บทที่ 140 จะเลี้ยงข้าวทุกคนเลยรึ กระเป๋าหนักเป็นบ้า!

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

ตึง ตึง ตึง!

พื้นดินสั่นสะเทือนราวกับมีสัตว์ใหญ่กำลังยกโขยงกันวิ่งผ่าน สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางมาปรากฏตัวเบื้องหน้าปู้ฟางพร้อมร่างกายใหญ่โตเทอะทะ

“เหลือที่ไว้ให้บิดาเจ้าด้วยสิ! พวกเจ้าจะยืนชิดกันไปไหน!”

เสียงตะโกนด้วยความโกรธเคืองดังมาจากด้านหลัง โอวหยางเจินกับโอวหยางอู๋เกาศีรษะหน้าตาดูอายๆ ก่อนหลบไปข้างๆ ปล่อยให้ร่างหนึ่งแทรกตัวเข้ามาระหว่างพวกเขา

“ไอ้ลูกบ้านี่ วันๆ เอาแต่กินจนอาหารไม่ย่อยหรืออย่างไร ทำไมจึงอ้วนเป็นหมูตอนเช่นนี้! กลับไปเมื่อไหร่ข้าจะให้พวกเจ้าฝึกหนักขึ้นสามเท่า!” โอวหยางซงเหิงตะโกนพร้อมชี้นิ้วไปที่สามพี่น้องด้วยสีหน้าเหม็นบูด น้ำลายกระเซ็นเป็นฝอยจนแทบจะอาบใบหน้าของพวกเขา

สามยักษ์ร้ายตระกูลโอวหยางเช็ดใบหน้าตนเองแล้วหัวเราะฝืด แต่เมื่อได้ยินคำว่าฝึกหนักขึ้นสามเท่า สีหน้าของพวกเขาก็บูดเบี้ยวเหยเกทันที ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอย่างไรดี จะบอกว่าพวกเขาอ้วนได้อย่างไรกัน… ในเมื่อพวกเขาฝึกหนักจนร่างกายเหลือเพียงกล้ามเนื้ออย่างเดียวแล้ว!

“ท่านพ่อ! ทำอะไรน่ะ! เถ้าแก่ปู้มองอยู่นะ!” เสียงไม่สบอารมณ์ของโอวหยางเสี่ยวอี้ดังขึ้น ใบหน้าของโอวหยางซงเหิงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที เขาขยับเข้าไปหาบุตรสาวสุดที่รักด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ลูกสาวตัวน้อยน่ารักที่เรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ของพ่อ พ่อเพียงแต่สอนระเบียบวินัยให้พี่ชายเจ้าเท่านั้นเอง สิ่งที่เจ้าบอกพ่อก่อนหน้านี้ พ่อจำได้หมดแล้วจ้ะ!”

เมื่อเห็นโอวหยางซงเหิงพยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย โอวหยางเสี่ยวอี้จึงพ่นลมเยาะออกมาหนึ่งที แล้วหันไปมองปู้ฟางพร้อมพูดอย่างร่าเริง “เถ้าแก่ปู้ ข้าขอแนะนำครอบครัวข้า นี่ท่านพ่อข้า เป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรนี้! ท่านพ่อของข้าเก่งกาจเยี่ยมยุทธ์ไม่แพ้ท่านลุงเซียวเลยทีเดียว!”

พอโอวหยางเสี่ยวอี้เริ่มแนะนำโอวหยางซงเหิง สีหน้าของผู้เป็นบิดาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเอาการเอางานขึ้นมาทันที เขายืดอกขึ้นแล้วพยักหน้าให้ปู้ฟางอย่างเชื่อมั่นในเกียรติยศของตน

ปู้ฟางมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นก็ยกถ้วยน้ำร้อนในมือขึ้นจิบเล็กน้อย แล้วตอบเบาๆ ว่า “อ้อ”

สีหน้าของโอวหยางซงเหิงแข็งทื่อทันทีที่ได้ยิน “ไอ้เด็กเวรนี่… มันจองหองเหมือนที่ข่าวลือว่าไว้ไม่มีผิด!” เขาคิด

“นี่ท่านแม่หนึ่ง ท่านแม่สอง ท่านแม่สาม… ท่านแม่หก!” โอวหยางเสี่ยวอี้เริ่มแนะนำทีละคน พร้อมลากสตรีท่าทางสง่างามออกมาตามการเรียก เมื่อปู้ฟางเห็นสีหน้ามีความสุขของเด็กหญิง เขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้แล้วพยักหน้าทักทายแต่ละคนตามลำดับ!

