บทที่ 139 ท่านจักรพรรดิชอบดูคน... วิ่งแก้ผ้ารึ

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

เทศกาลฤดูใบไม้ผลิเป็นประเพณีวันหยุดประจำปีที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่นตั้งแต่วันแรกที่จักรวรรดิวายุแผ่วถือกำเนิดขึ้น จัดเป็นวันสำคัญที่รื่นเริงครื้นเครงที่สุดในรอบปี ประชาชนทุกคนจะมารวมตัวกันเพื่อฉลองการเริ่มต้นปีใหม่ เป็นวันที่ผู้คนทั่วทั้งอาณาจักรต่างเฉลิมฉลองกันถ้วนหน้า

ณ วังหลวงอันใหญ่โตโอฬารของจักรวรรดิวายุแผ่ว โครงสร้างของตึกตระการตานั้นมองแทบไม่เห็นเนื่องจากถูกปกคลุมด้วยหิมะหนา ในท้องพระโรงหลวง ขุนนางทั้งหมดมารวมตัวกันด้วยท่าทีเคารพนบนอบต่อหน้าจีเฉิงเสวี่ย จักรพรรดิพระองค์ใหม่ผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์

จีเฉิงเสวี่ยบนบัลลังก์นั้นอยู่ในชุดคลุมสีทองลายมังกรและสวมมงกุฎสีทองเช่นเดียวกัน สีหน้าของเขาเรียบเฉยจริงจัง มีรัศมีของความเป็นจักรพรรดิผู้ทรงอำนาจที่ดูคล้ายจักรพรรดิฉางเฟิ่งอยู่พอตัวเลยทีเดียว

ขุนนางชั้นสูงคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้าแล้วโค้งคำนับจีฉางเฟิ่ง “ท่านจักรพรรดิพะย่ะค่ะ พรุ่งนี้เป็นวันเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งตรงกับพิธีเถลิงราชสมบัติขึ้นครองราชย์ของพระองค์พอดิบพอดี พระองค์ประสงค์จะจัดงานสมโภชร้อยครอบครัวในปีนี้ให้ใหญ่ขึ้นหรือไม่พะย่ะค่ะ”

“งานสมโภชร้อยครอบครัวรึ” จีเฉิงเสวี่ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เข้าใจสิ่งที่ขุนนางผู้นี้กำลังสื่อทันที งานสมโภชร้อยครอบครัวนี้มีความสำคัญพอตัว มันเป็นงานที่ราชวงศ์ของจักรวรรดิวายุแผ่วจัดขึ้นในวันเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ โต๊ะอาหารร้อยโต๊ะจะถูกตั้งเอาไว้ที่ลานจัตุรัสมายาสวรรค์ บรรดาพ่อครัวแม่ครัวชื่อดังจากทั่วทั้งนครหลวงจะได้รับเชิญมาทำอาหารให้หนึ่งร้อยครอบครัวกิน หนึ่งร้อยครอบครัวที่ว่านี้เลือกโดยการจับสลาก

นี่เป็นงานเฉลิมฉลองที่ได้รับความนิยมที่สุดในเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ เนื่องจากพ่อครัวแม่ครัวในนครหลวงทุกคน รวมถึงพ่อครัวแม่ครัวในพระราชวัง จะมาทำอาหารให้ประชาชนคนธรรมดาได้กินกัน

การได้ลิ้มลองอาหารจากครัวหลวงเป็นสิ่งที่ปุถุชนทั่วไปไม่มีโอกาสได้รับแน่นอนในชีวิตนี้ เนื่องจากไม่ใช่คนสำคัญพอจะได้รับเกียรติดังกล่าว ด้วยเหตุนี้เทศกาลฤดูใบไม้ผลิจึงเป็นโอกาสเดียวที่พวกเขาจะได้ชิมอาหารแสนอร่อยที่จะไม่มีวันลืมเลือนไปตลอดชีวิต

จุดประสงค์ของงานนี้คือการมอบรางวัลให้ประชาชนที่เพียรทำงานหนักมาตลอดหนึ่งปี ถือเป็นการมอบชีวิตที่มั่นคงให้พสกนิกรของจักรวรรดิ

