ยมหาตัวจับยากยิ่งนัก แถมรสชาติอาหารของท่านก็อร่อยมากเสียจนข้าบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก ข้าคิดว่าท่านเองก็คงไม่อยากให้อาหารฝีมือท่านที่อร่อยเช่นนี้ เป็นที่รับรู้กันแค่ภายในร้านนี้เท่านั้นใช่หรือไม่ ทำเช่นนั้นเสียดายรสชาติเสียดายฝีมือเปล่าๆ!” โอวหยางซงเหิงพูดพร้อมลูบเคราตนเอง

ปู้ฟางมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าตายด้าน จากนั้นก็ทำท่าให้พูดต่อ

“เถ้าแก่ปู้ ท่านคงรู้เรื่องงานเทศกาลฤดูใบไม้ผลิแล้ว พรุ่งนี้จะเป็นวันแรกของเทศกาล และงานสมโภชร้อยครอบครัวจะจัดขึ้นในวันที่สอง ในวันนั้นจะเป็นวันที่บรรดาพ่อครัวแม่ครัวผู้มีชื่อเสียงจากทั่วทั้งอาณาจักร มาทำอาหารเลี้ยงคนหนึ่งร้อยครอบครัวผู้โชคดี นี่เป็นโอกาสที่เหมาะที่สุดแล้วที่จะทำให้ทุกคนรู้ว่าท่านยอดเยี่ยมเพียงใด!” โอวหยางซงเหิงพูดด้วยรอยยิ้มขณะจ้องปู้ฟางไม่วางตา

“ด้วยเหตุนี้ เถ้าแก่ปู้ ท่านจะให้เกียรติเข้าร่วมงานนี้ได้หรือไม่”

เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ… ปู้ฟางหรี่ตา นึกขึ้นมาได้ว่ามีขุนนางระดับล่างสองสามคนเดินเข้าร้านมาก่อความวุ่นวายด้วยท่าทางจองหองเมื่อหลายวันก่อน ดูเหมือนว่าคนพวกนั้นก็ตั้งใจจะให้เขาร่วมงานสมโภชอะไรนี่ด้วยเหมือนกัน…

“ข้าไม่สนใจไอ้งานสมโภชร้อยครัวบ้าบออะไรของเจ้าหรอก เจ้าผิดเองที่กล้าดีเดินเข้ามาสร้างปัญหาในร้านข้าด้วยท่าทางเหมือนว่าตัวเองดีที่สุดในโลกเช่นนี้” ปู้ฟางคิด ก่อนที่จะสั่งให้เจ้าขาวจับบรรดาขุนนางระดับล่างแก้ผ้าแล้วโยนออกจากร้านไป

ชายหนุ่มเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว เมื่อโอวหยางซงเหิงมากระตุ้นความทรงจำอีกครั้ง เขาจึงนึกขึ้นมาได้

“ไอ้งานสมโภชร้อยครอบครัวนี่ก็ฟังดูยิ่งใหญ่อลังการดี” ปู้ฟางคิดพลางพยักหน้ารับรู้ขณะจ้องโอวหยางซงเหิง

“ข้าจะไม่เข้าร่วม ข้าไม่สนใจ” ปู้ฟางตอบ

“หา อะไรนะ ไม่เข้าร่วมรึ เพราะเหตุใดกัน”

ใบหน้าของโอวหยางซงเหิงแข็งทื่อทันทีเมื่อได้ยินคำตอบ เขาถามออกมาด้วยความงุนงง ในความคิดของเขา การเข้าร่วมงานสมโภชร้อยครอบครัวสำหรับพ่อครัวแม่ครัวนั้น สำคัญพอๆ กับการเข้าสอบรับราชการของนักปราชญ์เลยทีเดียว

ในฐานะพ่อครัว ปู้ฟางกลับไม่สนใจเข้าร่วมงานสมโภชที่จักรวรรดิเป็นคนจัด นี่มัน… เรื่องบ้าผิดธรรมชาติอะไรกัน!

“ฟังจากชื่องานก็รู้แล้วว่าต้องยุ่งยากวุ่นวายแน่นอน ข้าแค่อยากทำอาหารของข้าอย่างสงบสุขในร้านนี้เท่านั้น หากมีใครอยากจะมากินอาหารที่ร้านข้า ก็เชิญมาได้ตามสบาย” ปู้ฟางพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ นี่คือสิ่งที่เขาเชื่อจริงๆ โดยนิสัยแล้วเขาเป็นคนไม่ชอบความวุ่นวายทุกประเภท

เขาเพียงแต่อยากนั่งอยู่ข้างทางเข้าร้านพร้อมถ้วยชาในมือ แล้วมองดูความเปลี่ยนแปลงของโลกที่มาพร้อมดอกไม้ที่เบ่งบานและร่วงโรยไปตามธรรมชาติเท่านั้น สิ่งที่เขาต้องการในชีวิตมีเพียงเท่านี้เอง

“เถ้าแก่ปู้ งานสมโภชนี้จะมีการแข่งขันระหว่างพ่อครัวแม่ครัวกันเองด้วย คนที่ได้รับคะแนนมากที่สุดจากผู้เข้าร่วมงานจะได้รางวัลจากจักรวรรดิไปครอบครอง ท่านไม่สนใจรางวัลที่ว่านี้หรือ” โอวหยางซงเหิงถามพร้อมจ้องปู้ฟางเขม็ง

รางวัลรึ ผลไม้ตื่นรู้ทางสามสายของอาณาจักรปู้ฟางก็นำมาเป็นของตนเองเรียบร้อยแล้ว แล้วจักรวรรดิจะเหลือรางวัลอะไรที่น่าสนใจพอสำหรับเขาอีก

“ภารกิจฉุกเฉินหมายเลขสอง: นายท่านโปรดเข้าร่วมการแข่งขันงานสมโภชร้อยครอบครัวที่จัดโดยจักรวรรดิวายุแผ่ว จงชนะการแข่งขันโดยทำอาหารที่ได้รับเลือกมากที่สุด แล้วนำรางวัลจากจักรวรรดิมาครอบครองให้ได้

“ทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าให้ราบเป็นหน้ากลองเลย พ่อหนุ่ม

“รางวัลจากระบบ: สูตรการทำทาร์ตไข่เต่าพลังปราณ”

ปู้ฟางถอนหายใจอยู่ในอก เขาไม่ชอบความวุ่นวาย แต่ระบบก็ชอบมอบภารกิจฉุกเฉินสุดปวดศีรษะมาให้ทำเสมอ

…………………………..