“นี่พี่ชายสมองทึบสามคนของข้า ไม่จำเป็นต้องแนะนำเพราะรู้จักกันอยู่แล้ว”

สำหรับสามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางนั้น… โอวหยางเสี่ยวอี้ข้ามไปทันที เนื่องจากปู้ฟางคุ้นชินกับทั้งสามอยู่แล้ว

“เถ้าแก่ปู้” สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง พร้อมประสานฝ่ามือกับกำปั้นคารวะปู้ฟาง

ปู้ฟางลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะเชื้อเชิญให้ทุกคนเข้ามาในร้าน อากาศหนาวเย็นภายนอกนั้นไม่เหมาะกับการไปยืนแกร่วทำพิธีรีตองกันแม้แต่น้อย

“เสี่ยวอี้ เหตุใดจึงพาคนมามากมายเช่นนี้” ปู้ฟางถามด้วยความงุนงง

“ท่านพ่ออยากปรึกษาอะไรกับนายท่านนิดหน่อย ส่วนพวกท่านแม่มาเพื่อกินอาหารอร่อย ท่านพ่อบอกว่าจะเลี้ยงน่ะ!” โอวหยางเสี่ยวอี้พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แก้มของนางเป็นสีชมพูกลีบกุหลาบ ดวงตาเป็นประกายเหมือนอัญมณีมีค่า ดูน่ารักยิ่งนัก

“จะเลี้ยงรึ” ปู้ฟางงงไปพักหนึ่ง จากนั้นก็เหลือบตามองโอวหยางซงเหิง “หมอนี่… มีเงินพอรึ”

“ถ้าเช่นนั้นก็เข้ามาในร้านก่อนก็แล้วกัน จะสั่งอะไรก็ดูรายการอาหารที่ด้านหลัง เสี่ยวอี้ วันนี้เจ้าก็อยู่กับบิดามารดาเถิด ไม่ต้องทำงาน” ปู้ฟางพูดแล้วเริ่มเดินไปทางห้องครัว

โอวหยางซงเหิงอยากพูดอะไรบางอย่างขณะมองแผ่นหลังของปู้ฟาง แต่ก็รู้สึกลังเลใจขึ้นมา “ช่างมันก่อนก็แล้วกัน เอาไว้รอหลังกินเสร็จ มาดูกันก่อนว่าอาหารของหมอนี่จะอร่อยเหมือนที่เขาร่ำลือกันไหม และหมอนี่ควรค่าพอให้ข้าเอ่ยปากเชิญด้วยตนเองหรือเปล่า” แม่ทัพคิด

พอโอวหยางซงเหิงหันหลังกลับไปมองรายการอาหาร เขาก็แทบกระอักเลือดออกมาเต็มปาก!

เขาจำได้ขึ้นมาทันทีว่าอาหารของร้านใจไม้ไส้ระกำนั้นราคาแพงหูฉี่จนแทบอยากตาย “ข้าสติฟั่นเฟือนไปแล้วรึ เหตุใดจึงอุตริไปสัญญากับลูกสาวคนเล็กว่าจะเลี้ยงอาหารทุกคนเช่นนั้น!”

เขามองไปที่ราคาซึ่งเขียนเรียงลงมาเป็นแถว แทบทุกรายการมีหน่วยเป็นผลึก พลางรู้สึกเหมือนหัวใจถูกกรีดจนเลือดไหล มือทั้งสองข้างสั่นสะท้าน “พวกนางเหล่านี้ควรจะเห็นใจข้าหน่อย ข้ามีเงินถุงลับเหลืออยู่ไม่มากแล้ว”

“เสี่ยวอี้ จานไหนอร่อยที่สุดจ๊ะ” แม่หนึ่งของเสี่ยวอี้เขยิบเข้ามาใกล้แล้วถามด้วยรอยยิ้ม

เสี่ยวอี้ชี้ไปที่รายการอาหารแล้วประกาศเสียงดัง “ซี่โครงเปรี้ยวหวาน!”