นี่เป็นเรื่องดีสำหรับทั้งประชาชนและตัวจักรวรรดิเอง… และสำหรับพ่อครัวแม่ครัวในนครหลวงนั้น นี่ก็ถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งเช่นกัน

งานสมโภชร้อยครอบครัวถือเป็นโอกาสที่พวกเขาจะได้แสดงฝีมือการทำอาหารให้เป็นที่ประจักษ์ เนื่องจากจักรพรรดิเองจะเข้าร่วมงานนี้ด้วย หากพรสวรรค์ในการทำอาหารของพวกเขาถูกตาต้องใจจักรพรรดิ ก็มีโอกาสที่จะได้มาทำงานเป็นพ่อครัวแม่ครัวหลวง ถือเป็นเกียรติยศกับวงศ์ตระกูลอย่างหาที่สุดไม่ได้!

จีเฉิงเสวี่ยพยักหน้า สายตามองไปที่ขุนนางคนนั้นด้วยความสนใจ จากนั้นจึงเอ่ยถาม “ขยายให้ใหญ่ขึ้นรึ เจ้าคิดว่าควรขยายให้ใหญ่ประมาณไหนดีเล่า”

ขุนนางเจ้าของความคิดผู้นั้นตื่นเต้นขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้ในศึกชิงราชบัลลังก์ระหว่างองค์ชายทั้งสาม เขาเลือกข้างองค์ชายรัชทายาท แต่เมื่อองค์ชายรัชทายาทหมดอำนาจ และกลายเป็นเพียงเชื้อพระวงศ์ที่ไม่มีบทบาทในราชสำนัก ขุนนางผู้นี้ย่อมกลัวว่าตนเองจะทำผิดพลาดและถูกจีเฉิงเสวี่ยลดยศ

แม้ตอนนี้สถานการณ์ในราชสำนักจะเป็นไปด้วยดี แต่ขุนนางแต่ละคนก็ต้องเอาใจใส่ในหน้าที่การงานและอนาคตของตนเองเป็นธรรมดา เนื่องจากจักรพรรดิจะต้องสนับสนุนให้ท้ายกลุ่มอำนาจของตนอย่างแน่นอน พระองค์ย่อมต้องลดบทบาทขุนนางเก่าบางคนไป เพื่อเปิดทางให้คนกลุ่มใหม่ขึ้นมาแทนที่ ตัวเขานั้นเห็นขุนนางถูกปลดไปก็มาก…

“ข้าน้อยได้ส่งคำสั่งไปแล้วเมื่อหลายวันก่อน ให้เลือกเอาพ่อครัวแม่ครัวที่มากความสามารถที่สุดจากแต่ละแคว้น มาแสดงฝีมือในงานสมโภชร้อยครอบครัวในปีนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้เพิ่มจำนวนครัวเรือนที่จะได้เข้าร่วมงาน จากหนึ่งร้อยเป็นสามร้อยโต๊ะพะย่ะค่ะ โดยจำนวนสามร้อยครอบครัวที่จะเข้าร่วมนี้เต็มจำนวนที่ลานจุได้พอดี

“นอกจากนี้ยังจะมีการเลือกพ่อครัวแม่ครัวที่มีฝีมือดีที่สุดในงาน พ่อครัวแม่ครัวที่ได้รับชัยชนะผู้นั้น ต้องได้รับเลือกจากครอบครัวที่เข้าร่วมงานมากที่สุด และจะได้ตำแหน่งพ่อครัวแม่ครัวที่ดีที่สุดไปครอง ทั้งยังมีรางวัลมอบให้อีกด้วยพะย่ะค่ะ” ขุนนางผู้นั้นรายงานด้วยความเคารพ

ทันทีที่แผนงานของเขาเปิดเผยออกมา ทั่วทั้งราชสำนักก็เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยอื้ออึง ทุกคนต่างพากันกระซิบกระซาบแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

นี่เป็นแผนงานที่กล้าคิดกล้าทำยิ่งนัก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าขุนนางผู้นี้ตั้งใจเดิมพันทุกอย่างเพื่อแสดงความสามารถให้จักรพรรดิองค์ใหม่ได้รับรู้

จีเฉิงเสวี่ยหรี่ตาและพิจารณาอยู่สักครู่ จากนั้นมุมปากของเขาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขาพยักหน้าเห็นด้วยในที่สุด แผนการนี้จัดเป็นแผนที่ดีเลยทีเดียว เขาเพิ่งขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ชื่อเสียงจึงยังไม่มั่นคงและยังไม่ได้รับการยอมรับมากนัก การจัดงานยิ่งใหญ่เช่นนี้ย่อมทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดีขึ้นในสายตาประชาชนอย่างแน่นอน

“การแข่งขันกันระหว่างพ่อครัวแม่ครัว…” ขณะที่จีเฉิงเสวี่ยคิดพิจารณาเรื่องนี้ ใบหน้าของปู้ฟางก็โผล่ขึ้นมาในใจ สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นประหลาดใจทันที

“หากเถ้าแก่ปู้ยอมมาเข้าร่วมงานสมโภชร้อยครอบครัว งานในปีนี้จะต้องน่าตื่นเต้นมากเป็นอันแน่ ด้วยความสามารถในการทำอาหารของเถ้าแก่ปู้ เขาย่อมเอาชนะใจประชาชนทั้งสามร้อยครอบครัวได้อย่างแน่นอน”

ด้วยเหตุนี้จีเฉิงเสวี่ยจึงหันไปหาขุนนางผู้นั้นที่กำลังภูมิใจในผลงานแล้วเอ่ยถาม “เป็นความคิดที่ดีมาก ข้าขอถามหน่อยก็แล้วกัน เจ้าได้ชวนเถ้าแก่ปู้มาด้วยหรือไม่ หรือหากชวนแล้ว เถ้าแก่ปู้ยอมตกลงเข้าร่วมงานด้วยหรือไม่”

ขุนนางผู้นั้นประหลาดใจไปชั่วขณะ จากนั้นสีหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นเหยเกเล็กน้อย

“ท่านจักรพรรดิ ร้านใจไม้… เอ้อ ข้าน้อยได้ส่งคนไปเชิญร้านเล็กๆ ของฟางฟางให้เข้าร่วมแล้วพะย่ะค่ะ แต่ว่า…”

สีหน้าของขุนนางผู้นั้นดูประหลาดชอบกล เขาดูเหมือนไม่กล้าพูดต่อ

จีเฉิงเสวี่ยรู้สึกสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาทันทีจึงเอ่ยถามต่อ “เกิดอะไรขึ้นรึ แล้วผลเป็นอย่างไรกัน”

“คนที่ข้าน้อยส่งไปเชิญ… แก้ผ้าล่อนจ้อนกลับมาพะย่ะค่ะ เถ้าแก่ปู้… ไม่ยอมเข้าร่วมงานพะย่ะค่ะ” ขุนนางผู้นั้นพูดอย่างลังเล ดูเหมือนว่าจะอายที่ต้องเอ่ยถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

เมื่อได้ยินดังนั้นทั่วทั้งราชสำนักก็หันมามองหน้ากันทันที แก้ผ้าล่อนจ้อนกลับมารึ หรือว่าโดนจับแก้ผ้ากันนะ

“ฮ่าๆๆๆ! สมเป็นเถ้าแก่ปู้ หากให้ข้าเดา คนที่เจ้าส่งไปนี้เป็นพวกหัวสูงใช่หรือไม่ ทั้งยังไม่เข้าใจอุปนิสัยของเถ้าแก่ปู้เอาเสียเลย” ทันทีที่จีเฉิงเสวี่ยได้ยินเรื่องราวจากขุนนางผู้นั้น เขาก็ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างอดรนทนไม่ได้

สีหน้าของบรรดาขุนนางในราชสำนักดูประหลาดถึงขีดสุด “เหตุใดท่านจักรพรรดิจึงหัวเราะกัน ท่านกำลังหัวเราะเรื่องการโดนจับแก้ผ้าต่อหน้าประชาชีเช่นนั้นรึ หรือว่า… ท่านจักรพรรดิจะทรงชอบดูคนวิ่งแก้ผ้ากันนะ”