ริมฝีปากของโอวหยางซงเหิงสั่นระริกอยู่พักหนึ่ง จมูกบานด้วยความหดหู่ เขารู้สึกราวกับว่าโอวหยางเสี่ยวอี้เพิ่งฉีกหัวใจเขาออกมาด้วยกระบี่คมกริบ พร้อมหัวเราะเสียงแหลมสูงเชิดหน้าขึ้นด้วยความสะใจ… เงินห้าสิบผลึกหายไปด้วยคำพูดเดียวเสียอย่างนั้น

“เสี่ยวอี้ บอกแม่สองหน่อยว่าอาหารจานไหนอร่อยที่สุดจ๊ะ” แม่สองของโอวหยางเสี่ยวอี้ถามพร้อมรอยยิ้ม ขณะหยิกแก้มสีชมพูปลั่งของเด็กหญิงด้วยความเอ็นดู

เสี่ยวอี้ชี้ไปที่รายการอาหารแล้วประกาศเป็นครั้งที่สอง “เนื้อตุ๋นตำรับจีน!”

มุมปากของโอวหยางซงเหิงกระตุก เขาแทบกระอักเลือดออกมาด้วยความปวดใจ “เนื้อตุ๋นตำรับจีน… จานละร้อยผลึก! ไอ้เด็กนี่ เหตุใดจึงเลือกแต่จานแพงๆ กันเล่า! หากไม่ทำให้พ่อคนนี้ฉิบหายจะตายหรือ”

บรรดาแม่ๆ คนอื่นๆ ของเสี่ยวอี้เวียนกันมาให้เด็กหญิงแนะนำอาหารจานเด็ดเช่นกัน ทุกครั้งนางจะชี้ไปที่รายการอาหาร แล้วแนะนำทุกจานที่ราคาแพงหูฉี่

โอวหยางซงเหิงอ่อนเปลี้ยเสียขา ทรุดลงไปนั่งจ๋อยบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว ดวงตาของเขาที่จ้องโอวหยางเสี่ยวอี้อยู่… ดูไร้ซึ่งวี่แววแห่งความมีชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง

หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เงินถุงลับของเขาคงหมดเกลี้ยงไม่เหลือเป็นแน่!

“ท่านพ่อ ไม่สั่งอะไรหรือเจ้าคะ” โอวหยางเสี่ยวอี้พูดด้วยท่าทางน่ารัก ขณะมองไปที่บิดาของตนเองอย่างงุนงง บิดาของนางมองกลับมาด้วยสีหน้าเหม็นบูด นางจึงยิ้มตาหยีเหมือนจันทร์เสี้ยว แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “หรือว่าท่านพ่ออยากให้ข้าสั่งให้ด้วยเจ้าคะ”

“ไม่ต้อง ข้าเอา… เอ่อ บะหมี่แห้งคลุกก็แล้วกัน พ่อของเจ้าคนนี้กินง่ายน่ะ” โอวหยางซงเหิงพูดด้วยท่าทางจริงจังพร้อมกระเด้งขึ้นมานั่งหลังตรงบนเก้าอี้

สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางนั้นเรียบง่ายยิ่งกว่า เพียงแค่ปลาดองเหล้าและสุราหัวใจหยกเยือกแข็งหนึ่งเหยือกพวกเขาก็พอใจแล้ว

ตอนที่โอวหยางเสี่ยวอี้เดินไปบอกรายการที่สั่งกับปู้ฟาง แม้แต่ตัวชายหนุ่มเองยังรู้สึกประหลาดใจ เขาหันไปมองโอวหยางซงเหิงที่นั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้แล้วอดคิดไม่ได้ “กระเป๋าหนักเป็นบ้า!”