ขุนนางเจ้าของความคิดพยักหน้ารับ “คนที่ข้าน้อยส่งไปนี้จัดว่าเป็นพวกหัวสูงพอควรเลยทีเดียว แต่… การที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟางจับเขาแก้ผ้า ข้าน้อยมองว่าไม่ค่อยเหมาะสมนักพะย่ะค่ะ”

“เอาเถอะ ข้ารู้ว่าเจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าไม่ต้องส่งใครไปอีก และไม่ต้องกังวลเรื่องการพยายามโน้มน้าวใจให้เถ้าแก่ปู้มาร่วมงานสมโภชด้วย” จีเฉิงเสวี่ยพูดพร้อมโบกมือไปมา จากนั้นเขาก็หันไปหาโอวหยางซงเหิงที่กำลังจะไปเฝ้าพระอินทร์

“แม่ทัพโอวหยาง เรื่องการชวนเถ้าแก่ปู้ให้มาร่วมงานนี้ ข้าไว้ใจให้ท่านไปด้วยตนเองก็แล้วกัน… ตกลงหรือไม่” จีเฉิงเสวี่ยถาม

โอวหยางซงเหิงกระโจนมาข้างหน้าทันที พลางสะดุ้งตื่นฟองน้ำมูกแตก หนวดของเขายังคงมีคราบน้ำลายเปื้อนอยู่ สีหน้าดูมึนอึนตามแบบคนเพิ่งตื่นนอน “พระองค์อยากให้ข้าน้อยปราบกบฏพวกใดพะย่ะค่ะ ขอเพียงพระองค์สั่งมา! ข้าน้อยจะพุ่งเข้าไปจัดการโดยไม่ถอยแม้แต่ครึ่งก้าว”

เมื่อเห็นสีหน้าน่าขันของเขา บรรดาขุนนางในราชสำนักก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

“ท่านแม่ทัพ บุตรสาวของท่านทำงานเป็นบริกรอยู่ที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟางมิใช่รึ ข้าจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของท่านในการชวนเถ้าแก่ปู้ให้เข้าร่วมงานสมโภชร้อยครอบครัวก็แล้วกัน” จีเฉิงเสวี่ยพูดพร้อมหัวเราะในลำคอ จากนั้นเขาก็ยุติการประชุมราชสำนัก และไม่สนใจแม่ทัพโอวหยางที่ดูตาลีตาเหลือกอีกต่อไป

ลมหนาวส่งเสียงหวีดหวิด ส่วนหิมะก็โปรยปรายอยู่ในอากาศ

หลังจากที่ปู้ฟางทำอาหารที่เจ้าอ้วนจินสั่งจนหมด เขาก็กลับมาว่างอีกครั้ง ชายหนุ่มเดินไปที่ทางเข้าร้านแล้วนั่งลงบนเก้าอี้พิงหลังอย่างสบายอุรา ในมือของเขาถือถ้วยน้ำร้อนที่ระบบจัดหามาให้เอาไว้ด้วย นี่เป็นน้ำร้อนที่ใช้น้ำจากบ่อน้ำพุบนเทือกเขาเทียนซาน ซึ่งมีพลังปราณสะสมอยู่เล็กน้อย รสชาติของน้ำนี้ทั้งหวานและสดชื่น

ปู้ฟางจิบน้ำแล้วผ่อนลมหายใจออกมาด้วยสีหน้ามีความสุข

ทันใดนั้น ผิวน้ำในถ้วยก็พลันสั่นกระเพื่อมเป็นวง เมื่อวงน้ำหายไป เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่มาจากปากทางเข้าตรอก

ปู้ฟางชะโงกหน้ามอง แล้วก็เห็นกลุ่มคนที่เดินอยู่ไกลๆ

โอวหยางเสี่ยวอี้กำลังวิ่งสับขาอย่างร่าเริงอยู่ด้านหน้าพี่ชายรูปร่างเหมือนอสูรทั้งสามของนาง…

รอบๆ ตัวสามยักษ์ร้ายนั้นมีฝูงชนที่ประกอบไปด้วยทั้งชายและหญิง…

ปู้ฟางมองฝูงชนที่กำลังพุ่งตรงมาที่ร้าน สีหน้าของชายหนุ่มไร้อารมณ์…

“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดเสี่ยวอี้จึง… เอาครอบครัวมาทำงานด้วย”

………………….