ไม่นานนักกลิ่นหอมหวนก็ลอยออกมาจากครัว กลิ่นของอาหารทำให้โอวหยางซงเหิงและครอบครัวตื่นเต้นเป็นอันมาก เนื่องจากพวกเขาเพิ่งเคยมาที่ร้านของปู้ฟางเป็นครั้งแรก

บรรดาภรรยาของโอวหยางซงเหิงดูอดรนทนไม่ไหวเมื่อได้สูดกลิ่นหอมนั้นเข้าไป

เหมือนที่มีคนกล่าวเอาไว้ว่าหากอยากจะมัดใจหญิงสาว ควรเริ่มจากทำให้พวกนางอิ่มท้อง ปู้ฟางยังไม่ทันได้นำอาหารออกมาวางให้ แต่กลิ่นที่ตลบอบอวลไปทั่วร้านก็ทำให้พวกนางเคลิบเคลิ้มไปเรียบร้อยแล้ว

“นี่ซี่โครงเปรี้ยวหวานที่สั่ง กินให้อร่อย” ปู้ฟางไม่ได้ตะโกนเรียกให้โอวหยางเสี่ยวอี้นำอาหารออกมาให้ แต่เขาค่อยๆ เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมจานศิลาดนด้วยตนเอง แล้ววางอาหารจานนั้นลงตรงหน้าแม่หนึ่งของเสี่ยวอี้

แม่หนึ่งของเสี่ยวอี้ดูเคลิบเคลิ้มกับซี่โครงเปรี้ยวหวานตรงหน้าไปเรียบร้อยแล้ว ชิ้นเนื้อสีเหลืองอำพันสวยดูเหมือนมีเวทมนต์บางอย่างที่ทำให้นางกลืนน้ำลายไม่หยุด จนต้องโยนความสงบเสงี่ยมเรียบร้อยของตนเองทิ้งไป

ทันทีที่ส่งซี่โครงเปรี้ยวหวานชิ้นแรกเข้าปาก นางก็ตกหลุมรักอาหารจานนี้โดยพลัน

โอวหยางซงเหิงรู้สึกหิวเป็นอันมาก เขามองภรรยาคนที่หนึ่งของตนกินจนรู้สึกทนไม่ได้อีกต่อไป แม่ทัพใหญ่มองซี่โครงเปรี้ยวหวานในจานก่อนจะยื่นมือออกไปเพื่อหยิบมากิน

เพี้ยะ!

“อย่ามาแตะซี่โครงเปรี้ยวหวานของข้านะ! หากอยากกินก็สั่งเองสิ! ช่างชุบมือเปิบหน้าไม่อายเสียจริง!” แม่หนึ่งของเสี่ยวอี้ปัดมือโอวหยางซงเหิงที่แอบยื่นมาทิ้งไปอย่างไม่ใยดี ใบหน้าดูโกรธเคืองเป็นอันมาก

จากนั้นนางก็ลากจานซี่โครงเปรี้ยวหวานมาไว้ในอ้อมแขนเหมือนมารดาที่กำลังปกป้องลูกรักของตน

โอวหยางซงเหิงคิดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “หมายความว่าอย่างไรกันที่ว่าให้ข้าสั่งเองน่ะ… หากข้ายังพอมีเงินอยู่ ข้าจะสั่งมาสักสองจานให้มันหนำใจ ข้าจะกินเองจานหนึ่ง… อ้อ แล้วอีกจานจะเอาไปให้หมามันกินเสียเลย!”

ปู้ฟางค่อยๆ ลำเลียงอาหารออกมาจานแล้วจานเล่า กลิ่นหอมยั่วยวนของทุกจานทำให้โอวหยางซงเหิงมองโลกทั้งใบเปลี่ยนไปทันที “ในโลกนี้มีอะไรที่หอมถึงเพียงนี้ด้วยหรือ”

แต่น่าเสียดายที่เขาทำได้เพียงดมเท่านั้น

สุดท้ายเมื่อถึงตาเขา โอวหยางซงเหิงก็รู้สึกโศกเศร้าจนน้ำตาแทบไหลอาบแก้มสองข้าง

“นี่บะหมี่แห้งคลุกที่สั่ง กินให้อร่อย” ปู้ฟางเอ่ย

โอวหยางซงเหิงดูไร้ซึ่งชีวิตขณะมองจานบะหมี่แห้งคลุกที่ดูแห้งสมชื่อตรงหน้าตนเอง

………………